The Asperger story By P surachet ตอนที่ 15 ปัญหากับผู้หญิง 3 (ตอนจบ)
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ โรคแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Syndrome) ที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม จากที่ผมเคยเรียน จากคุยกับเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน และจากคุณหมอครับ เนื่องจากว่าผมเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์และได้พบกับความยากลำบากหลายอย่างทั้งๆ ที่ผมเป็นน้อย และคนในสังคมไทยไม่ค่อยได้รู้จักโรคนี้ ผมจึงคิดที่จะทำสื่อเพื่อให้คนไทยรู้จักมากขึ้น โดยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า “The Asperger story By P surachet” โดยจะแบ่งเป็น 15 ตอน อันนี้จะเป็นตอนที่ 15 ครับ หากว่าใครชอบดูในรูปแบบของคลิปวิดีโอมากกว่า สามารถรับชมคลิปได้เลยครับ แต่ถ้าใครชอบอ่านก็เลื่อนลงไปอ่านบทความได้เลยครับ
** คำเตือน เนี้อหาในตอน “ปัญหากับผู้หญิง” นั้นเป็นเนี้อหาที่ตรง เข้มข้น อาจดูแรงไปไหมผมไม่รู้แต่นี้คือสิ่งที่ผมเจอมาในชีวิตจริงกับผู้หญิงในวัยเดียวกัน ผมว่าผมต้องพูดความจริง เจอแบบนี้ก็ต้องพูดแบบนี้ซึ่งมันจะสะท้อนไปถึงวิธีคิดและการกระทำของผม ซึ่งจริงๆ มันอาจผิดก็ได้นะครับแต่ผมคิดแบบนี้จริงและผมว่ามันเหมาะสมสำหรับผม ไม่ว่ายังไงผมก็ให้เกียรติผู้หญิงเสมอครับ**
เรื่องการชอบ ความรัก
.
.
ผมขอพูดตรงนี้ก่อน ผมเคยคุยกับหมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ หมอบอกว่าส่วนใหญ่เด็กแบบเราจะมีปัญหากับผู้หญิงเยอะเพราะผู้หญิงมีรายละเอียดเยอะ ต้องใช้ทักษะสังคมเยอะ ถ้าจะให้จีบก็จีบไม่เป็นเพราะการจีบต้องใช้ทักษะสังคมขั้นสูง เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่จะเข้าใจเด็กกลุ่มเราส่วนใหญ่จะต้องมีอายุระดับหนึ่ง อาจ 20 ปลายๆ ขึ้นไป เพราะเขาเริ่มผ่านโลกมาพอสมควร เข้าใจชีวิตมากขึ้น บางคนผ่านผู้ชายมาหลายแบบเจอผู้ชายเจ้าชู้ก็มี จนได้มาค้นพบข้อดีของการมีแฟนเป็นเด็กพิเศษ ก็นั้นแระหลายๆ คนที่อยู่ในวัยเรียนก็คงจะไปคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราตามไม่ทันหรอกครับและผู้หญิงในวัยเรียนเขาก็ไม่เลือกเรา ผู้หญิงวัยเรียนชอบผู้ชายที่เอาใจ เข้าใจเขา และรวมถึงปัจจัยภายนอกด้วยเช่น หน้าตา บุคลิกภาพภายนอก แต่ข้อดีของเด็กกลุ่มเราก็จะมีตรงที่ส่วนใหญ่จะไม่เจ้าชู้เพราะทำไม่เป็น และข้อดีอีกหลายๆ อย่างที่ผมเล่ามารวมๆ
.
.
เข้าเรื่องกัน ถ้าถามผมว่าในตอนเรียนนั้นผมมีชอบผู้หญิงไหม ในตอนเรียนมัธยมไม่มีครับเพราะเรียนชายล้วนและไม่ค่อยได้ยุ่งกับใครนอกโรงเรียน ในตอนมหาลัยมีบ้างซึ่งแต่ละคนจะมีผลการแสดงออกไม่เหมือนกัน อันที่จริงแล้วทุกคนมองออกหมดว่าถ้าผมชอบใครก็จะมองออกเพราะมันปิดกันไม่ได้ ผู้ชายหลายๆ คนมันก็มีเทคนิคของมันอะนะในการปิดบังความจริง แต่ผมไม่มี ผมทำไม่เป็นและถึงทำเป็นก็ไม่ทำ ผมถือว่าอะไรที่เป็นความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ผู้ชายหลายคนที่เขาปิดเขาก็มีเหตุผลของเขา บางคนไม่กล้า บางคนกลัวรู้แล้วจะเสียเขาไปต่างๆ นาๆ แต่ผมไม่กลัวอะไรเลย ผมว่าถ้าจะเสียเพราะเรื่องนี้ก็เสียไปและก็มีเสียจริงๆ ด้วย สำหรับผมผมมองว่าการที่เราชอบเขามันมีแต่เรื่องดีๆ การชอบไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยอมรับเขาเป็นแฟน ก็แค่เขามีความรู้สึกดีๆ ให้ คุณไม่รับก็ไม่ต้องรับก็แค่เป็นเพื่อนกันต่อไปแค่นี้มันก็จบแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงจะต้องทำตัวแตกต่างออกเมื่อรู้หรือคนนั้นมาบอกว่าชอบ
.
.
วิธีหนึ่งที่ผมใช้บ่อยๆ ก็คือหลักการสะท้อนกลับ ถ้าผู้หญิงคนนั้นปฏิบัติตัวกับเราอย่างไรเราก็ทำแบบนั้นกลับ ถ้าเขาไม่อยากยุ่งกับเราไม่อยากคุยกับเราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา คุณห้ามใจตัวเองได้ไหมอันนี้ต้องฝึก ถ้าห้ามไม่ได้มันก็จะเกิดปัญหาถ้ายิ่งตามไปตื้อเขามันจะยิ่งมีปัญหาซึ่งเราไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้น แต่มันก็จะมีผู้หญิงบางกลุ่มที่จริงๆ แล้วเขาก็ชอบเราเหมือนกันพอเขารู้ว่าเราชอบเขาเขาก็ทำตัวไม่ถูกและพยายามไม่ยุ่ง หายไป อันนี้ผมไม่รู้นะว่าจะทำอย่างไร การตื้ออาจดีก็ได้
.
.
จริงๆ มันก็มีอีกหลายกรณีอีกนะครับที่เกี่ยวกับผู้หญิงเช่น บางครั้งเพื่อนผู้หญิงก็แกล้งผมประมาณว่าใช้น้ำเสียงแบบต่างๆ ซึ่งผู้ชายคนอื่นๆ จะชอบ แต่ผมก็เฉยๆ พูดแบบไหนก็มีผลกับผมน้อยกว่าผู้ชายคนอื่น หรือเคยมีผู้หญิงแกล้งอ่อยผมประมาณว่าแกล้งเล่นๆ แระครับ ซึ่งปกติผู้ชายก็จะชอบเล่นด้วยแล้วก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนละว่าจะเล่นตอบอย่างไร แต่เอาจริงๆ นะ เขาแกล้งทำกับผมผมยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขาอ่อย ถ้าเขาไม่บอกผมก็ไม่รู้หรอกว่าแบบนี้คืออ่อย
.
.
จริงๆ มันยังมีปัญหาอีกเยอะยกตัวอย่างเช่น ใน “ตอนที่ 5 พูดคนเดียว มีเพื่อนในคติ ไม่สนใจสภาพแวดล้อม” ผมได้บอกไว้ว่า ผมพูดคนเดียวแบบสร้างคนในอุดมคติขึ้นมาเอง สนทนาจริงจังเหมือนกับคนนั้นมีชีวิตจริงๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วคนนั้นไม่มีตัวตน และมีพฤติกรรมไม่สนใจสภาพแวดล้อม (รายละเอียดย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 5) ในตอนโตก็ยังเป็นแต่อาการน้อยลงส่วนใหญ่จะเป็นการยิ้ม คือในหัวคิดอย่างอื่นหน้าก็ยิ้มไปโดยที่มันไม่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ที่นี้ก็เป็นปัญหาซิครับ กับผู้ชายส่วนใหญ่มันเห็นมันก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจมีสงสัยบ้างแต่ก็รู้ว่าไม่ได้ผิดปกติทางจิต แต่กับผู้หญิงบางทีเขาเห็นเราเดินอยู่ข้างหลังเขาแล้วยิ้มเขาก็คิดว่าเราจะทำมิดีมิร้ายกับเขาไหม หรือบางที่ยิ่งไปกว่านั้น มีอยุ่ครั้งหนึ่งผมเดินก้มหน้าแล้วยิ้มครับ อย่างที่บอกผมไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเป็นอย่างไรประเด็นก็คือสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือผู้หญิงเดินอยู่ ภาพที่คนอื่นเห็นมันก็คือผมเดินตามผู้หญิงก้มหัวตามองกระโปร่งแล้วยิ้ม คือคนอื่นเห็นแล้วตกใจครับมีเพื่อนผู้ชายมาบอกผมว่า คือมันเกิดอะไรขึ้นภาพที่เห็นอย่างที่ผมเล่าไปมันเหมือนคนโรคจิตแอบดูกระโปร่งผู้หญิง ผมก็ตกใจเหมือนกัน โชคดีผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ตัวงั้นคงเป็นเรื่องแน่
.
.
แถมให้อีกนิด เราพูดถึงผู้หญิงกันเยอะละเรามาพูดถึงผู้ชายบ้าง ผมนึกออกอยู่เรื่องหนึ่งที่มีปัญหากับผู้ชาย คือผู้ชายบางครั้งเขาจีบอยู่หรือเขาพยายามใช้วิธีซื้อใจผู้หญิงด้วยการทำเป็นรู้เรื่องนุ่นเรื่องนี้ คือแบบโชว์อ๊อฟหญิง ผมเห็นผมก็ไม่รู้แต่พอเห็นผู้หญิงถามเรื่องอะไรผมรู้ผมก็ตอบแทนหรือบางครั้งผมว่าผู้ชายด้วยซ้ำถ้าหากว่าเขาพูดเรื่องนั้นผิดและแก้ให้ นั้นแระครับเขาก็มาบอกที่หลังว่าเขาไม่พอใจเรา ก็จะว่าไปเนอะผมมาคิดย้อนหลังทำแบบนั้นผู้ชายเขาก็ไม่พอใจอยู่แล้วเหมือนเราไปแย่งซีนเขา หลังจากนั้นผมก็ต้องระวังบางครั้งเรารู้เรื่องอะไรดีก็เงียบๆ ไว้อาจดีกว่า อันนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องฝึกครับว่าเรื่องไหนควรหรือไม่ควรพูด ผมเข้าใจนะถ้าคนเป็นโรคเยอะๆ ยังไงก็พูดแน่นอนถ้าเขารู้ ถ้าเขาต้องแก้ผิดเป็นถูก แต่เพื่อการเอาตัวรอดปลอดภัยก็ต้องฝึกครับ ซึ่งถ้าอาการของโรคเยอะฝึกยากแน่นอน
.
.
สุดท้ายนี้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงจริงๆ ยังมีมากกว่านี้อีกเยอะแต่ผมยกตัวใหญ่ประเด็นใหญ่ๆ มาเล่าให้ฟัง บางครั้งที่ผมพูดมาผมก็ทำไม่ได้ตรงตามที่พูด 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้เหมือนกัน อย่างบางครั้งการพูดกับผู้หญิงผมจะพูดนุ่มนวลกว่าผู้ชายก็มีเป็นบางกรณีแต่แก่นแท้อะเหมือนกัน จริงๆ มุมอื่นของผู้หญิงที่ดีๆ ก็มีอีกเยอะแต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผมเจอมันก็เป็นไปตามสภาพสังคมครับเพราะเราอายุยังน้อยก็จะเจอเพื่อนกลุ่มที่อายุไม่เยอะ ถ้าเป็นผู้หญิงอายุเยอะมุมมองที่เขามองเราก็จะเป็นอีกแบบมันก็จะเจอปัญหาน้อยกว่าผู้หญิงวัยเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ผมเจอก็เป็นไปตามที่เล่าครับ นี้แระครับที่ผมพูดไปตอนต้นว่าทำไมพอผู้ถึงผู้หญิงแล้วรู้สึกเอี่ยน พอเข้าใจบางแล้วใช่ไหมครับ
.
.
บทสรุป
สุดท้ายนี้ทั้งหมดของบทความเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงตัวตนที่เราเป็น การที่เราเป็นโรคอาจเป็นคำนิยาม ของคนที่พยายามนิยามกลุ่มอาการที่เราเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามสิ่งที่เราเป็นมันก็คือตัวเราที่สะท้อนออกมาในรูปแบบพฤติกรรมต่างๆ ต่อบุคคลอื่น อันที่จริงคนที่เป็นโรคนี้ร้อยคนร้อยแบบแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ก็จะมีแก่นบางสิ่งที่เหมือนกัน ทั้งหมดที่เล่าไปสำหรับผมนั้นบางอย่างก็เป็นอาการของโรค บางอย่างก็เป็นนิสัยส่วนตัว หลายๆ วิธีคิดและสิ่งที่ผมทำผมอาจพูดได้ว่าตัวผมอาจทำไม่ถูกก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อว่าสิ่งที่ผมที่ผมทำว่ามันถูก ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ผมจะพยายามมองให้เห็นที่แก่นของรากแท้ของสิ่งนั้น ซึ่งมันก็หมายความว่าอาจขัดต่อสิ่งที่คนในสังคมปฏิบัติกันมา นี้แระเขาถึงเรียกว่าเราขาดทักษะสังคม
ดังนั้นผมจึงขอสรุปส่วนตัวว่า เราอยากจะทำอย่างไรก็ทำไปถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่น ถ้าใครรับได้ก็รับรับไม่ได้เขาจะไปเอง มันก็เป็นเหมือนการคัดสรรตามธรรมชาติไป ผมเคยคุยกับหมอเราพบว่าสุดท้ายคนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ถึงเรารักษาดีแค่ไหนมันก็ยังมีอาการของโรคอยู่บ้างเล็กน้อยซึ่งถ้ามองให้เป็นมันก็จะเป็นจุดเด่น เราอย่างไปคาดหวังว่าเขาจะเป็นเหมือนคนปกติ ผมว่าสิ่งที่เราทำออกไปผิดหรือถูกมันไม่สามารถบอกได้หรอกว่าจริงๆ ผิดหรือถูก แต่ละคนก็จะใช้บรรทัคฐานของตัวเองมาตัดสินซึ่งมันต่างกันไปในแต่ละคน ผมจึงสรุปได้ว่าถ้าเราทำอะไรไปแล้วมันไม่เดือดร้อนใครและไม่เดือดร้อนตัวเองก็ทำไปเหอะครับ บางครั้งการที่เราเข้าใจธรรมชาติของพฤติกรรมของแต่ละคนก็จะทำให้
ผม P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
สามารถติดตามและพูดคุยกับผมได้ที่เพจ : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ :
https://www.facebook.com/psurachet95/?show_switched_toast=0&show_invite_to_follow=0&show_switched_tooltip=0&show_podcast_settings=0&show_community_transition=0&show_community_review_changes=0
ช่อง Youtube : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ :
https://www.youtube.com/channel/UCcaotwQy4XufCWfUdJGmFtw
รู้จักโรคแอสเพอร์เกอร์ Asperger’s Syndrome (ออทิสติกแบบ High function) ตอนที่ 15 ปัญหากับผู้หญิง 3 (ตอนจบ)
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ โรคแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Syndrome) ที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม จากที่ผมเคยเรียน จากคุยกับเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน และจากคุณหมอครับ เนื่องจากว่าผมเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์และได้พบกับความยากลำบากหลายอย่างทั้งๆ ที่ผมเป็นน้อย และคนในสังคมไทยไม่ค่อยได้รู้จักโรคนี้ ผมจึงคิดที่จะทำสื่อเพื่อให้คนไทยรู้จักมากขึ้น โดยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า “The Asperger story By P surachet” โดยจะแบ่งเป็น 15 ตอน อันนี้จะเป็นตอนที่ 15 ครับ หากว่าใครชอบดูในรูปแบบของคลิปวิดีโอมากกว่า สามารถรับชมคลิปได้เลยครับ แต่ถ้าใครชอบอ่านก็เลื่อนลงไปอ่านบทความได้เลยครับ
** คำเตือน เนี้อหาในตอน “ปัญหากับผู้หญิง” นั้นเป็นเนี้อหาที่ตรง เข้มข้น อาจดูแรงไปไหมผมไม่รู้แต่นี้คือสิ่งที่ผมเจอมาในชีวิตจริงกับผู้หญิงในวัยเดียวกัน ผมว่าผมต้องพูดความจริง เจอแบบนี้ก็ต้องพูดแบบนี้ซึ่งมันจะสะท้อนไปถึงวิธีคิดและการกระทำของผม ซึ่งจริงๆ มันอาจผิดก็ได้นะครับแต่ผมคิดแบบนี้จริงและผมว่ามันเหมาะสมสำหรับผม ไม่ว่ายังไงผมก็ให้เกียรติผู้หญิงเสมอครับ**
เรื่องการชอบ ความรัก
.
.
ผมขอพูดตรงนี้ก่อน ผมเคยคุยกับหมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ หมอบอกว่าส่วนใหญ่เด็กแบบเราจะมีปัญหากับผู้หญิงเยอะเพราะผู้หญิงมีรายละเอียดเยอะ ต้องใช้ทักษะสังคมเยอะ ถ้าจะให้จีบก็จีบไม่เป็นเพราะการจีบต้องใช้ทักษะสังคมขั้นสูง เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่จะเข้าใจเด็กกลุ่มเราส่วนใหญ่จะต้องมีอายุระดับหนึ่ง อาจ 20 ปลายๆ ขึ้นไป เพราะเขาเริ่มผ่านโลกมาพอสมควร เข้าใจชีวิตมากขึ้น บางคนผ่านผู้ชายมาหลายแบบเจอผู้ชายเจ้าชู้ก็มี จนได้มาค้นพบข้อดีของการมีแฟนเป็นเด็กพิเศษ ก็นั้นแระหลายๆ คนที่อยู่ในวัยเรียนก็คงจะไปคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราตามไม่ทันหรอกครับและผู้หญิงในวัยเรียนเขาก็ไม่เลือกเรา ผู้หญิงวัยเรียนชอบผู้ชายที่เอาใจ เข้าใจเขา และรวมถึงปัจจัยภายนอกด้วยเช่น หน้าตา บุคลิกภาพภายนอก แต่ข้อดีของเด็กกลุ่มเราก็จะมีตรงที่ส่วนใหญ่จะไม่เจ้าชู้เพราะทำไม่เป็น และข้อดีอีกหลายๆ อย่างที่ผมเล่ามารวมๆ
.
.
เข้าเรื่องกัน ถ้าถามผมว่าในตอนเรียนนั้นผมมีชอบผู้หญิงไหม ในตอนเรียนมัธยมไม่มีครับเพราะเรียนชายล้วนและไม่ค่อยได้ยุ่งกับใครนอกโรงเรียน ในตอนมหาลัยมีบ้างซึ่งแต่ละคนจะมีผลการแสดงออกไม่เหมือนกัน อันที่จริงแล้วทุกคนมองออกหมดว่าถ้าผมชอบใครก็จะมองออกเพราะมันปิดกันไม่ได้ ผู้ชายหลายๆ คนมันก็มีเทคนิคของมันอะนะในการปิดบังความจริง แต่ผมไม่มี ผมทำไม่เป็นและถึงทำเป็นก็ไม่ทำ ผมถือว่าอะไรที่เป็นความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ผู้ชายหลายคนที่เขาปิดเขาก็มีเหตุผลของเขา บางคนไม่กล้า บางคนกลัวรู้แล้วจะเสียเขาไปต่างๆ นาๆ แต่ผมไม่กลัวอะไรเลย ผมว่าถ้าจะเสียเพราะเรื่องนี้ก็เสียไปและก็มีเสียจริงๆ ด้วย สำหรับผมผมมองว่าการที่เราชอบเขามันมีแต่เรื่องดีๆ การชอบไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยอมรับเขาเป็นแฟน ก็แค่เขามีความรู้สึกดีๆ ให้ คุณไม่รับก็ไม่ต้องรับก็แค่เป็นเพื่อนกันต่อไปแค่นี้มันก็จบแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงจะต้องทำตัวแตกต่างออกเมื่อรู้หรือคนนั้นมาบอกว่าชอบ
.
.
วิธีหนึ่งที่ผมใช้บ่อยๆ ก็คือหลักการสะท้อนกลับ ถ้าผู้หญิงคนนั้นปฏิบัติตัวกับเราอย่างไรเราก็ทำแบบนั้นกลับ ถ้าเขาไม่อยากยุ่งกับเราไม่อยากคุยกับเราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา คุณห้ามใจตัวเองได้ไหมอันนี้ต้องฝึก ถ้าห้ามไม่ได้มันก็จะเกิดปัญหาถ้ายิ่งตามไปตื้อเขามันจะยิ่งมีปัญหาซึ่งเราไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้น แต่มันก็จะมีผู้หญิงบางกลุ่มที่จริงๆ แล้วเขาก็ชอบเราเหมือนกันพอเขารู้ว่าเราชอบเขาเขาก็ทำตัวไม่ถูกและพยายามไม่ยุ่ง หายไป อันนี้ผมไม่รู้นะว่าจะทำอย่างไร การตื้ออาจดีก็ได้
.
.
จริงๆ มันก็มีอีกหลายกรณีอีกนะครับที่เกี่ยวกับผู้หญิงเช่น บางครั้งเพื่อนผู้หญิงก็แกล้งผมประมาณว่าใช้น้ำเสียงแบบต่างๆ ซึ่งผู้ชายคนอื่นๆ จะชอบ แต่ผมก็เฉยๆ พูดแบบไหนก็มีผลกับผมน้อยกว่าผู้ชายคนอื่น หรือเคยมีผู้หญิงแกล้งอ่อยผมประมาณว่าแกล้งเล่นๆ แระครับ ซึ่งปกติผู้ชายก็จะชอบเล่นด้วยแล้วก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนละว่าจะเล่นตอบอย่างไร แต่เอาจริงๆ นะ เขาแกล้งทำกับผมผมยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขาอ่อย ถ้าเขาไม่บอกผมก็ไม่รู้หรอกว่าแบบนี้คืออ่อย
.
.
จริงๆ มันยังมีปัญหาอีกเยอะยกตัวอย่างเช่น ใน “ตอนที่ 5 พูดคนเดียว มีเพื่อนในคติ ไม่สนใจสภาพแวดล้อม” ผมได้บอกไว้ว่า ผมพูดคนเดียวแบบสร้างคนในอุดมคติขึ้นมาเอง สนทนาจริงจังเหมือนกับคนนั้นมีชีวิตจริงๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วคนนั้นไม่มีตัวตน และมีพฤติกรรมไม่สนใจสภาพแวดล้อม (รายละเอียดย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 5) ในตอนโตก็ยังเป็นแต่อาการน้อยลงส่วนใหญ่จะเป็นการยิ้ม คือในหัวคิดอย่างอื่นหน้าก็ยิ้มไปโดยที่มันไม่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ที่นี้ก็เป็นปัญหาซิครับ กับผู้ชายส่วนใหญ่มันเห็นมันก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจมีสงสัยบ้างแต่ก็รู้ว่าไม่ได้ผิดปกติทางจิต แต่กับผู้หญิงบางทีเขาเห็นเราเดินอยู่ข้างหลังเขาแล้วยิ้มเขาก็คิดว่าเราจะทำมิดีมิร้ายกับเขาไหม หรือบางที่ยิ่งไปกว่านั้น มีอยุ่ครั้งหนึ่งผมเดินก้มหน้าแล้วยิ้มครับ อย่างที่บอกผมไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเป็นอย่างไรประเด็นก็คือสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือผู้หญิงเดินอยู่ ภาพที่คนอื่นเห็นมันก็คือผมเดินตามผู้หญิงก้มหัวตามองกระโปร่งแล้วยิ้ม คือคนอื่นเห็นแล้วตกใจครับมีเพื่อนผู้ชายมาบอกผมว่า คือมันเกิดอะไรขึ้นภาพที่เห็นอย่างที่ผมเล่าไปมันเหมือนคนโรคจิตแอบดูกระโปร่งผู้หญิง ผมก็ตกใจเหมือนกัน โชคดีผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ตัวงั้นคงเป็นเรื่องแน่
.
.
แถมให้อีกนิด เราพูดถึงผู้หญิงกันเยอะละเรามาพูดถึงผู้ชายบ้าง ผมนึกออกอยู่เรื่องหนึ่งที่มีปัญหากับผู้ชาย คือผู้ชายบางครั้งเขาจีบอยู่หรือเขาพยายามใช้วิธีซื้อใจผู้หญิงด้วยการทำเป็นรู้เรื่องนุ่นเรื่องนี้ คือแบบโชว์อ๊อฟหญิง ผมเห็นผมก็ไม่รู้แต่พอเห็นผู้หญิงถามเรื่องอะไรผมรู้ผมก็ตอบแทนหรือบางครั้งผมว่าผู้ชายด้วยซ้ำถ้าหากว่าเขาพูดเรื่องนั้นผิดและแก้ให้ นั้นแระครับเขาก็มาบอกที่หลังว่าเขาไม่พอใจเรา ก็จะว่าไปเนอะผมมาคิดย้อนหลังทำแบบนั้นผู้ชายเขาก็ไม่พอใจอยู่แล้วเหมือนเราไปแย่งซีนเขา หลังจากนั้นผมก็ต้องระวังบางครั้งเรารู้เรื่องอะไรดีก็เงียบๆ ไว้อาจดีกว่า อันนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องฝึกครับว่าเรื่องไหนควรหรือไม่ควรพูด ผมเข้าใจนะถ้าคนเป็นโรคเยอะๆ ยังไงก็พูดแน่นอนถ้าเขารู้ ถ้าเขาต้องแก้ผิดเป็นถูก แต่เพื่อการเอาตัวรอดปลอดภัยก็ต้องฝึกครับ ซึ่งถ้าอาการของโรคเยอะฝึกยากแน่นอน
.
.
สุดท้ายนี้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงจริงๆ ยังมีมากกว่านี้อีกเยอะแต่ผมยกตัวใหญ่ประเด็นใหญ่ๆ มาเล่าให้ฟัง บางครั้งที่ผมพูดมาผมก็ทำไม่ได้ตรงตามที่พูด 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้เหมือนกัน อย่างบางครั้งการพูดกับผู้หญิงผมจะพูดนุ่มนวลกว่าผู้ชายก็มีเป็นบางกรณีแต่แก่นแท้อะเหมือนกัน จริงๆ มุมอื่นของผู้หญิงที่ดีๆ ก็มีอีกเยอะแต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผมเจอมันก็เป็นไปตามสภาพสังคมครับเพราะเราอายุยังน้อยก็จะเจอเพื่อนกลุ่มที่อายุไม่เยอะ ถ้าเป็นผู้หญิงอายุเยอะมุมมองที่เขามองเราก็จะเป็นอีกแบบมันก็จะเจอปัญหาน้อยกว่าผู้หญิงวัยเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ผมเจอก็เป็นไปตามที่เล่าครับ นี้แระครับที่ผมพูดไปตอนต้นว่าทำไมพอผู้ถึงผู้หญิงแล้วรู้สึกเอี่ยน พอเข้าใจบางแล้วใช่ไหมครับ
.
.
บทสรุป
สุดท้ายนี้ทั้งหมดของบทความเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงตัวตนที่เราเป็น การที่เราเป็นโรคอาจเป็นคำนิยาม ของคนที่พยายามนิยามกลุ่มอาการที่เราเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามสิ่งที่เราเป็นมันก็คือตัวเราที่สะท้อนออกมาในรูปแบบพฤติกรรมต่างๆ ต่อบุคคลอื่น อันที่จริงคนที่เป็นโรคนี้ร้อยคนร้อยแบบแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ก็จะมีแก่นบางสิ่งที่เหมือนกัน ทั้งหมดที่เล่าไปสำหรับผมนั้นบางอย่างก็เป็นอาการของโรค บางอย่างก็เป็นนิสัยส่วนตัว หลายๆ วิธีคิดและสิ่งที่ผมทำผมอาจพูดได้ว่าตัวผมอาจทำไม่ถูกก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อว่าสิ่งที่ผมที่ผมทำว่ามันถูก ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ผมจะพยายามมองให้เห็นที่แก่นของรากแท้ของสิ่งนั้น ซึ่งมันก็หมายความว่าอาจขัดต่อสิ่งที่คนในสังคมปฏิบัติกันมา นี้แระเขาถึงเรียกว่าเราขาดทักษะสังคม
ดังนั้นผมจึงขอสรุปส่วนตัวว่า เราอยากจะทำอย่างไรก็ทำไปถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่น ถ้าใครรับได้ก็รับรับไม่ได้เขาจะไปเอง มันก็เป็นเหมือนการคัดสรรตามธรรมชาติไป ผมเคยคุยกับหมอเราพบว่าสุดท้ายคนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ถึงเรารักษาดีแค่ไหนมันก็ยังมีอาการของโรคอยู่บ้างเล็กน้อยซึ่งถ้ามองให้เป็นมันก็จะเป็นจุดเด่น เราอย่างไปคาดหวังว่าเขาจะเป็นเหมือนคนปกติ ผมว่าสิ่งที่เราทำออกไปผิดหรือถูกมันไม่สามารถบอกได้หรอกว่าจริงๆ ผิดหรือถูก แต่ละคนก็จะใช้บรรทัคฐานของตัวเองมาตัดสินซึ่งมันต่างกันไปในแต่ละคน ผมจึงสรุปได้ว่าถ้าเราทำอะไรไปแล้วมันไม่เดือดร้อนใครและไม่เดือดร้อนตัวเองก็ทำไปเหอะครับ บางครั้งการที่เราเข้าใจธรรมชาติของพฤติกรรมของแต่ละคนก็จะทำให้
ผม P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
สามารถติดตามและพูดคุยกับผมได้ที่เพจ : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ : https://www.facebook.com/psurachet95/?show_switched_toast=0&show_invite_to_follow=0&show_switched_tooltip=0&show_podcast_settings=0&show_community_transition=0&show_community_review_changes=0
ช่อง Youtube : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ : https://www.youtube.com/channel/UCcaotwQy4XufCWfUdJGmFtw