กระทู้นี้ไม่มีเจตนากระตุ้นความเกลียดชัง มีจุดประสงค์เพียงชี้แจงให้เห็นบทบาทของเพื่อนที่อยู่ข้างๆคนถูกบูลลี่
สวัสดีค่ะ เราอายุ35+ เราจบ รร มปลาย มีชื่อและอยู่ห้องเด็กเรียนตลอด ถึงจะทำงานแล้ว ก็จะนึกถึงเรื่องตอนเรียนอยู่บ่อยๆเรื่องนึงคือ ได้จับคู่นั่งกับนักเรียนญคนนึง ซึ่งเป็นเป้าบูลลี่ของห้อง เธอถูกบูลลี่เนื่องจากมีลักษณะคล้ายผู้ชายอย่างมาก ตอนนั้นพฤติกรรมเราคือไม่ได้ร่วมด่า ร่วมแกล้ง ห้ามเพื่อนนิดหน่อยไม่กล้าห้ามจริงจัง พูดคุยให้ยืมของตามสมควร ไม่ได้ชวนคุยหัวเราะ ณ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าสมควรทำอย่างไร แต่พอจบทำงาน ซึ่งงานเราเกี่ยวข้องกับเด็กวัยรุ่นบ้าง ค้นพบว่า การกระทำของตัวเองไม่ต่างกับการส่งเสริมการบูลลี่ เพราะเหมือนยอมรับสิ่งที่กลุ่มหัวโจกพวกนั้นทำ (ซึ่งเลวร้ายมาก เรียกชื่อหยาบคายต่อสาธารณะทุกคำ แสดงอาการรังเกียจด้วยร่างกาย หรือขว้างปาสิ่งของใส่) เราอยู่ห้องเดียวกับเธอหนึ่งปี จนจบก็ไม่ได้สำนึกว่าเธอมีความยากลำบากแค่ไหน หรือเราควรทำอะไรได้มากกว่านี้ เธอไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยด่ากลับ แต่ยังพยายามชวนเพื่อนคุยถึงแม้จะไม่มีเพื่อนคนไหนก้าวออกมาอยู่ข้างๆเธอเลย
หลังจากเราเข้าทำงาน ก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ แล้วก็รู้สึกแย่กับตัวเองอยู่เรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งเข้าทำงานที่ใหม่ มีเพื่อนร่วมงานคนนึง(A)ที่คนไม่คบ ถูกแสดงคำพูดท่าทีรังเกียจ เนื่องจากไปเป็นศัตรูกับเพื่อนรุ่นพี่(B)ที่มีอิทธิพลและบุญคุณกับหลายๆคน(รวมถึงเราด้วย) ครึ่งปีผ่านไปก็พบว่าAมีนิสัยทั่วไปที่โอเค มีความพูดจาแปลกแต่ไม่ได้ทำร้ายใคร ส่วนBก็เอ็นดูช่วยเหลือเราอย่างมาก จนมีวันหนึ่ง งานเลี้ยงบริษัท จัดเป็นตักอาหารบุฟเฟต์มานั่งโต๊ะ มีการเชิญลูกค้ามากมาย ซึ่งเป็นคนที่เคยติดต่อAและB ลูกค้านั่งกระจายๆ Bมาก็นั่งคุยกับลูกค้าแล้วก็ไปเปิดโต๊ะตัวเอง เพื่อนร่วมงานอื่นๆก็ตามมาคุยกับB ส่วนAนั่งคนเดียว เราเดินมานั่งโต๊ะB สักพักก็งงว่า ทำไมคนนั่งโต๊ะBเต็ม แล้วต้องเอาเก้าอี้มาเพิ่มเป็น13-14คนต่อโต๊ะ ในขณะที่โต๊ะAมีคนนั่ง1ว่าง9 โต๊ะลูกค้าอื่นก็เต็มแล้ว สรุปคือเป็นเหมือนวงไข่ดาวล้อมรอบโต๊ะ A เราถามเพื่อนว่าทำไมเป็นแบบนี้ เพื่อนบอกว่าถ้าไปนั่งเท่ากับประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามBต่อหน้า เรารู้สึกว่าเฮ้ย ทำไมเหตุการณ์มันคล้ายสิบปีที่แล้วจังวะ ปัญหาคือถ้าลูกค้าเห็นAสภาพแบบนี้ เค้าจะมองAยังไงเวลาติดต่องาน เราตัดสินใจยืนขึ้น หิ้วจานไปนั่งข้างๆA Aหันมามองเรา ยิ้มให้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกันจนจบงาน
ผลจากเหตุการณ์วันนั้น (และต่อๆมาที่เราวางตำแหน่งตัวเองเป็นเพื่อนA) คือ เพื่อนทั่วไปรับรู้ว่าเราประหลาดนิดๆและBก็ยังให้ความช่วยเหลือเรา(ไม่รู้สึกว่าโดนโกรธเกลียด) แต่สิ่งที่เราได้มากที่สุดคือพอจะยิ้มกับตัวเองได้ที่ทำแบบนี้
สิ่งที่เราทำตอนโต เทียบไม่ได้กับความรู้สึกผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำในตอนนั้น เราอยากขอโทษเค้า ขอโทษจากก้นบึ้งจิตสำนึกจริงๆ เราใช้เวลา10กว่าปีจมกับความรู้สึกนี้ เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า
- คนที่ถูกบูลลี่เค้าได้ทำเต็มที่ในส่วนของเค้าแล้วมันได้เท่านี้(ไม่เชื่อลองหลับตาดูว่า มีคนถ่มน้ำลายเอาไม้มาเขี่ยคุณ10คน คุณคนเดียวจะทำให้บรรยากาศกลับมาปกติได้ยังไง)
- ถ้ามีคนยืนข้างๆ มันจะเปลี่ยนจากโฟกัสของเจ้าตัวจาก ‘ฉันเป็นเป้า’ เป็น ‘เฮ้ยมีคนอยู่คนนึงว่ะ’ ส่วนคนกระทำอาจจะฉุกคิดได้ว่า ชั้นอยากบูลลี่คนเดียว ถ้าบูลลี่อีกคนภาพพจน์จะเสียอีกแบบนึง
- คนที่ยืนข้างๆ ไม่เสียอะไรเลย (เราทำแบบนี้กับอีกคน ไม่เคยโดนบูลลี่กลับเลย) ย้ำ ไม่เสียอะไรเลยจริงๆ
เริ่มจากยิ้มให้แล้วออกไปยืนข้างๆตอนที่เค้ามีปัญหา *ย้ำว่าต้องทำทำตอนนั้น ไม่ใช่หลังจากนั้น เพราะตอนนั้นเค้าต้องการที่สุด
- อย่าคิดว่าใครจะมองแปลก ทุกคนในโลกมันก็แปลกป่ะวะ
- เพื่อนมัธยมเรา ตอนนี้ลักษณะภายนอกต่างจากเดิมมาก เป็นเจ้าของกิจการใหญ่แต่อายุยังน้อย officeอยู่ตึกชื่อดังกลางเมือง
สุดท้าย เราไม่ใช่คนดีไม่ได้มาเล่าความดี แต่มาเล่าความไม่ดีของเรา หวังเพียงว่าคนที่เด็กกว่าเราและเจอสถานการณ์นี้อยู่จะมีทางเลือกปฏิบัติ ที่จะไม่ต้องเสียใจภายหลัง ขอบคุณที่อ่านและขอความกรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพค่ะ
แชร์ประสบการณ์ในฐานะเพื่อนของคนที่ถูกบูลลี่
สวัสดีค่ะ เราอายุ35+ เราจบ รร มปลาย มีชื่อและอยู่ห้องเด็กเรียนตลอด ถึงจะทำงานแล้ว ก็จะนึกถึงเรื่องตอนเรียนอยู่บ่อยๆเรื่องนึงคือ ได้จับคู่นั่งกับนักเรียนญคนนึง ซึ่งเป็นเป้าบูลลี่ของห้อง เธอถูกบูลลี่เนื่องจากมีลักษณะคล้ายผู้ชายอย่างมาก ตอนนั้นพฤติกรรมเราคือไม่ได้ร่วมด่า ร่วมแกล้ง ห้ามเพื่อนนิดหน่อยไม่กล้าห้ามจริงจัง พูดคุยให้ยืมของตามสมควร ไม่ได้ชวนคุยหัวเราะ ณ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าสมควรทำอย่างไร แต่พอจบทำงาน ซึ่งงานเราเกี่ยวข้องกับเด็กวัยรุ่นบ้าง ค้นพบว่า การกระทำของตัวเองไม่ต่างกับการส่งเสริมการบูลลี่ เพราะเหมือนยอมรับสิ่งที่กลุ่มหัวโจกพวกนั้นทำ (ซึ่งเลวร้ายมาก เรียกชื่อหยาบคายต่อสาธารณะทุกคำ แสดงอาการรังเกียจด้วยร่างกาย หรือขว้างปาสิ่งของใส่) เราอยู่ห้องเดียวกับเธอหนึ่งปี จนจบก็ไม่ได้สำนึกว่าเธอมีความยากลำบากแค่ไหน หรือเราควรทำอะไรได้มากกว่านี้ เธอไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยด่ากลับ แต่ยังพยายามชวนเพื่อนคุยถึงแม้จะไม่มีเพื่อนคนไหนก้าวออกมาอยู่ข้างๆเธอเลย
หลังจากเราเข้าทำงาน ก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ แล้วก็รู้สึกแย่กับตัวเองอยู่เรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งเข้าทำงานที่ใหม่ มีเพื่อนร่วมงานคนนึง(A)ที่คนไม่คบ ถูกแสดงคำพูดท่าทีรังเกียจ เนื่องจากไปเป็นศัตรูกับเพื่อนรุ่นพี่(B)ที่มีอิทธิพลและบุญคุณกับหลายๆคน(รวมถึงเราด้วย) ครึ่งปีผ่านไปก็พบว่าAมีนิสัยทั่วไปที่โอเค มีความพูดจาแปลกแต่ไม่ได้ทำร้ายใคร ส่วนBก็เอ็นดูช่วยเหลือเราอย่างมาก จนมีวันหนึ่ง งานเลี้ยงบริษัท จัดเป็นตักอาหารบุฟเฟต์มานั่งโต๊ะ มีการเชิญลูกค้ามากมาย ซึ่งเป็นคนที่เคยติดต่อAและB ลูกค้านั่งกระจายๆ Bมาก็นั่งคุยกับลูกค้าแล้วก็ไปเปิดโต๊ะตัวเอง เพื่อนร่วมงานอื่นๆก็ตามมาคุยกับB ส่วนAนั่งคนเดียว เราเดินมานั่งโต๊ะB สักพักก็งงว่า ทำไมคนนั่งโต๊ะBเต็ม แล้วต้องเอาเก้าอี้มาเพิ่มเป็น13-14คนต่อโต๊ะ ในขณะที่โต๊ะAมีคนนั่ง1ว่าง9 โต๊ะลูกค้าอื่นก็เต็มแล้ว สรุปคือเป็นเหมือนวงไข่ดาวล้อมรอบโต๊ะ A เราถามเพื่อนว่าทำไมเป็นแบบนี้ เพื่อนบอกว่าถ้าไปนั่งเท่ากับประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามBต่อหน้า เรารู้สึกว่าเฮ้ย ทำไมเหตุการณ์มันคล้ายสิบปีที่แล้วจังวะ ปัญหาคือถ้าลูกค้าเห็นAสภาพแบบนี้ เค้าจะมองAยังไงเวลาติดต่องาน เราตัดสินใจยืนขึ้น หิ้วจานไปนั่งข้างๆA Aหันมามองเรา ยิ้มให้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกันจนจบงาน
ผลจากเหตุการณ์วันนั้น (และต่อๆมาที่เราวางตำแหน่งตัวเองเป็นเพื่อนA) คือ เพื่อนทั่วไปรับรู้ว่าเราประหลาดนิดๆและBก็ยังให้ความช่วยเหลือเรา(ไม่รู้สึกว่าโดนโกรธเกลียด) แต่สิ่งที่เราได้มากที่สุดคือพอจะยิ้มกับตัวเองได้ที่ทำแบบนี้
สิ่งที่เราทำตอนโต เทียบไม่ได้กับความรู้สึกผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำในตอนนั้น เราอยากขอโทษเค้า ขอโทษจากก้นบึ้งจิตสำนึกจริงๆ เราใช้เวลา10กว่าปีจมกับความรู้สึกนี้ เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า
- คนที่ถูกบูลลี่เค้าได้ทำเต็มที่ในส่วนของเค้าแล้วมันได้เท่านี้(ไม่เชื่อลองหลับตาดูว่า มีคนถ่มน้ำลายเอาไม้มาเขี่ยคุณ10คน คุณคนเดียวจะทำให้บรรยากาศกลับมาปกติได้ยังไง)
- ถ้ามีคนยืนข้างๆ มันจะเปลี่ยนจากโฟกัสของเจ้าตัวจาก ‘ฉันเป็นเป้า’ เป็น ‘เฮ้ยมีคนอยู่คนนึงว่ะ’ ส่วนคนกระทำอาจจะฉุกคิดได้ว่า ชั้นอยากบูลลี่คนเดียว ถ้าบูลลี่อีกคนภาพพจน์จะเสียอีกแบบนึง
- คนที่ยืนข้างๆ ไม่เสียอะไรเลย (เราทำแบบนี้กับอีกคน ไม่เคยโดนบูลลี่กลับเลย) ย้ำ ไม่เสียอะไรเลยจริงๆ
เริ่มจากยิ้มให้แล้วออกไปยืนข้างๆตอนที่เค้ามีปัญหา *ย้ำว่าต้องทำทำตอนนั้น ไม่ใช่หลังจากนั้น เพราะตอนนั้นเค้าต้องการที่สุด
- อย่าคิดว่าใครจะมองแปลก ทุกคนในโลกมันก็แปลกป่ะวะ
- เพื่อนมัธยมเรา ตอนนี้ลักษณะภายนอกต่างจากเดิมมาก เป็นเจ้าของกิจการใหญ่แต่อายุยังน้อย officeอยู่ตึกชื่อดังกลางเมือง
สุดท้าย เราไม่ใช่คนดีไม่ได้มาเล่าความดี แต่มาเล่าความไม่ดีของเรา หวังเพียงว่าคนที่เด็กกว่าเราและเจอสถานการณ์นี้อยู่จะมีทางเลือกปฏิบัติ ที่จะไม่ต้องเสียใจภายหลัง ขอบคุณที่อ่านและขอความกรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพค่ะ