คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 54
ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ ขอบคุณคำเเนะนำให้สู้ๆด้วย เราอ่านทุกความเห็นและน้อมรับปรับปรุงตัว
จริงๆที่ตั้งกระทู้มาระบายเพื่อให้เรามีกำลังใจทำงานไปอีก 2 เดือนข้างหน้า เพราะเราไม่อยากทำงานส่งๆไปอีก 2เดือน อยากทำงานให้เต็มประสิทภาพยันวันที่ลาออก แต่ในใจคือไม่ไหวเเล้ว เราเลยตั้งกระทู้ระบายนี่เเหละค่ะ ว่าอยากลดตำเเหน่งลงเป็นผู้ช่วยก็ได้ เเต่พี่ที่จะมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ก็ยังไม่เเข็งกับระบบยังไม่สนิทกับพนักงาน เราเลยต้องอยู่คาตำเเหน่งหัวหน้าไปก่อน
เราพูดตรงๆได้ว่าเราเป็นคนที่ทำงานคนเดียวเก่งมากๆ เราคิดว่านี่คือเหตุผลที่เราได้ขึ้นตำเเหน่งมาหัวหน้า คือ เราทำงานได้ทุกเเผนกในบริษัท เวลาใครขาดเรียกเราไปทำเเทนได้หมด
เเต่พอมาเป็นหัวหน้าเเล้วมันต้องเเซนวิชระหว่างทุกคน ตวามคาดหวังของทุกคนมาลงที่เราหมด ลูกน้อง เจ้าของ ลูกค้า etc มันเหมือนคลื่นถามโถมมาไม่เว้นเเต่ละวัน มันเเบบมันไม่ใช่เเค่เราเเล้ว เเต่มันเป็น 20+ คน ที่ทำงานกับเรา และลูกค้าอีก
ถ้าพูดมันก็เหมือนคลื่นในมหาสมุธที่ถาโถมมาเเบบไม่มีวันหยุดเลย เเละเราก็ถูกลากเข้าลากออกชายฝั่งเเบบนั้นจะจมเเหล่ไม่จมเเหล่
สุดท้ายเราเลยตัดสินใจลาออกเพราะเราเข้าใจว่าเราไม่สามารถโตในจุดๆนี้เวลานี้ได้ ให้คนอื่นมาทำให้บริษัทโตจะดีกว่าเพราะความสามารถเราไม่ถึง ความรักในตัวงานเรายังไม่มากพอที่จะมาทำงานตรงนี้ให้ดีเเบบที่เราคาดหวัง เราขอเปิดโอกาศตัวเองไปเรียนต่อ ไปทำงานใหม่ที่น่าจะตรงจริตเรามากกว่า เเละเปิดโอกาศให้บริษัทได้หาหัวหน้าคนใหม่ที่น่าจะเหมาะสมกว่ามาเเทนเราด้วย
เราเคยคุยกับน้องที่ทำงานว่าตอนที่เราทำงานใหม่ๆ เราชอบทักทายลูกค้า เสริฟน้ำ ขนม ไม่เคยคิดตัดบทเวลาลูกค้าถามเยอะๆ เวลาลูกค้าคอมเพลนนี้เราเเทบจะไหว้ขอโทษ
เเต่ตอนนี้เรานี่เเทบหมดเเรงที่จะทำอะไรเเล้ว อยากให้เวลาผ่านไปไวๆมากกว่า เเละทำงานตามมาตราฐานของเราให้คุ้มค้าเงินเดือน เเต่ไม่ได้ทำเพราะใจรัก ซึ่งเราคิดว่าทุกคนที่ทำงานคงดูออกเเหละว่าใจเราไม่อยู่เเล้ว เเต่ยังไม่มีใครว่าอะไรเพราะเราทำตามมาตราฐานของเราซึ่งค่อนข้างสูงอยู่ เเต่ทำเหมือนหุ่นยนต์มากกว่า ;^;
จริงๆที่ตั้งกระทู้มาระบายเพื่อให้เรามีกำลังใจทำงานไปอีก 2 เดือนข้างหน้า เพราะเราไม่อยากทำงานส่งๆไปอีก 2เดือน อยากทำงานให้เต็มประสิทภาพยันวันที่ลาออก แต่ในใจคือไม่ไหวเเล้ว เราเลยตั้งกระทู้ระบายนี่เเหละค่ะ ว่าอยากลดตำเเหน่งลงเป็นผู้ช่วยก็ได้ เเต่พี่ที่จะมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ก็ยังไม่เเข็งกับระบบยังไม่สนิทกับพนักงาน เราเลยต้องอยู่คาตำเเหน่งหัวหน้าไปก่อน
เราพูดตรงๆได้ว่าเราเป็นคนที่ทำงานคนเดียวเก่งมากๆ เราคิดว่านี่คือเหตุผลที่เราได้ขึ้นตำเเหน่งมาหัวหน้า คือ เราทำงานได้ทุกเเผนกในบริษัท เวลาใครขาดเรียกเราไปทำเเทนได้หมด
เเต่พอมาเป็นหัวหน้าเเล้วมันต้องเเซนวิชระหว่างทุกคน ตวามคาดหวังของทุกคนมาลงที่เราหมด ลูกน้อง เจ้าของ ลูกค้า etc มันเหมือนคลื่นถามโถมมาไม่เว้นเเต่ละวัน มันเเบบมันไม่ใช่เเค่เราเเล้ว เเต่มันเป็น 20+ คน ที่ทำงานกับเรา และลูกค้าอีก
ถ้าพูดมันก็เหมือนคลื่นในมหาสมุธที่ถาโถมมาเเบบไม่มีวันหยุดเลย เเละเราก็ถูกลากเข้าลากออกชายฝั่งเเบบนั้นจะจมเเหล่ไม่จมเเหล่
สุดท้ายเราเลยตัดสินใจลาออกเพราะเราเข้าใจว่าเราไม่สามารถโตในจุดๆนี้เวลานี้ได้ ให้คนอื่นมาทำให้บริษัทโตจะดีกว่าเพราะความสามารถเราไม่ถึง ความรักในตัวงานเรายังไม่มากพอที่จะมาทำงานตรงนี้ให้ดีเเบบที่เราคาดหวัง เราขอเปิดโอกาศตัวเองไปเรียนต่อ ไปทำงานใหม่ที่น่าจะตรงจริตเรามากกว่า เเละเปิดโอกาศให้บริษัทได้หาหัวหน้าคนใหม่ที่น่าจะเหมาะสมกว่ามาเเทนเราด้วย
เราเคยคุยกับน้องที่ทำงานว่าตอนที่เราทำงานใหม่ๆ เราชอบทักทายลูกค้า เสริฟน้ำ ขนม ไม่เคยคิดตัดบทเวลาลูกค้าถามเยอะๆ เวลาลูกค้าคอมเพลนนี้เราเเทบจะไหว้ขอโทษ
เเต่ตอนนี้เรานี่เเทบหมดเเรงที่จะทำอะไรเเล้ว อยากให้เวลาผ่านไปไวๆมากกว่า เเละทำงานตามมาตราฐานของเราให้คุ้มค้าเงินเดือน เเต่ไม่ได้ทำเพราะใจรัก ซึ่งเราคิดว่าทุกคนที่ทำงานคงดูออกเเหละว่าใจเราไม่อยู่เเล้ว เเต่ยังไม่มีใครว่าอะไรเพราะเราทำตามมาตราฐานของเราซึ่งค่อนข้างสูงอยู่ เเต่ทำเหมือนหุ่นยนต์มากกว่า ;^;
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ผมแนะนำให้คุณไปต่อครับ
เรื่องนี้แค่ปรับ Mindset
หากคุณหนีในครั้งนี้คุณพลาดโอกาสพัฒนาตัวเอง
สิ่งที่ต้องมีคือความเป็นมืออาชีพ
เรียนรู้ว่า Perfect ไม่มีอยู่จริง
ความเป็น Perfectionist ทำให้สภาพจิตใจแย่
ไม่ใช่งานที่ทำให้เราจิตใจแย่
การที่ลูกค้าคอมเพลน อย่าไปมองว่าเราผิดหรือไม่ผิด
เราผิด หรือไม่ผิดก็ได้
สิ่งที่เราต้องปรับ Mindset คือ มองให้เป็นความท้าทาย
เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ไม่มีข้อติเพราะเป็นไปไม่ได้ ยังไงธนนมชาติมันต้องมีจุดติอยู่แล้ว
สิ่งที่เราต้องทำคือ เราจัดการกับมันยังไงต่างหาก สิ่งนี้จะเพิ่มประสบการณ์ให้คุณเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ไปมัวเครียดกับมันเสียเวลาเปล่า
มองเป็นงานที่ท้าทายอยากพุ่งชน คุณจะสนุกกับมัน
เรื่องนี้แค่ปรับ Mindset
หากคุณหนีในครั้งนี้คุณพลาดโอกาสพัฒนาตัวเอง
สิ่งที่ต้องมีคือความเป็นมืออาชีพ
เรียนรู้ว่า Perfect ไม่มีอยู่จริง
ความเป็น Perfectionist ทำให้สภาพจิตใจแย่
ไม่ใช่งานที่ทำให้เราจิตใจแย่
การที่ลูกค้าคอมเพลน อย่าไปมองว่าเราผิดหรือไม่ผิด
เราผิด หรือไม่ผิดก็ได้
สิ่งที่เราต้องปรับ Mindset คือ มองให้เป็นความท้าทาย
เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ไม่มีข้อติเพราะเป็นไปไม่ได้ ยังไงธนนมชาติมันต้องมีจุดติอยู่แล้ว
สิ่งที่เราต้องทำคือ เราจัดการกับมันยังไงต่างหาก สิ่งนี้จะเพิ่มประสบการณ์ให้คุณเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ไปมัวเครียดกับมันเสียเวลาเปล่า
มองเป็นงานที่ท้าทายอยากพุ่งชน คุณจะสนุกกับมัน
แสดงความคิดเห็น
ขอระบาย อยากลดตำเเหน่งงานลง ไม่อยากเป็นหัวหน้าเเล้ว
1) วันหยุดไม่ได้หยุดลูกน้องโทรมาหาเรื่องงาน เจ้านายระดับสูงกว่าโทรมาตามงาน
2) ต้องเดียลกับลูกค้าคอมเพลนเเบบทุกสับดาห์สับดาห์ละ 4-5 รายเลย ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นที่คสามต้องการของลูกค้าสูงปรี๊ดมากๆ พอไม่ได้อย่างที่ตั้งใจก็หาเรื่องคอมเพลนขอเงินคืน ((ตั้งเเต่เรามาเป็นผู้จัดการคือยอดรีวิว 5 ดาวเพิ่มขึ้นประมาณ 300+...ดังนั้นที่สาขาเรามีลูกค้าหน้าใหม่มาเยอะมากกกกก มาตามรีวิว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลูกค้าหน้าใหม่นี่แหละที่คอมเพลน ลูกค้าประจำคือดีหมด))
ที่เราเครียดคือทุกครั้งที่ลูกค้าคอมเพลนมันมีผลกับการประเมิน KPI พนักงานเรา ทำให้พนักงานที่ทำงานดี เเต่เจอลูกค้าเรื่องเยอะไป กลายเป็นลดระดับคะเเนน
3) เนื่องจากสเเตนดาร์ดเราสูงมากๆ เพราะเราอยากให้งานมาดี พอพนักงานทำไม่ถึงสเเตนดาร์ดเราก็พยายามจับเค้ามาเทรน พอเทรนเเล้วก็ยังทำไม่ได้อีกเราก็ยิ่งกดดันอีก เพราะดูทรงเเล้วงานเเบบนี้ออกไปคือลูกค้าก็เเฮปปี้อยู่ เเต่มันไม่โดดเด่นหาที่ไหนก็ได้ = ลูกค้าไม่กลับมาเป็นลูกค้าประจำ
4) พอลูกค้าคอมเพลน เราก็เครียดว่าลูกน้องเราทำงานไม่สมราคา จับลูกน้องไปเทรน พอทำไม่ได้อย่างที่เราคิดเราก็เครียดต่อ เพราะมองเห็นอนาคตว่าต้องเจอลูกค้าคอมเพลนอีกเเน่นอน
พนักงงานก็เครียดเพราะคิดว่าเรามองว่าเค้าทำงานไม่ดี เราก็เครียดเพราะอยากให้พนักงานพัฒนาฝีมือเพื่อที่จะไม่โดนคอมเพลน
วนไปวนมาอย่างนี้ เเต่ถ้าถามว่าเจอคอมเพลนเยอะไหม ก็ประมาณ 2-3% ของลูกค้าทั้งหมด เเต่เนื่องจากลูกค้ามันเยอะมาก พอรวมๆกันทั้งเดือนมันก็เกือบ 10-20 คอมเพลนเเล้ว ตอนนี้คะเเนนประเมินต่ำมากคือ ไม่มีใครได้โปรโมทได้โบนัสมาครึ่งปีแล้ว ;^;
เวลาโดนลูกค้าคอมเพลนใจเราล้าไปหมดเเล้ว เเบบไม่ใช่ความผิดเราเลยทำไมเราต้องมาโดนด่าด้วย ทั้งๆที่เราพยายามเเทบตายในการเทรนพนักงานเเต่มันก็ยังไม่ได้ดั้งใจ เรานี่ละอายใจไปหมดเเล้วว่าเราไม่มีปัญญาเป็นผู้จัดการที่ดีได้ บางอย่างมันเป็นปัญหาในเว๊บไซท์โปรโมชั่นไม่เคลียเราก็โดนด่าอีก
ตอนนี้ยื่นใบลาออกแล้ว แจ้งล่วงหน้า 2 เดือน เพื่อเทรนผู้จัดการคนใหม่กับจัดตารางเทรนนิ่งลูกน้องด้วย (
เเต่ 2เดือนต่อไปนี่คือไม่อยากอยู่แล้วตำเเหน่งผู้จัดการ อยากกลับมาเป็นพนักงานทั่วไปที่ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเเบกรับปัญหาพวกนี้
นอนก็นอนไม่พอ สะดุ้งตื่นตอนกลางคืนตลอด บางทีก็ฝันเรื่องงาน กลัวจะระเบิดลงเเล้วสติเเตกด่าลูกค้าด่าพนักงานมากตอนนี้