เล่าสู่กันฟัง ประสบการณ์ถูกบูลลี่ 3 ปี ที่อยากจะอยู่ก็อยู่ไม่ได้อยากจะตายก็ตายไม่ได้

สวัสดีครับ ขอเกริ่นก่อนว่าเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมาได้หลายปีแล้วแหละครับตั้งแต่ผมเรียนอยู่สมัย ม.ต้น แต่มันก็สร้างบาดแผลในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ ผมเลยอยากจะระบายออกมาบ้าง บวกกับทุกวันนี้กระแสการบูลลี่มันก็มีมากขึ้น ผมเลยคิดว่าประสบการณ์ของผมอาจจะเป็นประโยชน์แก่คนเป็นพ่อเป็นแม่หลายๆคน เพราะผมเชื่อว่าคนที่ไม่ได้ถูกบูลลี่กับตัวไม่มีทางเข้าใจจริงๆหรอก ว่าการถูกบูลลี่มันเป็นยังไง

เริ่มด้วย background ตอน ม.ต้น ผมเรียนอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ และเป็นห้องพิเศษ ดังนั้นคุณภาพสังคมมันถูกคัดมาระดับใหญ่ๆ ตอนเข้ามาใหม่ผมก็มีเพื่อนระดับนึง แต่ผมเป็นคนที่มีปมอยู่อย่างนึงคือผมเป็นโรค Tics disorder เป็นมาตั้งแต่เด็กจะไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ สรุปโรคสั้นๆคือเวลาที่มีอารมณ์​เครียด​หรือโมโห กล้ามเนื้อบางส่วนอย่างเช่นตาหรือคอจะกระตุกเองเป็นๆหายๆ พอคุมได้แต่ยากเพราะต้องคอยบังคับตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่กระทบกับการเรียนรู้ของผม ปัญหาเดียวคือบุคลิกภาพ แต่อันที่จริงอาการมันเป็นอะไรที่ถ้าไม่ได้มาจ้องสังเกต​จะเห็นเพราะมันไม่ได้เกิดถี่แบบหรือรุนแรงแบบพาร์กินสัน

แล้วนรกของผมมันเริ่มจากการประชุมผู้ปกครองครั้งหนึ่ง แม่ผมก็เป็นพวกอัธยาศัย​ดีคุยไปทั่ว แล้วก็ดันไปฝากฝังกับผู้ปกครองเพื่อนไว้ว่าลูกฉันเป็นโรคนี้ฝากเพื่อนๆ ในห้องดูแลหน่อยนะอย่ารังแกนะ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจแม่ผมด้วยซ้ำว่าจะไปฝากฝังทำไมผมไม่ได้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอะไรเป็นพิเศษ สติปัญญาผมก็ดีกว่าคนเกือบทั้งห้อง แต่ก็นั่นแหละจากปากสู่ปาก ผู้ปกครองเขาก็เล่าให้ลูกฟังต่อ เด็กที่ได้ยินก็เล่ากันต่อๆ จนครบทั้งห้อง แต่ก็เด็กม.ต้นแหละเนอะ ความรู้เกี่ยวกับโรคในหัวมีไม่กี่อย่างหรอกยิ่งของผมเป็นโรคที่ค่อนข้างหายากที่หมอหลายๆท่านเวลาผมบอกไปยังต้องใช้เวลานึกระดับนึงก่อนจะนึกออก สุดท้ายมีคนๆนึงในห้องผมไปตีความว่าผมเป็นออทิสติกและก็ไปป่าวประกาศ สักพักคนในห้องก็เริ่มตีตัวออกห่าง ตอนนั้นผมก็พยายามอธิบายอย่างหนักว่ามันไม่ใช่ออทิสติก แต่ก็มีคนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ก็ชัดเจนเวลาผมมองตาผมรู้สึกได้ถึงความรังเกียจ

หลังจากนั้นความซวยก็เริ่มค่อยๆบังเกิดกับผม ด้วยความที่ก่อนหน้าผมเป็นคนโผงผาง ผมก็คงจะเคยไปขัดหูขัดตาใครเขาบ้าง ตอนนั้นมันก็มีพวกกลุ่มหลังห้องที่ค่อนข้างมีอิทธิพล​ระดับนึงคนในห้องไม่อยากจะมีปัญหาด้วย ในกลุ่มก็จะมีบ้านที่เป็นผู้พิพากษา​ พ่อเป็นทนาย พ่อเป็นนักร้อง แล้วซวยที่คนพวกนั้นอยากได้ผมเป็นที่ระบายอารมณ์ แต่ก่อนอื่นเลยครับสิ่งที่ผมอยากจะให้เข้าใจก็คือ เด็กก็เป็นคนเหมือนกับผู้ใหญ่ มีอารมณ์เหมือนผู้ใหญ่ แต่ขาดความยับยั้งชั่งใจยังไม่มีวุฒิภาวะ ต่อให้รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรก็ห้ามใจยาก อย่างเช่นเวลาคุณขับรถบางทีคุณเห็นรถหรือมอไซบางคันแล้วคิดในหัวว่ามันน่านักเนอะแต่คุณก็ไม่ได้ทำสิ่งที่คุณคิดเพราะคุณสามารถยับยั้งชั่งใจได้ แต่เด็กหลายคนทำไม่ได้โดยเฉพาะผู้ชายประเด็นนี้คงไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ตอนแรกก็มีแค่คนบางกลุ่มที่ไม่ยุ่งกับผม ไปๆมาๆไม่รู้ทำไมมันเริ่มเกิดการรวมหัวกันขึ้นคือทั้งห้องไม่คุยไม่พูดกับผม ทำเหมือนกับผมเป็นแค่อากาศ เรียกใครไม่มีใครหัน ถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ พอสะกิดหรือเรียกบ่อยๆมากๆถึงจะหัน แต่สิ่งที่ออกจากปากคือ รำคาญอย่ามายุ่งด้วยได้มั้ยไอ้ออทิสติก เวลาผ่านไปอาจารย์​ก็เริ่มสั่งการบ้านที่เป็นงานกลุ่ม คงเดากันได้แหละ ไม่มีใครเอาเข้ากลุ่ม ความแย่คือ อาจารย์​ผมเขาเป็นพวกชอบสั่งงานกลุ่ม ทุกวิชาจะต้องมีงานกลุ่มอย่างน้อยเทอมละ 3ชิ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือทุกเทอม ผมต้องบากหน้าไปขอ อาจารย์​ว่า ผมขอทำงานกลุ่มคนเดียวได้ไหมครับ ต้องบอกอาจารย์​ทุกคน แล้วสิ่งที่ผมได้ยินกลับมาจากอาจารย์​เกือบทุกคนคือ เราต้องรู้จักมีเพื่อนบ้างนะ แล้วทุกครั้งผมก็ต้องค่อยๆอธิบายตอกย้ำสถานการณ์​ของตัวผมให้อาจารย์​ทุกคนฟังว่าไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าหาเพื่อนแต่เป็นเพื่อนทั้งห้องเขาตีตัวออกห่าง จริงๆมันก็ไม่ใช่ว่าทั้งห้องรังเกียจผมหรอกบางคนแค่ตามกระแส แต่ก็มีส่วนที่กลัวหรือขี้เกียจมีปัญหากับพวกแก๊งหลังห้อง

ต่อจากนี้ผมจะแทนหัวโจกแก๊งนั้นว่าเป็น ดช. A แล้วกันนะ ปัญหามันอยู่ที่ว่า A มันเป็นนักแสดงเด็ก ณ เวลานั้น ความสามารถด้านการแสดงมันเก่งตีหน้าเก่งคุยพูดเก่งคนเลยเชื่อมันมาก คุยกับอาจารย์​ก็เก่งตอนนั้นดีอย่างที่มันติดเพื่อนฝูงไม่ค่อยเข้าหาอาจารย์​เท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละพอผมบอกอะไรกับอาจารย์ไป ทำนองว่า A มันคอยกดดันไม่ให้เพื่อนเข้ามายุ่ง หรือห้ามรับเข้ากลุ่มก็เจอมันพูดทำนองว่าผมโกหกใส่ความมัน เวลาผ่านไปคนก็เริ่มล้อผมมากขึ้น ล้อทั้งวัน บางทีก็ตะโกนใส่หูผม แต่เวลาที่ผมจะถามอะไรก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินมองไม่เห็น เมินทุกเรื่องรวมถึงเรื่องเรียนเรื่องงานยกเว้นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เริ่มแกล้งผมมากขึ้น ตบหัวบ้างแอบเอาของไปทิ้งบ้าง เอาที่ลบปากกามาเขียนบนโต๊ะบ้าง เอากาวมาทาเก้าอี้บ้าง แอบไปขโมยงานที่ผมส่งไปแล้วไปฉีกทิ้งบ้าง เวลาที่อาจารย์​ฝากอะไรมาบอกต่อก็น่าจะพอเดาได้ว่ามาไม่ถึงผมหรอก สมัยนั้นช่องทางกระจายข่าวสารห้องผมคือกลุ่ม Facebook ห้อง และแน่นอนว่ามีทุกคนในห้องยกเว้นผมในนั้น แปลอีกอย่างคือข่าวสารอะไรที่อยู่ในนั้นผมไม่รู้หรอก ระดับที่ว่าวันถัดไปมีสอบเก็บคะแนนผมมารู้ก็คือวันสอบนั่นแหละ โดนต่อยก็มีบ้างแต่ไม่บ่อย แต่หนักสุดที่ผมเคยโดนถึงแม้ว่าจะเป็นแค่รอบเดียว แต่มันยังฝังอยู่ในใจผมอยู่ทุกวันนี้

คือวันนั้นถ้าจำไม่ผิดมันเป็นช่วงระหว่างย้ายห้องเรียน คนในห้องมีแค่ A และผองเพื่อนมัน และผมที่แวะเข้ามาเอาของ มันเรียกผมบอกว่ามีอะไรคุยด้วยหน่อย จริงๆผมก็ระวังตัวระดับนึงแหละ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะทำอะไรรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันตบหัวผมแบบที่ทำปกติแต่อยู่ๆ มันก็กดผมลงกับพื้น พูดจาดูถูกถากถางสารพัด​แล้วตอนนั้นผมจ้องมันแบบจะเอาเรื่อง อยู่ๆมันเอามีดมาจ่อคอหอยผม พูดทำนองว่าอยากรู้จังว่ามีดมันคมไหม ในใจลึกๆผมกลัวมากโกรธ​เกลียด​ และเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตผมที่รู้สึกอยากจะเอาชีวิตใครสักคน ความรู้สึกทุกอย่างมันผสมกันไปหมด

นอกจากนั้นก็มีประสบการณ์ อย่างช่วงที่เคว้งมากๆอยู่ๆก็มีใครสักคนจากกลุ่มนั้นมาตีสนิท​แกล้งทำเป็นรับฟังแกล้งทำเป็นช่วยเหลือ ด้วยความที่ผมอยู่ ม.ต้น ณ เวลานั้นก็เลยหลงเชื่อ ส่วนที่เหลือคงเดากันได้ แล้วด้วยความที่ผมอยู่ห้องพิเศษ อาจารย์​เขาก็ชอบที่จะพาเด็กไปเข้าค่ายค้างคืนกันทุกเทอม ความซวยยิ่งบังเกิดหนักขึ้นไปอีก คือสุดท้ายผมต้องไปนอนห้องเดียวกับ B และ C ซึ่งทั้ง 2คนมันเกลียดผมทั้งคู่ บอกตามตรงตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจอการที่อยู่ๆไฟดับตอนกำลังนั่งในห้องน้ำแบบนานๆเลย คือมันดึงคีย์การ์ดออกไปนอกห้องระหว่างผมอาบน้ำ แล้วหายไปเกือบ2ชั่วโมง แล้วมันเป็นค่าย3วัน

ส่วนอาจารย์ก็ใช่ว่าจะดีกันทุกคน โรงเรียนผมมันมีสิ่งที่เรียกว่าชมรม เด็กแต่ละคนสามารถเลือกชมรมเอาได้ตามอัธยาศัย และก็มีอาจารย์สุขศึกษาท่านหนึ่ง ผมขอแทนด้วย นาง D ผมก็ไม่รู้ว่าอาจารย์เขาไปได้ชื่อผมมาได้ยังไงเพราะณ เวลานั้น D เขาไม่ได้สอนผม วันนั้นเป็นวันที่ผมเพิ่งได้เริ่มเข้าชมรมวันแรก ซึ่งก็เป็นชมรมที่ผมอยากเข้า ตอนนั้นผมก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆโดยคาดหวังว่าถ้ามันหาเพื่อนในห้องไม่ได้ก็หามันข้างนอกแล้วกัน 

แต่ความหวังก็ดับลง อยู่ๆนาง D ก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องชมรมตะโกนเรียกชื่อผมแล้วลากออกไปดื้อๆ ลากมาถึงห้องสุขศึกษาผมก็เจอเด็กผู้ชายอีกคนอยู่ในนั้น ผมแทนว่า ดช. E แล้วกัน นาง D ก็บอกว่าพวกเธอมีปัญหาในห้องดังนั้นฉันจะช่วยปรับนิสัยพวกเธอนะ คือในหัวผมก็มีคำถามเป็นล้านแต่ก็ไม่ได้ถาม สรุปคร่าวๆของชมรมนั้นทั้งเทอมคือไม่ได้ทำอะไร อาจารย์ก็ไม่ได้โผล่มาให้เห็นบ่อยด้วย เวลาโผล่มาก็ไม่ได้พูดอะไรนั่งปั่นแต่เอกสาร ทิ้งสมุดแบบฝึกหัดบวกลบเลขไว้ให้ทำเล่น หมดเทอมมาถ่ายรูปผมกับ E เพื่อเอาไปทำผลงานปลอมๆ แล้วยังไปได้รางวัลมาได้ด้วย เสียดายผมลืมชื่อเขาไปแล้ว ไม่งั้นอยากจะไปปรึกษาเป็นแนวทางในการสร้างผลงานสักหน่อย แต่สรุปก็นอกจากโดนเพื่อนบูลลี่แล้วยังโดนอาจารย์เอามาหากินอีก

แล้วก็ยังโดนอีกหลายอย่างแต่ส่วนใหญ่ลืมไปแล้ว ซึ่งกว่าที่ผมจะมีเพื่อนจริงๆ ก็ตอนเกือบจบ ม.1 โชคดีที่พวกนั้นเป็นพวกที่ไม่ได้สนโลกเท่าไหร่ แล้วมันก็เป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่ ณ เวลานั้นเอาเข้าจริงผมก็แอบเกลียดตัวเองมากเพราะผมมองพวกมัน2คนเป็นเพื่อน แต่มองว่าเป็นหมากที่ใช้งานได้ เก็บมาไว้ใช้แค่แก้ปัญหางานกลุ่มกับใช้ไปหาสมาชิกเพิ่มเวลาที่ต้องทำงานกลุ่มที่ใหญ่แบบ7-10คน

ณ เวลานั้นผมรู้สึกว่าครึ่งปีที่ผมต้องดิ้นรนอยู่ตัวคนเดียว บีบให้ผมต้องเปลี่ยนวิธีคิดทั้งหมดใช้ทุกเล่ห์เหลี่ยม​ ใช้ทุกวิธีไม่ว่าจะขาวหรือดำเพื่อที่จะอยู่รอดมันบิดวิธีคิดผมไปตลอดกาล
​แล้วหลังจาก ม.1 ก็ใช่ว่าดีขึ้นมากก็ยังโดนแกล้งเหมือนเดิมโดนแกล้งทุกวัน เพิ่มเติมคือลดคนที่ไม่เป็นมิตรไปได้ระดับนึง
แต่ประสบการณ์ ณ เวลานั้นมันสอนอะไรผมหลายอย่างมาก
สอนให้ผมประจบคนเป็น-คือการเข้าหาอาจารย์​ทุกคน เป็นลูกรักอาจารย์​ทุกคนที่สอนรวมถึงฝ่ายปกครอง สอนให้ผมเป็นคนคิดบวกแล้วก็บวกไปหนักมาก รู้จักการยืมดาบฆาคน รู้จักการล้างแค้น อย่างมีอยู่ครั้งนึงด้วยความที่ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Facebook ตอนช่วงใกล้สอบ final อาจารย์​ฝากผมไปกระจายบอกเพื่อนว่าสอบบทไหน แล้วผมเลยไปบอกปากเปล่ากับ C แน่นอนว่าคนละบทกับที่อาจารย์​บอก แล้วผมก็ไปบอกบทที่ถูกกับกลุ่มที่พอจะสนิทหรือทำงานกลุ่มกับผมบ้าง พอถึงเวลาสอบเสร็จผมก็บอกว่าไม่รู้สิ C น่าจะจำผิดมั้งแต่ก็ช่วยไม่ได้ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มห้องผมเลยไม่รู้ว่า C ไปบอกผิดบท หลังจากนั้น C ก็เริ่มมีปัญหากับเพื่อนทั้งห้อง แน่นอนผมไม่ทำอะไรออกนอกหน้าให้ใครรู้ สอนให้รู้จักการระมัดระวังตัว ก่อนนั่งผมต้องเช็กเก้าอี้ทุกครั้ง สอนให้รู้จักการเตรียมพร้อม​-ไม่เคยทิ้งอะไรไว้ใต้โต๊ะ​มีอะไรแบกไปแบกมาเสมอ
ไม่เคยทิ้งอะไรไว้ใต้โต๊ะ​มีอะไรแบกไปแบกมาเสมอ รู้จักการรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า-เวลาเจอใครเขียนด่าบนโต๊ะก็รับมือโดยการสลับกับคนที่ไม่ถูกโฉลกแทนที่จะเสียเวลามาขัดเอง สอนให้รู้จักการเสี้ยมให้กลุ่มคนแตกแยก สอนให้รู้จักการปั่นหัวคน สอนให้รู้จักการยิ้มตลอดเวลาเพื่อที่เวลาลงมือคนจะได้ไหวตัวไม่ทัน แน่นอนผมเป็นคนไม่ชอบใช้ความรุนแรง​ทุกรูปแบบแต่ไม่ได้หมายถึงว่าผมจะไม่หลอกใช้คนอื่นไปทำแทน

แต่แน่นอนมันก็เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม เพราะทุกวันผมจะต้องคิดเผื่อไว้ว่าวันนี้พวกมันจะทำอะไรผมหรือเปล่าเพื่อที่จะเตรียมผมรับมือล่วงหน้า และด้วยความที่บ้านผมไม่ใช่ safe zone เท่าไหร่เพราะทุกวันที่กลับมาถึงบ้านจะโดนแม่กับพ่อบ่นมันทุกเรื่อง ความหมายผมคือทุกเรื่องจริงๆตั้งแต่การใช้ชีวิตจนถึงการเรียน แค่ผมบีบยาสีฟันกลางหลอดแทนที่จะเป็นปลายหลอดยังโดนพ่อเรียกมาฟาดเลย มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมกดดันมากเรียนก็หนักเพราะต้องทำเกรด สังคมที่โรงเรียนก็ห่วย การบ้านก็เยอะ เรียนพิเศษก็ต้องเรียนการบ้านจากที่เรียนพิเศษก็มี งานกลุ่มที่กลายเป็นงานเดี่ยวก็เยอะ กลับมาถึงบ้านก็โดนไม่ด่าก็บ่นตลอด พ่อกลับมาถึงบ้านวันไหนหงุดหงิดจากลูกค้าก็จะมาลงที่ผมช่วงเวลานั้นผมรู้สึกว่าทำอะไรก็ผิดไปหมดทุกอย่าง เหตุผล​เดียวที่ผมไม่ได้คิดสั้นเพราะพ่อผมชอบย้ำอยู่เรื่อยว่าลูกต้องตายหลังพ่อแม่ พ่อเสียเงินเลี้ยงผมหมดไปเป็นล้านผมต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ดี แปลอีกอย่างคือผมเป็นทรัพย์สิน​ของพ่อดังนั้นห้ามตายเด็ดขาดก่อนที่จะคืนทุน

แต่ก็นั่นแหละ ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ความคิดผมมันบิดเบี้ยวไปหมด ไม่ไว้ใจใครทั้งเพื่อนหรือครอบครัว(โดยเฉพาะแม่) ไม่กล้าที่จะเปิดใจให้ใคร ไม่กล้าให้ใครรับรู้ถึงความรู้สึกและความคิด ไม่กล้าที่จะระบายอะไรให้ใครฟังรู้สึกเหมือนว่าโลกนี้มีแค่ตัวเองที่เป็นที่พึ่งได้ แล้วเอาเข้าจริงเรื่องที่ผมถูกบูลลี่มีคนที่รู้จริงๆอยู่แค่ 2คนหรือก็คือเพื่อนผมสมัย ม.ต้น2คนนั้น อย่างที่บ้านผมก็เพิ่งจะมาเล่าให้ที่บ้านฟังก็เมื่อปี2ปีที่แล้ว ซึ่งมันก็ผ่านมาสิบกว่าปี ทุกวันนี้ทำงานดี สังคมดี แต่ปมที่อยู่ในใจก็ไม่เคยหายไป
 
ขอบคุณใครก็ตามที่เสียเวลาอ่านครับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ปกครองหลายๆท่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่