ได้ยินว่า ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีภัตตาหารไว้ถวายภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ เรือนของท่านเศรษฐีจึงเป็นเสมือนบ่อน้ำของภิกษุสงฆ์อยู่เป็นนิตย์ เรืองรองด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ คลาคล่ำด้วยหมู่ฤาษีผู้แสวงบุญ.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงกระทำประทักษิณพระนคร ทอดพระเนตรเห็นภิกษุสงฆ์ในนิเวศน์ของเศรษฐี ทรงดำริว่า แม้เราก็จักถวายภิกษาหารเป็นประจำแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป จึงเสด็จไปวิหาร ทรงนมัสการพระศาสดา แล้วทรงเริ่มตั้งภิกษาหารแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ นับแต่นั้นมา ก็ทรงถวายภิกษาหารในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ.
โภชนะข้าวสาลีมีกลิ่นหอมซึ่งเก็บไว้ถึง ๓ ปี เป็นของประณีต. ผู้ถวายด้วยมือของตนด้วยความคุ้นเคยหรือด้วยความสิเนหา มิได้มี พวกข้าหลวงย่อมจัดให้ถวาย. ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาที่จะนั่งฉัน รับเอาภัตตาหารมีรสเลิศต่างๆ แล้ว ไปยังตระกูลอุปัฏฐากของตน ให้ภัตตาหารแก่อุปัฏฐากเหล่านั้นแล้ว พากันฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย ไม่ว่าจะเศร้าหมองหรือประณีต.
อยู่มาวันหนึ่ง เขานำผลาผลเป็นอันมากมาถวายพระราชา. ท้าวเธอรับสั่งว่า พวกท่านจงถวายแด่ภิกษุสงฆ์
คนทั้งหลายจึงพากันไปยังโรงภัตตาหาร ไม่เห็นภิกษุแม้เพียงรูปเดียว จึงกราบทูลพระราชาว่า แม้ภิกษุรูปเดียวก็ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลากระมัง.
คนทั้งหลายกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้า แต่ภิกษุทั้งหลายรับภัตตาหารในวังของพระองค์แล้ว ไปในเรือนแห่งอุปัฏฐากผู้คุ้นเคยของตน ให้ภัตตาหารนั้นแก่อุปัฏฐากเหล่านั้น แล้วฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย จะเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม.

พระราชาทรงดำริว่า
ตตาหารของเราประณีต เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ฉันภัตตาหารนั้น พากันฉันภัตตาหารอื่น เราจักทูลถามพระศาสดา จึงเสด็จไปพระวิหาร ทรงนมัสการ แล้วจึงทูลถาม.
พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ธรรมดาการบริโภคโภชนะมีความคุ้นเคยกันสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวังของพระองค์ไม่มีผู้เข้าไปตั้งความคุ้นเคย แล้วให้ด้วยความสนิทสนม ภิกษุทั้งหลายจึงรับภัตตาหารแล้วฉันในที่แห่งคนผู้มีความคุ้นเคยแก่ตน
มหาบพิตร ชื่อว่ารสอื่นเช่นกับความคุ้นเคย ย่อมไม่มี แม้ของอร่อย ๔ อย่างที่คนผู้ไม่คุ้นเคยให้ ย่อมไม่ถึงค่าสักว่าเปรียงที่คนผู้คุ้นเคยให้.
แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ครั้นเมื่อโรคเกิดขึ้น เมื่อพระราชาแม้ทรงพาหมอทั้ง ๕ ตระกูลไปให้กระทำยา เมื่อโรคไม่สงบ ได้ไปยังสำนักของคนผู้คุ้นเคยกัน บริโภคยาคูอันทำด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยซึ่งไม่เค็ม และผักซึ่งราดด้วยสักแต่ว่าน้ำเปล่า ไม่มีรสเค็ม ก็หายจากโรค.
พระราชาทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ บิดามารดาตั้งชื่อกุมารนั้นว่า กัปปกุมาร. กัปปกุมารเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา ภายหลังต่อมา ได้บวชเป็นฤาษี.
ครั้งนั้น เกสวดาบสห้อมล้อมด้วยดาบส ๕๐๐ รูป เป็นครูของคณะอยู่ในหิมวันตประเทศ. กัปปดาบสได้ไปยังสำนักของเกสวดาบส อยู่เป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่แห่งอันเตวาสิก ๕๐๐ รูป. แท้จริง อัธยาศัยของกัปปดาบสได้มีความสนิทสนมต่อเกสวดาบส. ดาบสเหล่านั้นได้เป็นผู้คุ้นเคยกันและกันยิ่งนัก.
จำเนียรกาลนานมา เกสวดาบสได้พาดาบสเหล่านั้นไปยังถิ่นมนุษย์ เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว ถึงนครพาราณสีแล้วอยู่ในพระราชอุทยาน. วันรุ่งขึ้น เข้าไปสู่พระนครเพื่อภิกขาจาร ได้ไปถึงประตูพระราชวัง.
พระราชาทรงเห็นหมู่ฤาษีจึงให้ไปนิมนต์มา แล้วให้ฉันในภายในพระราชนิเวศน์ ทรงถือเอาปฏิญญา(คำรับรอง)แล้ว ให้พักอยู่ในพระราชอุทยาน.
ครั้นเมื่อล่วงกาลฤดูฝนแล้ว เกสวดาบสได้ทูลอำลาพระราชา.
พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นผู้แก่เฒ่า จงอาศัยข้าพเจ้าอยู่ก่อน ส่งแต่ดาบสหนุ่มๆ ไปยังหิมวันตประเทศเถิด.
เกสวดาบสรับว่าดีละ แล้วส่งดาบสเหล่านั้นพร้อมกับอันเตวาสิกผู้ใหญ่ไปยังหิมวันตประเทศ ตนเองยับยั้งอยู่ผู้เดียว
ฝ่ายกัปปดาบสไปยังหิมวันตประเทศอยู่กับดาบสทั้งหลาย. เกสวดาบส เมื่ออยู่เหินห่างกัปปดาบสก็รำคาญใจ อยากจะเห็นกัปปดาบส ไม่เป็นอันได้หลับนอน. เมื่อเกวสดาบสนอนไม่หลับ อาหารก็ย่อยไม่ดี โรคลงโลหิตก็เกิดขึ้น ทุกขเวทนาเป็นไปอย่างแรงกล้า. พระราชาทรงพาแพทย์ ๕ สกุลมาปรนนิบัติพระดาบส โรคก็ไม่สงบ.
เกสวดาบสทูลพระราชาว่า มหาบพิตร พระองค์ปรารถนาให้อาตมภาพตาย หรือปรารถนาให้หายโรค.
พระราชาตรัสว่า ปรารถนาให้หายโรคชิ ท่านผู้เจริญ.
เกสวดาบสทูลว่า ถ้าอย่างนั้น พระองค์จงส่งอาตมภาพไปยังหิมวันตประเทศเถิด.
พระราชาตรัสว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ แล้วทรงส่งนารทอำมาตย์ไป มีพระดำรัสว่า ท่านจงพาท่านผู้เจริญไปหิมวันตประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า
นารทอำมาตย์นำเกสวดาบสนั้นไปหิมวันตประเทศแล้วกลับมา.
ฝ่ายเกสวดาบส พอได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น โรคทางใจก็สงบ ความรำคาญใจก็ระงับไป.
ทีนั้น กัปปดาบสได้ให้ยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยพร้อมกับผักที่ราดรดด้วยน้ำเปล่า ซึ่งไม่เค็มไม่ได้อบแก่เกสวดาบส โรคลงโลหิตของเกสวดาบสก็สงบระงับลงในขณะนั้นเอง.
พระราชาทรงส่งนารทอำมาตย์นั้นไปอีก รับสั่งว่า เธอจงไปฟังข่าวคราวของเกสวดาบสดูทีเถิด.
นารทอำมาตย์ไปแล้วได้เห็นเกสวดาบสนั้นหายจากโรค จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้าพาราณสีทรงพาแพทย์ ๕ ตระกูลมาปรนนิบัติ ไม่อาจทำท่านให้หายโรคได้ กัปปดาบสปรนนิบัติท่านอย่างไร ท่านจึงหายจากโรค เหตุใดท่านจึงยินดีถึงเพียงนี้
เกสวดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนนารทอำมาตย์ สิ่งอันน่ารื่นรมย์ใจซึ่งยังประโยชน์ให้สำเร็จมีอยู่ หมู่ไม้อันทำใจให้รื่นรมย์ ถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของกัปปดาบส ย่อมทำให้เรารื่นรมย์ใจยิ่งนัก กัปปดาบสทำเราให้ยินดีอย่างนี้ จึงให้เราดื่มยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยอันระคนด้วยผักที่ราดด้วยน้ำ ซึ่งไม่เค็มและไม่ได้อบกลิ่น โรคของเราสงบระงับเพราะข้าวยาคูนั้น เราเป็นผู้หายจากโรคแล้ว.
นารทอำมาตย์กล่าวว่า พระคุณเจ้าบริโภคข้าวสาลีสุกที่ปรุงด้วยเนื้อสะอาดมาแล้ว ไฉนข้าวฟ่างและลูกเดือยอันปราศจากรส จึงทำให้พระคุณเจ้ายินดีได้เล่า.
เกสวดาบสกล่าวว่า ของบริโภคจะดีหรือไม่ดีก็ตาม จะน้อยหรือมากก็ตาม บุคคลผู้คุ้นเคยกันบริโภคในที่ใด การบริโภคในที่นั้นแหละดี เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม.
นารทอำมาตย์ได้ฟังคำของเกสวดาบสแล้ว จึงไปยังราชสำนักกราบทูลตามคำกล่าวของเกสวดาบส

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์
นารทอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
เกสวดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น พกมหาพรหม
ส่วนกัปปดาบส คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
...เพื่อนกิน(ล้างผลาญ)หาง่าย เพื่อนกิน(ผู้รู้ใจ)หายาก...
จบเรื่อง เพื่อนกิน
cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนตรัย
ปกิณกะธรรม เรื่อง เพื่อนกิน
ได้ยินว่า ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีภัตตาหารไว้ถวายภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ เรือนของท่านเศรษฐีจึงเป็นเสมือนบ่อน้ำของภิกษุสงฆ์อยู่เป็นนิตย์ เรืองรองด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ คลาคล่ำด้วยหมู่ฤาษีผู้แสวงบุญ.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงกระทำประทักษิณพระนคร ทอดพระเนตรเห็นภิกษุสงฆ์ในนิเวศน์ของเศรษฐี ทรงดำริว่า แม้เราก็จักถวายภิกษาหารเป็นประจำแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป จึงเสด็จไปวิหาร ทรงนมัสการพระศาสดา แล้วทรงเริ่มตั้งภิกษาหารแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ นับแต่นั้นมา ก็ทรงถวายภิกษาหารในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ.
โภชนะข้าวสาลีมีกลิ่นหอมซึ่งเก็บไว้ถึง ๓ ปี เป็นของประณีต. ผู้ถวายด้วยมือของตนด้วยความคุ้นเคยหรือด้วยความสิเนหา มิได้มี พวกข้าหลวงย่อมจัดให้ถวาย. ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาที่จะนั่งฉัน รับเอาภัตตาหารมีรสเลิศต่างๆ แล้ว ไปยังตระกูลอุปัฏฐากของตน ให้ภัตตาหารแก่อุปัฏฐากเหล่านั้นแล้ว พากันฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย ไม่ว่าจะเศร้าหมองหรือประณีต.
อยู่มาวันหนึ่ง เขานำผลาผลเป็นอันมากมาถวายพระราชา. ท้าวเธอรับสั่งว่า พวกท่านจงถวายแด่ภิกษุสงฆ์
คนทั้งหลายจึงพากันไปยังโรงภัตตาหาร ไม่เห็นภิกษุแม้เพียงรูปเดียว จึงกราบทูลพระราชาว่า แม้ภิกษุรูปเดียวก็ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลากระมัง.
คนทั้งหลายกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้า แต่ภิกษุทั้งหลายรับภัตตาหารในวังของพระองค์แล้ว ไปในเรือนแห่งอุปัฏฐากผู้คุ้นเคยของตน ให้ภัตตาหารนั้นแก่อุปัฏฐากเหล่านั้น แล้วฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย จะเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม.
พระราชาทรงดำริว่า
ตตาหารของเราประณีต เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ฉันภัตตาหารนั้น พากันฉันภัตตาหารอื่น เราจักทูลถามพระศาสดา จึงเสด็จไปพระวิหาร ทรงนมัสการ แล้วจึงทูลถาม.
พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ธรรมดาการบริโภคโภชนะมีความคุ้นเคยกันสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวังของพระองค์ไม่มีผู้เข้าไปตั้งความคุ้นเคย แล้วให้ด้วยความสนิทสนม ภิกษุทั้งหลายจึงรับภัตตาหารแล้วฉันในที่แห่งคนผู้มีความคุ้นเคยแก่ตน
มหาบพิตร ชื่อว่ารสอื่นเช่นกับความคุ้นเคย ย่อมไม่มี แม้ของอร่อย ๔ อย่างที่คนผู้ไม่คุ้นเคยให้ ย่อมไม่ถึงค่าสักว่าเปรียงที่คนผู้คุ้นเคยให้.
แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ครั้นเมื่อโรคเกิดขึ้น เมื่อพระราชาแม้ทรงพาหมอทั้ง ๕ ตระกูลไปให้กระทำยา เมื่อโรคไม่สงบ ได้ไปยังสำนักของคนผู้คุ้นเคยกัน บริโภคยาคูอันทำด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยซึ่งไม่เค็ม และผักซึ่งราดด้วยสักแต่ว่าน้ำเปล่า ไม่มีรสเค็ม ก็หายจากโรค.
พระราชาทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ บิดามารดาตั้งชื่อกุมารนั้นว่า กัปปกุมาร. กัปปกุมารเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา ภายหลังต่อมา ได้บวชเป็นฤาษี.
ครั้งนั้น เกสวดาบสห้อมล้อมด้วยดาบส ๕๐๐ รูป เป็นครูของคณะอยู่ในหิมวันตประเทศ. กัปปดาบสได้ไปยังสำนักของเกสวดาบส อยู่เป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่แห่งอันเตวาสิก ๕๐๐ รูป. แท้จริง อัธยาศัยของกัปปดาบสได้มีความสนิทสนมต่อเกสวดาบส. ดาบสเหล่านั้นได้เป็นผู้คุ้นเคยกันและกันยิ่งนัก.
จำเนียรกาลนานมา เกสวดาบสได้พาดาบสเหล่านั้นไปยังถิ่นมนุษย์ เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว ถึงนครพาราณสีแล้วอยู่ในพระราชอุทยาน. วันรุ่งขึ้น เข้าไปสู่พระนครเพื่อภิกขาจาร ได้ไปถึงประตูพระราชวัง.
พระราชาทรงเห็นหมู่ฤาษีจึงให้ไปนิมนต์มา แล้วให้ฉันในภายในพระราชนิเวศน์ ทรงถือเอาปฏิญญา(คำรับรอง)แล้ว ให้พักอยู่ในพระราชอุทยาน.
ครั้นเมื่อล่วงกาลฤดูฝนแล้ว เกสวดาบสได้ทูลอำลาพระราชา.
พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นผู้แก่เฒ่า จงอาศัยข้าพเจ้าอยู่ก่อน ส่งแต่ดาบสหนุ่มๆ ไปยังหิมวันตประเทศเถิด.
เกสวดาบสรับว่าดีละ แล้วส่งดาบสเหล่านั้นพร้อมกับอันเตวาสิกผู้ใหญ่ไปยังหิมวันตประเทศ ตนเองยับยั้งอยู่ผู้เดียว
ฝ่ายกัปปดาบสไปยังหิมวันตประเทศอยู่กับดาบสทั้งหลาย. เกสวดาบส เมื่ออยู่เหินห่างกัปปดาบสก็รำคาญใจ อยากจะเห็นกัปปดาบส ไม่เป็นอันได้หลับนอน. เมื่อเกวสดาบสนอนไม่หลับ อาหารก็ย่อยไม่ดี โรคลงโลหิตก็เกิดขึ้น ทุกขเวทนาเป็นไปอย่างแรงกล้า. พระราชาทรงพาแพทย์ ๕ สกุลมาปรนนิบัติพระดาบส โรคก็ไม่สงบ.
เกสวดาบสทูลพระราชาว่า มหาบพิตร พระองค์ปรารถนาให้อาตมภาพตาย หรือปรารถนาให้หายโรค.
พระราชาตรัสว่า ปรารถนาให้หายโรคชิ ท่านผู้เจริญ.
เกสวดาบสทูลว่า ถ้าอย่างนั้น พระองค์จงส่งอาตมภาพไปยังหิมวันตประเทศเถิด.
พระราชาตรัสว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ แล้วทรงส่งนารทอำมาตย์ไป มีพระดำรัสว่า ท่านจงพาท่านผู้เจริญไปหิมวันตประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า
นารทอำมาตย์นำเกสวดาบสนั้นไปหิมวันตประเทศแล้วกลับมา.
ฝ่ายเกสวดาบส พอได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น โรคทางใจก็สงบ ความรำคาญใจก็ระงับไป.
ทีนั้น กัปปดาบสได้ให้ยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยพร้อมกับผักที่ราดรดด้วยน้ำเปล่า ซึ่งไม่เค็มไม่ได้อบแก่เกสวดาบส โรคลงโลหิตของเกสวดาบสก็สงบระงับลงในขณะนั้นเอง.
พระราชาทรงส่งนารทอำมาตย์นั้นไปอีก รับสั่งว่า เธอจงไปฟังข่าวคราวของเกสวดาบสดูทีเถิด.
นารทอำมาตย์ไปแล้วได้เห็นเกสวดาบสนั้นหายจากโรค จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้าพาราณสีทรงพาแพทย์ ๕ ตระกูลมาปรนนิบัติ ไม่อาจทำท่านให้หายโรคได้ กัปปดาบสปรนนิบัติท่านอย่างไร ท่านจึงหายจากโรค เหตุใดท่านจึงยินดีถึงเพียงนี้
เกสวดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนนารทอำมาตย์ สิ่งอันน่ารื่นรมย์ใจซึ่งยังประโยชน์ให้สำเร็จมีอยู่ หมู่ไม้อันทำใจให้รื่นรมย์ ถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของกัปปดาบส ย่อมทำให้เรารื่นรมย์ใจยิ่งนัก กัปปดาบสทำเราให้ยินดีอย่างนี้ จึงให้เราดื่มยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยอันระคนด้วยผักที่ราดด้วยน้ำ ซึ่งไม่เค็มและไม่ได้อบกลิ่น โรคของเราสงบระงับเพราะข้าวยาคูนั้น เราเป็นผู้หายจากโรคแล้ว.
นารทอำมาตย์กล่าวว่า พระคุณเจ้าบริโภคข้าวสาลีสุกที่ปรุงด้วยเนื้อสะอาดมาแล้ว ไฉนข้าวฟ่างและลูกเดือยอันปราศจากรส จึงทำให้พระคุณเจ้ายินดีได้เล่า.
เกสวดาบสกล่าวว่า ของบริโภคจะดีหรือไม่ดีก็ตาม จะน้อยหรือมากก็ตาม บุคคลผู้คุ้นเคยกันบริโภคในที่ใด การบริโภคในที่นั้นแหละดี เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม.
นารทอำมาตย์ได้ฟังคำของเกสวดาบสแล้ว จึงไปยังราชสำนักกราบทูลตามคำกล่าวของเกสวดาบส
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์
นารทอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
เกสวดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น พกมหาพรหม
ส่วนกัปปดาบส คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
...เพื่อนกิน(ล้างผลาญ)หาง่าย เพื่อนกิน(ผู้รู้ใจ)หายาก...
จบเรื่อง เพื่อนกิน
cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนตรัย