มารีวิวโครงการออแพร์ของ Engenius International ค่าา
เริ่มแรกเลย ตอนเรียนมหาลัยเรามีความฝันว่าเราอยากลองไปใช้ชีวิตในต่างประเทศดูซักครั้ง ประเทศไหนก็ได้เลย ไม่ติด เห็นเพื่อนๆต่างคณะไป work and travel กันเต็มเลย แต่คณะเราเรียนหนักมาก ซัมเมอร์ก็ต้องไปฝึกงาน ก็เลยไม่มีเวลาได้ไปเลย แอบเสียดายมาจากถึงตอนนี้ 🥺
ย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนเรียนจบใหม่ๆ เรายังไม่อยากทำงาน อยากมี gap year ให้ตัวเอง เราก็เลยศึกษาหาข้อมูลว่าด้วยเงื่อนไขของเรา มีโครงการไหนบ้างที่เราสามารถจะไปได้ ก็มี Aupair กับ work and holiday(wah) แต่เราเอนเอียงไปทาง aupair มากกว่า เราก็เลยไปสัมมนากับเอเจนซี่หนึ่ง ช่วงนั้นทรัมป์เป็นประธานาธิบดีพอดี พี่เค้าก็แนะนำว่าวีซ่าคงจะผ่านยาก น้องไปทำงานหาประสบการณ์ก่อน แล้วก็ไปฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มมาด้วย เราก็เลยพับความฝันนี้ไป
ระหว่างทำงานเราก็ยังติดใจกับเรื่องนี้มาตลอด จนเมื่อช่วง มิย โควิดระบาดหนัก แถมมีกระแสที่คนอยากย้ายประเทศกันมากขึ้น(ก็คงรู้น้าว่าเพราะอะไร) ตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน เราอยากพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แล้วก็มี ad เอเจนซี่หนึ่งโผล่ขึ้นมา เราก็เลยติดต่อถามรายละเอียดเค้าไป ปรากฎว่าเรามีคุณสมบัติที่สมัครได้ เราก็เลยตัดสินใจสมัครเลยตอนเดือน กค 64
พอสมัครเสร็จ หลังจากนั้นเราต้องเตรียมเอกสารต่างๆมากมาย ต้องขอใบรับรองการมีประสบการณ์การเลี้ยงเด็ก เขียนจดหมายถึงโฮสต์แฟมิลี่ ทำ photo collage ทำคลิปวิดีโอพรีเซ้นตัวเอง ขอใบรับรองสุขภาพซึ่งต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนตอนเด็ก ทดสอบจิตวิทยากับทางอเมริกา กรอกเอกสารต่างๆอีกมากมาย ระหว่างที่เตรียมเอกสารเราก็ต้องเรียนพูดอิ้งเพิ่ม เผื่อเวลาต้องคุยกับโฮสต์เราจะได้คุยได้ เลิกงาน 19.30 ต้องรีบกลับห้องไปเรียนถึงสามทุ่ม ตอนนั้นบอกได้เลยว่าโคตรเหนื่อยแต่มันก็โคตรคุ้มเลยอ่า กว่าที่เราจะได้ออนไลน์ก็ประมาณเดือน พย 64 วันที่รู้ว่าได้ออนไลน์คือดีใจมากๆ เหมือนมันสำเร็จไป 50% แล้วอ่ะ
หลังจากออนไลน์โปรไฟล์อันนี้แหละต้องพึ่งดวงล้วนๆแล้วว่าจะมีโฮสต์ทักมารึเปล่า
เราก็แอบกังวลเพราะว่าเรามีประสบการณ์ที่เลี้ยงเด็กพิเศษค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากที่ออนไลน์ 1 วันก็มีโฮสต์ทักมา เค้ามีลูกเป็นเด็กพิเศษ คุยกันผ่านทางอีเมล คอลวิดีโอ 1 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แมช ก็แอบเฟลเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่เป็นไร แล้วก็เงียบหายไปนาน มีบ้านที่ทักมาขอคุยด้วยแต่ก็ไม่ได้คุยประมาณ 2-3 บ้าน เครียดมากๆเลยตอนนั้น จนสุดท้ายมาบ้านที่แมชด้วยนี้ เราใช้เวลารอไปประมาณ 3 เดือนเต็มๆ host mom น่ารักมากกกก nice แบบมากๆ เค้าพยายามเข้าใจเราทุกอย่าง คำที่เค้าบอกเราแล้วทำให้เราตัดสินใจว่ายังไงเราก็จะไปดูแลลูกเค้าก็คือ ‘When you don’t understand me, you can ask me because communication is key’ มันทำให้เราเปิดใจมากๆ ตามสไตล์ฝรั่งแหละ คิดยังไงให้พูดไปเลย ไม่ต้องมาเกรงใจกัน
พอเค้าตัดสินใจแมชกับเค้า เราก็ต้องรอเอกสารจากอเมริกา กว่าเราจะได้จองสัมภาษณ์วีซ่าเกือบเดือน อย่างที่รู้ว่าคิวสัมภาษณ์นานมากๆ เราต้องขอบคุณพี่อเล็กเลยนะที่ทำให้เราได้คิวสัมภาษณ์เร็วขึ้นมากๆ
และแล้วก็ถึงด่านสุดท้ายนั้นก็คือ สัมภาษณ์วีซ่า ด่านที่โหดหิน ได้ไปไม่ได้ไปอยู่ที่ขั้นตอนนี้ พยายามปล่อยใจสบายๆไม่อยากคิดอะไรมาก คิดว่าเราทำได้เราก็จะทำได้
และแล้ววันสัมภาษณ์วีซ่าก็มาถึง เราสัมที่กทมกับท่านกงสุลผู้หญิง บอกได้ว่าโคตรจะตื่นเต้นนนนน เค้าถามเราว่า ไปทำอะไร ตอนนี้ทำงานอะไร กลับมาแล้วจะทำอะไร ที่พีคที่สุดคือเค้าถามเราว่าจะไปเป็นออแพร์ทำไมในเมื่อที่ทำงานที่นี่ก็ดีอยู่แล้ววว ออแพร์สัมเป็นอิ้งนะ โหหหหห ตอนนั้นเกือบตุย เหมือนโดนยิงปังๆ ดีน้าที่ตอบได้อยู่ วินาทีที่ท่านกงพูดว่า congrastulations your visa is approved แทบจะไปกราบที่อก ฮือออ ดีใจจจ
ต้องขอบคุณมากๆเลยคือพี่อุ๋มกับพี่อเล็กเลยที่ช่วยบรีฟและให้กำลังใจแบบจุกๆ ถ้าวันนั้นไม่ได้เข้าไปหาพี่ๆที่ออฟฟิศก็คงไม่ได้แนวทางเยอะแยะขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆค่า 🙏🏻 แล้วก็ขอขอบคุณพี่ๆ สตาฟ Engenius ทุกคน ที่คอยช่วยดูแลเรื่องเอกสาร ปรึกษาเวลามีข้อสงสัยใดๆ พี่น่ารักมากๆ 💕
[CR] รีวิวโครงการออแพร์ by Engenius International
เริ่มแรกเลย ตอนเรียนมหาลัยเรามีความฝันว่าเราอยากลองไปใช้ชีวิตในต่างประเทศดูซักครั้ง ประเทศไหนก็ได้เลย ไม่ติด เห็นเพื่อนๆต่างคณะไป work and travel กันเต็มเลย แต่คณะเราเรียนหนักมาก ซัมเมอร์ก็ต้องไปฝึกงาน ก็เลยไม่มีเวลาได้ไปเลย แอบเสียดายมาจากถึงตอนนี้ 🥺
ย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนเรียนจบใหม่ๆ เรายังไม่อยากทำงาน อยากมี gap year ให้ตัวเอง เราก็เลยศึกษาหาข้อมูลว่าด้วยเงื่อนไขของเรา มีโครงการไหนบ้างที่เราสามารถจะไปได้ ก็มี Aupair กับ work and holiday(wah) แต่เราเอนเอียงไปทาง aupair มากกว่า เราก็เลยไปสัมมนากับเอเจนซี่หนึ่ง ช่วงนั้นทรัมป์เป็นประธานาธิบดีพอดี พี่เค้าก็แนะนำว่าวีซ่าคงจะผ่านยาก น้องไปทำงานหาประสบการณ์ก่อน แล้วก็ไปฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มมาด้วย เราก็เลยพับความฝันนี้ไป
ระหว่างทำงานเราก็ยังติดใจกับเรื่องนี้มาตลอด จนเมื่อช่วง มิย โควิดระบาดหนัก แถมมีกระแสที่คนอยากย้ายประเทศกันมากขึ้น(ก็คงรู้น้าว่าเพราะอะไร) ตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน เราอยากพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แล้วก็มี ad เอเจนซี่หนึ่งโผล่ขึ้นมา เราก็เลยติดต่อถามรายละเอียดเค้าไป ปรากฎว่าเรามีคุณสมบัติที่สมัครได้ เราก็เลยตัดสินใจสมัครเลยตอนเดือน กค 64
พอสมัครเสร็จ หลังจากนั้นเราต้องเตรียมเอกสารต่างๆมากมาย ต้องขอใบรับรองการมีประสบการณ์การเลี้ยงเด็ก เขียนจดหมายถึงโฮสต์แฟมิลี่ ทำ photo collage ทำคลิปวิดีโอพรีเซ้นตัวเอง ขอใบรับรองสุขภาพซึ่งต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนตอนเด็ก ทดสอบจิตวิทยากับทางอเมริกา กรอกเอกสารต่างๆอีกมากมาย ระหว่างที่เตรียมเอกสารเราก็ต้องเรียนพูดอิ้งเพิ่ม เผื่อเวลาต้องคุยกับโฮสต์เราจะได้คุยได้ เลิกงาน 19.30 ต้องรีบกลับห้องไปเรียนถึงสามทุ่ม ตอนนั้นบอกได้เลยว่าโคตรเหนื่อยแต่มันก็โคตรคุ้มเลยอ่า กว่าที่เราจะได้ออนไลน์ก็ประมาณเดือน พย 64 วันที่รู้ว่าได้ออนไลน์คือดีใจมากๆ เหมือนมันสำเร็จไป 50% แล้วอ่ะ
หลังจากออนไลน์โปรไฟล์อันนี้แหละต้องพึ่งดวงล้วนๆแล้วว่าจะมีโฮสต์ทักมารึเปล่า
เราก็แอบกังวลเพราะว่าเรามีประสบการณ์ที่เลี้ยงเด็กพิเศษค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากที่ออนไลน์ 1 วันก็มีโฮสต์ทักมา เค้ามีลูกเป็นเด็กพิเศษ คุยกันผ่านทางอีเมล คอลวิดีโอ 1 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แมช ก็แอบเฟลเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่เป็นไร แล้วก็เงียบหายไปนาน มีบ้านที่ทักมาขอคุยด้วยแต่ก็ไม่ได้คุยประมาณ 2-3 บ้าน เครียดมากๆเลยตอนนั้น จนสุดท้ายมาบ้านที่แมชด้วยนี้ เราใช้เวลารอไปประมาณ 3 เดือนเต็มๆ host mom น่ารักมากกกก nice แบบมากๆ เค้าพยายามเข้าใจเราทุกอย่าง คำที่เค้าบอกเราแล้วทำให้เราตัดสินใจว่ายังไงเราก็จะไปดูแลลูกเค้าก็คือ ‘When you don’t understand me, you can ask me because communication is key’ มันทำให้เราเปิดใจมากๆ ตามสไตล์ฝรั่งแหละ คิดยังไงให้พูดไปเลย ไม่ต้องมาเกรงใจกัน
พอเค้าตัดสินใจแมชกับเค้า เราก็ต้องรอเอกสารจากอเมริกา กว่าเราจะได้จองสัมภาษณ์วีซ่าเกือบเดือน อย่างที่รู้ว่าคิวสัมภาษณ์นานมากๆ เราต้องขอบคุณพี่อเล็กเลยนะที่ทำให้เราได้คิวสัมภาษณ์เร็วขึ้นมากๆ
และแล้วก็ถึงด่านสุดท้ายนั้นก็คือ สัมภาษณ์วีซ่า ด่านที่โหดหิน ได้ไปไม่ได้ไปอยู่ที่ขั้นตอนนี้ พยายามปล่อยใจสบายๆไม่อยากคิดอะไรมาก คิดว่าเราทำได้เราก็จะทำได้
และแล้ววันสัมภาษณ์วีซ่าก็มาถึง เราสัมที่กทมกับท่านกงสุลผู้หญิง บอกได้ว่าโคตรจะตื่นเต้นนนนน เค้าถามเราว่า ไปทำอะไร ตอนนี้ทำงานอะไร กลับมาแล้วจะทำอะไร ที่พีคที่สุดคือเค้าถามเราว่าจะไปเป็นออแพร์ทำไมในเมื่อที่ทำงานที่นี่ก็ดีอยู่แล้ววว ออแพร์สัมเป็นอิ้งนะ โหหหหห ตอนนั้นเกือบตุย เหมือนโดนยิงปังๆ ดีน้าที่ตอบได้อยู่ วินาทีที่ท่านกงพูดว่า congrastulations your visa is approved แทบจะไปกราบที่อก ฮือออ ดีใจจจ
ต้องขอบคุณมากๆเลยคือพี่อุ๋มกับพี่อเล็กเลยที่ช่วยบรีฟและให้กำลังใจแบบจุกๆ ถ้าวันนั้นไม่ได้เข้าไปหาพี่ๆที่ออฟฟิศก็คงไม่ได้แนวทางเยอะแยะขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆค่า 🙏🏻 แล้วก็ขอขอบคุณพี่ๆ สตาฟ Engenius ทุกคน ที่คอยช่วยดูแลเรื่องเอกสาร ปรึกษาเวลามีข้อสงสัยใดๆ พี่น่ารักมากๆ 💕
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม