ลูกชาย เจ๊ยบ กาญจนาพร เสียชีวิตเพราะไบโพลาร์ โรคนี้จริง ๆ รักษาหายได้หรือไม่ ?

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ลองมาลงดูนะครับ ไม่รู้ว่ามีใครสนใจรึเปล่า ปัญหาของโรคไบโพลาร์ที่มีระยะอาการของโรคซึมเศร้า
ที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายในทางการแพทย์ เพราะหมอก็ไม่รู้สาเหตุของโรค
แต่ในคนที่ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของโรคเอง จากงานวิจัยหรือทฤษฎีจากการศึกษาต่าง ๆ 
พบว่ามันเกิดมาจากการที่มีปรอทในสมอง 

คนเราทุกวันนี้ได้รับสารปรอทกันทุกคน และเอฟเฟคท์ของปรอทเกิดขึ้นกับคนแต่ละคนแตกต่างกันไป
ทำไมเกิดแตกต่างกัน มันมีเหตุผลที่ยาวมาก ๆ ผมถึงเอามาเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม ๆ
และมันไม่ใช่การคาดการณ์ที่เลื่อนลอย มันมีคำอธิบายทางชีวเคมีเต็มไปหมด 
ที่เลวร้ายก็คือ (ที่พูดในคลิป) เมื่อเข้ารับการรักษา ยาที่หมอใช้ แม้จะช่วยบรรเทาเพื่อให้
ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ แต่ผลข้างเคียงก็มีมากมายมหาศาล ที่กระทบกับสมองและตัวตนของคนป่วย
ซึ่งหมอเขาจะไม่บอกเรื่องเหล่านี้กับคนไข้ หรือถ้าคนไข้ถาม หมอก็จะบอกว่าหมอไม่เคยเจอเคสแบบนั้น

เมื่อเป็นโรคนี้แล้วมันจะมีโรคอื่นหรืออาการอื่นเข้ามาร่วมด้วยหลายอย่าง
ผู้ป่วยบางคนบอกว่า เขารู้ว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถ้าใครไม่เคยเป็นก็จะไม่มีวันเข้าใจ
การไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ การบำบัด การเล่นกีฬา การโยคะ และอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสำหรับหลายคน
นั่นมาจากการที่สารพิษโลหะหนักอย่างปรอทเข้าไปอยู่ในสมอง และนำพาทำให้ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษชนิดอื่น ๆ ได้ทั้งหมด

พวกเรามีระเบิดเวลานี้ฝังอยู่ในตัวคนทุกคน และเรายังไม่มีวิธีตรวจหาสารปรอทที่ฝังอยู่ในเซลล์หรือเนื้อเยื่อสมอง
เราได้มันมาจากได้ เราได้จากแม่เรา ในวัคซีน อมัลกัมในฟันเรา อาหารที่เรากิน ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่แย่ของเรา 
ความเสียหายของไมโครไบโอมที่มาจากการรักษาของแพทย์ (เคสที่หมอไปตัดไส้ติ่งแทนเพราะไม่เจอมะเร็งก็กระทบไมโครไบโอมมาก)

ในโลกข้างนอกที่ไม่ใช่ประเทศไทย มีการแพทย์สายหลักที่เหมือนเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้านการรักษาโรค นั่นคือคือ
การมีระบบความคิดที่ต้องเชื่อฟังหมอทุกอย่าง หาข้อมูลเองไม่ได้ รักษาตัวเองไม่ได้ กินอาหารเสริมไม่ได้
ถ้าหมอไม่อนุญาตหรืออนุมัติเห็นชอบ ถ้าหมอบอกว่ารักษาไม่หาย โรคนั้นต้องรักษาไม่หาย หมอจะให้ผ่าตัด
หรือกินยาอะไรก็ต้องทำตามนั้น คนไข้ควรมีความมั่นใจอย่าเคลือบแคลงสงสัย อุบัติเหตุหากจะเกิดขึ้น มัน
คือหนึ่งในร้อย หนึ่งในพัน ดังนั้นถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ต้องทำใจ และการรักษาที่ผิดพลาดหมอจะได้รับการปกป้องสูงเสมอ

กับอีกแบบที่เหมือนเสรีนิยมด้านการรักษาโรค คือผู้ป่วยศึกษาค้นคว้าเอง ตั้งคำถามกับการรักษาของหมอ
หาข้อมูลผลข้างเคียงของวิธีการรักษาหรือยาทุกอย่างที่หมอจะใช้
พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อหาสาเหตุของโรคให้ได้ว่าทำไมโรคนั้นถึงเกิดกับตน แม้การแพทย์จะยืนยันว่าเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้
ผู้ป่วยสืบหาความเชื่อมโยงต่าง ๆ สังเกตตัวเองและสืบประวัติของตัวเอง โดยไม่นึกแค่ว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเป็นพันธุกรรม
ผู้ป่วยหาสารอื่นทดแทนการใช้ยา เพื่อให้ได้เอฟเฟคท์ที่เหมือนกันแต่ไม่กระทบต่อร่างกายรุนแรง โดยอาศัยสารที่มีในอาหารหรืออาหารเสริม 
ผู้คนที่ทำแบบนี้จะมีความคิดแบบเสรีนิยม ชอบการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง หรือชอบทำอะไรเองไม่ชอบพึ่งใคร 100% 
และไม่สนใจว่าการตัดสินใจเรื่องการรักษาทุกอย่างผูกขาดโดยแพทย์แต่ฝ่ายเดียว 

ผลก็คือ โรคที่รักษาไม่ได้หลายโรค สามารถหายได้ และเกิดขึ้นในคนกลุ่มนี้ทั้งนั้น
และแพทย์ที่เป็นเสรีนิยมที่ไม่ยึดติดกับตำราแพทย์สายหลัก พยายามค้นคว้าเพิ่มเอง
ก็พบว่าสามารถรักษาโรคที่การแพทย์บอกว่าไม่มีทางรักษาได้หลายโรค 
บ้านเรามีความคิดด้านอนุรักษ์นิยมเยอะ ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะสนใจสิ่งที่นอกเหนือจากที่แพทย์พูดหรือไม่
มันไม่ใช่เรื่องหมอผีหรือหมอตี๋ แต่มันคือตัวเราเองนี่แหล่ะ ที่ลุยงานวิจัยเอง เชื่อมโยงกับร่างกายตัวเราเอง
แล้วมันก็จะเจอร่องรอยอะไรบางอย่างทุกครั้ง แบบที่คนที่ไม่เป็นจะไม่มีทางรู้เหมือนตัวเรา 
การไม่รู้สาเหตุของโรคจึงเป็นเรื่องปกติของการแพทย์
เพราะโรคหลายอย่างเกิดจากการกระทำของตัวเราเองหรือสิ่งที่ตัวเราเองไปเจอมาโดยบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ 
และมีตัวเราเองที่รู้เท่านั้น 

อย่างกรณีโรคไบโพลาร์กับโรคซึมเศร้า งานหลายชิ้นชี้ไปที่สารปรอท
และเมื่อค้นคว้าเรื่องแหล่งของการถูกพิษ มันเป็นไปได้ว่าทุกคนต่างก็มีมัน 
มันอยู่ที่ร่างกายใครจะถึงลิมิตก่อนกัน ซึ่งมันมีการศึกษาเรื่องการสะสมของสารพิษ
แล้วสุดท้าย ก็ต้องศึกษาว่าวิธีการไหนขับสารพิษได้ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันในกลุ่มคนที่ขับสารพิษในอเมริกา
การขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต คือวิธีการที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะป้องกันการย้อนกระจายกลับของสารพิษ
นี่คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้เอง และเมื่อสอบถามหลายคนในกลุ่มนั้น พวกเขาหายจากไบโพลาร์หรือโรคซึมเศร้าได้
โดยไม่ต้องใช้ยาที่อันตรายต่อสมองอีกต่อไป ซึ่งฝรั่งทั่วไปที่ศึกษาค้นคว้าอ่านงานวิจัยมากมายด้วยตัวเอง
มีความละเอียดมีการสังเกตการเก็บสถิติมากอยู่แล้ว เพียงแต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ไปถึงการแพทย์เท่านั้น 
และเรื่องผลกระทบของ epigenetic จากสารพิษที่ฝังอยู่ในเซลล์ก็เป็นเรื่องที่มีจริง แต่ในเมื่อตรวจไม่ได้ ยังมีเทคโนโลยีไม่พอ
การแพทย์ก็เพียงตัดเรื่องนี้ทิ้งไปเท่านั้น ไม่อยู่ในความสนใจที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์รักษา

คนทั่วไปอย่างเรา ๆ ควรทำเช่นไร
* ก็ควรรับฟังและรักษากับหมอเหมือนเดิม (ในแบบแนวคิดอนุรักษ์นิยม)
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความสงสัย มีการตั้งคำถาม พยายามศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเองได้ (ในแบบแนวคิดเสรีนิยม)
อย่ากลัวที่จะสังเกตหรือทดลองด้วยตัวเองเพราะถ้ามีข้อมูลมากเพียงพอ ที่จะรู้โดสที่ไม่เป็นอันตรายแน่นอน 
รู้กลไกทางเคมีรวมถึงผลข้างเคียงต่าง ๆ ทั้งหมด ก็สามารถที่จะรักษาตัวเองได้ ซึ่งถ้าเป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
นี่เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด สำหรับคนไทยที่ห่างจากเรื่องพวกนี้มาก เราไม่ถนัดภาษา และอาศัยแต่ฟังพวกผู้รู้
เรื่องแบบนี้คงไม่อยู่ในความคิดอย่างแน่นอนในคนส่วนใหญ่

สำหรับผู้ป่วยไบโพลาร์ ถ้าหากอยากหลุดพ้นจากวิถีแบบเดิม คือใช้ยาระงับอาการ
แต่โรคไม่หาย แต่ต้องทุกข์ทรมานกับผลข้างเคียง ลองออกมาศึกษาด้วยตัวเองดู
ถ้ายังไม่ได้เริ่มกินยา ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาด้วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปปรึกษาหมอ
ดูชื่อตัวยาทุกตัว ดูผลข้างเคียงอะไรต่าง ๆ เพราะยาเมื่อกินไปแล้ว สมองจะติด เหมือนติดสิ่งเสพติดได้
และเมื่อเกิดความเสียหายกับสมอง มันจะย้อนกลับไม่ได้ ซึ่งควรอ่านข้อมูลภาษาอังกฤษ ภาษาไทยมีข้อมูลน้อยมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่