นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการจับตัวของน้ำดีที่มีส่วนประกอบอย่างคอเลสเตอรอล บิลิรูบิน และเกลือ ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดตันในระบบย่อยอาหาร หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือถึงขั้นถุงน้ำดีแตกได้ โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ ความเสี่ยงในการเกิดนิ่วจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นกระตุ้นให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีเพิ่มขึ้น ผู้หญิงตั้งครรภ์ประมาณ 5-6% อาจเผชิญกับนิ่วในถุงน้ำดี และแม้ว่าส่วนใหญ่จะรักษาได้ด้วยยา แต่ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องผ่าตัด โดยภาวะนี้ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์บ่อยเป็นอันดับสองในหญิงตั้งครรภ์
อาการของนิ่วในถุงน้ำดี
ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆ หรืออาจแสดงอาการชัดเจนดังนี้
-คลื่นไส้และอาเจียน
-ปวดท้องด้านบนขวาอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจเปลี่ยนตำแหน่งตามระยะของการตั้งครรภ์
-มีไข้
หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม โดยการตรวจอัลตราซาวด์ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์
การรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างตั้งครรภ์
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและระยะของการตั้งครรภ์ โดยแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้
ไตรมาสที่ 1 (3 เดือนแรก)
-แนะนำให้หลีกเลี่ยงการผ่าตัดหากไม่จำเป็น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการแท้งและความผิดปกติของทารกจากการใช้ยาในระหว่างการผ่าตัด
หากอาการไม่รุนแรง มักเลือกการรักษาแบบประคับประคอง เช่น การปรับอาหารและใช้ยาบรรเทาอาการ
ไตรมาสที่ 2 (เดือนที่ 4-6)
-เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผ่าตัด เนื่องจากความเสี่ยงต่อมารดาและทารกต่ำที่สุด
การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) นิยมใช้ในระยะนี้ เพราะมีแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดแผลขนาดใหญ่
ไตรมาสที่ 3 (3 เดือนสุดท้าย)
-หากอาการไม่รุนแรง แพทย์มักแนะนำให้เลื่อนการผ่าตัดออกไปหลังคลอด เนื่องจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นอาจทำให้การผ่าตัดซับซ้อนและเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
สำหรับกรณีที่มีภาวะฉุกเฉิน
เช่น การติดเชื้อรุนแรงหรือถุงน้ำดีแตก อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดโดยด่วน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยระหว่างตั้งครรภ์
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี:
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือของทอด
2.รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีไขมันต่ำ
3.ติดตามอาการและปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอ
การรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างตั้งครรภ์ต้องอาศัยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การรักษาในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์มีข้อดีและข้อควรระวังต่างกัน ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาควรคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งมารดาและทารกเป็นสำคัญ หากคุณมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
อ่านเพิ่มเติมได้ ที่
HDcare Blog
นิ่วในถุงน้ำดีระหว่างตั้งครรภ์ รับมืออย่างไร
อาการของนิ่วในถุงน้ำดี
ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆ หรืออาจแสดงอาการชัดเจนดังนี้
-คลื่นไส้และอาเจียน
-ปวดท้องด้านบนขวาอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจเปลี่ยนตำแหน่งตามระยะของการตั้งครรภ์
-มีไข้
หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม โดยการตรวจอัลตราซาวด์ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์
การรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างตั้งครรภ์
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและระยะของการตั้งครรภ์ โดยแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้
ไตรมาสที่ 1 (3 เดือนแรก)
-แนะนำให้หลีกเลี่ยงการผ่าตัดหากไม่จำเป็น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการแท้งและความผิดปกติของทารกจากการใช้ยาในระหว่างการผ่าตัด
หากอาการไม่รุนแรง มักเลือกการรักษาแบบประคับประคอง เช่น การปรับอาหารและใช้ยาบรรเทาอาการ
ไตรมาสที่ 2 (เดือนที่ 4-6)
-เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผ่าตัด เนื่องจากความเสี่ยงต่อมารดาและทารกต่ำที่สุด
การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) นิยมใช้ในระยะนี้ เพราะมีแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดแผลขนาดใหญ่
ไตรมาสที่ 3 (3 เดือนสุดท้าย)
-หากอาการไม่รุนแรง แพทย์มักแนะนำให้เลื่อนการผ่าตัดออกไปหลังคลอด เนื่องจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นอาจทำให้การผ่าตัดซับซ้อนและเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
สำหรับกรณีที่มีภาวะฉุกเฉิน
เช่น การติดเชื้อรุนแรงหรือถุงน้ำดีแตก อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดโดยด่วน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยระหว่างตั้งครรภ์
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี:
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือของทอด
2.รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีไขมันต่ำ
3.ติดตามอาการและปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอ
การรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างตั้งครรภ์ต้องอาศัยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การรักษาในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์มีข้อดีและข้อควรระวังต่างกัน ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาควรคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งมารดาและทารกเป็นสำคัญ หากคุณมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
อ่านเพิ่มเติมได้ ที่ HDcare Blog