มิลินทปัญหา เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๗
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงความเผลอสติของพระอรหันต์
" ข้าแต่พระนาคเสน ความเผลอสติของพระอรหันต์มีอยู่หรือ ? "
" ขอถวายพระพร ไม่มี "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระอรหันต์ต้องอาบัติบ้างหรือไม่ ? "
" ขอถวายพระพร ต้อง "
" ต้องเพราะวัตถุอะไร? "
" ขอถวายพระพร ต้องด้วยสำคัญผิดคือเวลาวิกาล เข้าใจว่าเป็นกาลก็มี ห้ามการรับประเคนแล้ว เข้าใจว่าไม่ได้ห้ามก็มี อาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ เข้าใจว่าเป็นเดนภิกษุไข้ก็มี "
" ข้าแต่พระนาคเสน ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ๑ ด้วยความไม่รู้ ๑ พระอรหันต์ต้องอาบัติด้วยความไม่เอื้อเฟื้อมีอยู่หรือ ? "
" ไม่มีเลย มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ แต่ความไม่เอื้อเฟื้อย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นความเผลอสติ ก็มีแก่พระอรหันต์น่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร เป็นแต่พระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ "
" ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้โยมเข้าใจในข้อนี้ว่า เป็นเพราะอะไร ? "
" ขอถวายพระพร ลักษณะแห่งโทษมีอยู่ ๒ ประการ คือ
เป็นโลกวัชชะ ๑
เป็นปัณณัตติวัชชะ ๑
ที่เป็นโลกวัชชะ ( เป็นโทษทางโลก ) นั้นได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐
ที่เป็นปัณณัตติวัชชะ ( เป็นโทษทางพระวินัย ) นั้น ได้แก่ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ ไว้สำหรับพระภิกษุสาวกทั้งหลาย อย่าง วิกาลโภชนสิกขาบท คือการฉันอาหารในเวลาวิกาล เป็นโทษในทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
หรือ การทำให้ภูตคามเคลื่อนที่ คือการตัดต้นไม้ใบหญ้า เป็นต้น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
การว่ายน้ำเล่น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
สิ่งที่เป็นโทษทางพระวินัยนี้แหละ เรียกว่า " ปัณณัตติวัชชะ "
ส่วนที่เป็นโทษทางโลกนั้น พระอรหันต์ไม่ทำอย่างเด็ดขาด สิ่งที่เป็นโทษทางวินัย เมื่อยังไม่รู้ก็ทำ เพราะว่าการรู้สิ่งทั้งปวงไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ทั่วไป
สิ่งที่พระอรหันต์ไม่รู้ก็มี เช่น นามและโคตรแห่งสตรีบุรุษ พระอรหันต์รู้ได้เฉพาะวิมุตติ คือการหลุดพ้นก็มี
พระอรหันต์ขั้นอภิญญา ๖ ก็รู้เฉพาะในวิสัยแห่งตน สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเท่านั้น จึงจะรู้หมด ขอถวายพระพร "
" ถูกต้อง พระนาคเสน "
ปัญหาที่ว่าด้วยความเผลอสติของพระอรหันต์
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงความเผลอสติของพระอรหันต์
" ข้าแต่พระนาคเสน ความเผลอสติของพระอรหันต์มีอยู่หรือ ? "
" ขอถวายพระพร ไม่มี "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระอรหันต์ต้องอาบัติบ้างหรือไม่ ? "
" ขอถวายพระพร ต้อง "
" ต้องเพราะวัตถุอะไร? "
" ขอถวายพระพร ต้องด้วยสำคัญผิดคือเวลาวิกาล เข้าใจว่าเป็นกาลก็มี ห้ามการรับประเคนแล้ว เข้าใจว่าไม่ได้ห้ามก็มี อาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ เข้าใจว่าเป็นเดนภิกษุไข้ก็มี "
" ข้าแต่พระนาคเสน ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ๑ ด้วยความไม่รู้ ๑ พระอรหันต์ต้องอาบัติด้วยความไม่เอื้อเฟื้อมีอยู่หรือ ? "
" ไม่มีเลย มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ แต่ความไม่เอื้อเฟื้อย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นความเผลอสติ ก็มีแก่พระอรหันต์น่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร เป็นแต่พระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ "
" ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้โยมเข้าใจในข้อนี้ว่า เป็นเพราะอะไร ? "
" ขอถวายพระพร ลักษณะแห่งโทษมีอยู่ ๒ ประการ คือ
เป็นโลกวัชชะ ๑
เป็นปัณณัตติวัชชะ ๑
ที่เป็นโลกวัชชะ ( เป็นโทษทางโลก ) นั้นได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐
ที่เป็นปัณณัตติวัชชะ ( เป็นโทษทางพระวินัย ) นั้น ได้แก่ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ ไว้สำหรับพระภิกษุสาวกทั้งหลาย อย่าง วิกาลโภชนสิกขาบท คือการฉันอาหารในเวลาวิกาล เป็นโทษในทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
หรือ การทำให้ภูตคามเคลื่อนที่ คือการตัดต้นไม้ใบหญ้า เป็นต้น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
การว่ายน้ำเล่น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
สิ่งที่เป็นโทษทางพระวินัยนี้แหละ เรียกว่า " ปัณณัตติวัชชะ "
ส่วนที่เป็นโทษทางโลกนั้น พระอรหันต์ไม่ทำอย่างเด็ดขาด สิ่งที่เป็นโทษทางวินัย เมื่อยังไม่รู้ก็ทำ เพราะว่าการรู้สิ่งทั้งปวงไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ทั่วไป
สิ่งที่พระอรหันต์ไม่รู้ก็มี เช่น นามและโคตรแห่งสตรีบุรุษ พระอรหันต์รู้ได้เฉพาะวิมุตติ คือการหลุดพ้นก็มี
พระอรหันต์ขั้นอภิญญา ๖ ก็รู้เฉพาะในวิสัยแห่งตน สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเท่านั้น จึงจะรู้หมด ขอถวายพระพร "
" ถูกต้อง พระนาคเสน "