สวัสดีค่ะ เราอยากจะรู้ว่าทางออกสำหรับเราเองทำอะไรได้บ้าง
ตั้งแต่จำได้ว่าตัวเองมีเรื่องผิดปดติ คือตอนม.ต้น ตอนนั้นโดนบูลลี่เยอะค่ะ แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรกับคนที่บูลลี่เรา จนกระทั่ง ม.2 เป็นคาบที่ทั้งระดับต้องมาอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนั้นครูไม่อยู่เลยซักคน ด้วยความที่เรามาโรงเรียนกับแม่ โรงเรียนกับบ้านเราอยู่ไกลกับ ต้องนั่งรถเมล์ 2 ชั่วโมง ก็จะต้องตื่นเช้า ถึงโรงเรียนก็เกือบสาย ซึ่งตอนนั้นเราก็ง่วงเต็มที่ ก็เลยอยากจะนอน เลยนั่งขัดสมาธิกอดกระเป๋า เราหลับไม่สนิท ก็จะมีไอเพื่อนมันคอยกวนอยู่ ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำอะไรเขา จนกระทั่งเรารู้สึกได้ว่ามีเท้าอยู่บนกลางหลังเรา เราเลยโวยวายไปว่าใครเอาเท้ามาไว้หลังเรา จนเราร้องไห้ เพื่อนในห้องเห็นเราร้องไห้ตอนจบคาบ จะให้เราไปฟ้องห้องปกครอง ตอนนั้นยอมรับค่ะ ว่าตัวเองใจดีมาก จะไม่เอาเรื่อง จนเพื่อนต้องลากไปห้องปกครอง หลังจากวันนั้นมา เรารู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ร้ายขึ้น เหมือนโกรธตลอดเวลา พูดคนเดียวตลอด ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าได้เลย ต่อมา มีเรื่องกับเพื่อนสนิท ที่เอาเราไปนินทาลับหลัง ทั้งๆที่เวลาเขาไม่มีตัง เราก็เอาเงินเราให้เขากิน การบ้าน หนังสือ สมุด เราก็แบกให้ ทำให้ด้วย เราแค่อบากให้เขามาเป็นเพื่อนเรา แต่เชากลับเล่าให้คนอื่นฟังว่าเราเอาเปรียบเขา เราหลอกใช้เขา จนเรามารู้ตอนจะจบม.ต้น เราเลยโยนหนังสือที่เราแบกใฟ้นางคืนไป นางโทรไปต้อว่าแม่เราว่าสอนเรามาแบบไหนถึงได้มาโยนหนังสือใส่นาง แม่เราเลยเอาเข้าฟ้องปกครองไป หลังจากนั้น ห้องปกครองเรียกแม่นางมา แม่นางเลยต่อว่านาง เพราะแม่นางรู้อยู่แล้วว่า ถ้าเราทำแบบนั้น แปลว่านางต้องทำอะไรเราก่อน เลยเล่าให้แม่นางฟังว่า เราให้ยืมเงินทุกเช้า และเราห่อข้าวไปกินเองทุกวัน พอเราออกไปจากห้องปกครอง เราได้ยินเสียงนางคุยกับเพื่อนอีกกลุ่มนึงว่าเราอ่ะ ด่าทอนาง ใส่ร้าย ป้ายสี หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรามองโลกในแง่ร้ายมาก จนเราไปเรียน ปวช. ซึ่งก็ยอมรับว่าเราไม่สนใจการแต่งตัว หรืออะไรเลยนอกจากชุดเรียน เราเริ่มควบคุมความโกรธไม่ได้ เริ่มที่จะเถียงกับคนที่บ้านบ่อยขึ้น จากคนทั่ไม่หนีเรียน กลับเริ่มหนีเรียนคาบสองในเทอมนึง เริ่มโกหกคนในครอบครัว จนเราเริ่มมีแฟน ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นแค่กิ๊กเขา แล้วพลาด ทำตัวเองท้อง แต่กว่าจะรู้ว่าตัวเองท้อง ก็สี่ห้าเดือนไปแล้ว ก็เลยไม่ทำแท้ง เราเลยกลับไปทำงาน ไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวในศูนย์ราชการแห่งหนึ่ง เราเข้าไปเพราะทางบ้านลพ่อเราอยากให้เข้าไป เราทำงานได้1ปี บวกกับที่ตัวเองเรียนรามไปด้วย เราไม่สามารถทนกับสภาพการทำงานได้ เลยลาออกไป ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่อยากทำงาน เราเลยขอที่บ้านว่าเราขอเรียนอย่างเดียวไปก่อนได้ไหม ก็เรียนไป1ปี เราก็เริ่มหางานทำใหม่ รอบนี้เราไปทำกับเพื่อน แต่ยังไม่ครบสามเดือน เรารถล้ม กระดูกแขนหัก เลยขอออก เพราะไม่สามารถทำงานให้ได้ บวกกับช่วงที่มีโควิดพอดี เราเลยจมไปอยู่กับโลกออนไลน์ ถามว่าตัวเองรู้ไหมว่าทำร้ายคนในครอบครัวอยู่ รู้ค่ะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราเองจะทำอะไรได้อีก เหมือนตัวเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จกับการทำอะไรเลย เราเลยกลายเป็นคนติดอินเทอร์เน็ตเลยค่ะ
เรื่องครอบครัว ด้วยความที่พ่อกับแม่หย่ากันแล้ว เราก็ต้องบาลานซ์เรื่องึวามคิดของแต่ละบ้าน บ้านพ่อเราเป็นพี่คนโต บ้านแม่เราเป็นพี่คนกลาง เราก็ต้องเป็นตัวกลางระหว่างสองบ้าน ถึงแม้ว่าพ่อเราจะไม่ได้เลี้ยงเรามา เค้าก็มีแวะเวียนมาบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง เรารู้ว่าพ่อชอบดื่มและสูบจัดมาก เราเคบขอแล้ว แต่พ่อก็ไม่ได้ลด จนกระทั่งท่านเสียไป บ้านพ่อเขาอยากได้เงินส่วนที่เป็นของเรา เราเลยคุยกับแม่ เลยเป็นเหตุที่เราไม่กลับไปคุยกับบ้านพ่ออีกเลย อีกเหตุผลนึงคือ เราเคยพาลูกไปหาครอบครัวของพ่อ แต่ลูกเราไม่คุยกับคนที่ไม่เคยเจอ เขาเลยมาว่าเราว่าสอนลูกยังไงไม่ให้คุยกับเขา เราโกรธมาก ลูกเราเป็นออทิสติกที่ยังรักษาได้ เราก็รักษาให้ลูกอยู่ แต่คำพูดเหมือนเราไม่พยายามทำให้ลูกเป็นปกติ เลยพูดเลยว่า ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเราจะไม่เหยียบที่บ้านนั้นอีก ซึ่งเราก็ทำจริงๆ จนพ่อเสีย เลยแยกทางกัน
ส่วนบ้านแม่ เรามีพี่ชายอยู่อีกคนนึง ห่างกัน15ปี ซึ่งเราไม่ชอบเขาเลย จนแบบที่เขามาที่บ้าน ถึงขึ้นพูดในใจว่า มาทำไมอีก แต่ถามว่าเค้าเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็กโตมาไม่สนิทกันเลยหรอ เราบอกเลยว่า ไม่ค่ะ เรารู้ว่าการจู้จี้จุกจิกของเขาอยากให้เรารอบคอบมากขึ้น แต่เรารำคาญ บางอย่างตัดสินใจเองได้ เราเองก็พึ่งรู้เมื่อประมานปีที่แล้วว่าตัวเราเองก็เป็นออทิสติก เนื่องจากเคยชักตอนเด็กๆเลือดไปเสี้ยงตรงสมองไม่ทัน แต่เขาเข้มงวดมาก เราไม่ได้รู้สึกภูมิใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเรามีพี่ชายที่ดี ที่ห่วงเราขนาดไหน เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าเรา เค้าจะบ่น ๆ ๆ ๆ ตลอดเวลา ทำไมไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่พยายามทำนะ แต่อย่ายุ่งเรื่องของเราบ้างจะได้ไหม ให้กำลังใจโดยใช้คำพูดแบบบวกๆบ้างได้ไหม ทั้งชีวิตที่รู้จักมา ใช้คำพูดว่าเก่งมาก ดีมาก แค่ไม่กี่ครั้ง หรือต้องปรับชีวิตยังไง เคยคิดด้วยซ้ำว่า เอาชีวิตไปใช้เองเลยดีไหม หรือไม่ก็ไม่ต้องให้เราอยู่เลยก็ได้
ส่วนที่บ้านมีผู้ใหญ่ไหม มีค่ะ แต่ไม่อยากคุยด้วย เพราะทั้งชีวิตเราก็สร้างความลำบากให้มามากพอแล้ว เรื่องเงินก็มีขโมยบ้าง จนเรารู้สึกผิด และไม่อยากบอกอีกต่อไป เรามีน้องสาวที่มีชีวิตที่ดีจนรู้สึกได้ว่าเราเป็นพี่ที่เลวมาก ไม่มีเราน้องคงไปไกลกว่านี้ ไม่ได้มีความภูมิใจเลยที่รอดออกมาได้ขนาดนี้ รู้สึกอยากอยู่คนเดียว อยากทำอะไรคนเดียว หรือไม่ก็หายไปเลย จนเราอยากปรึกษาจิตแพทย์ แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าไปทำไม
เราเลยอยากถามทุกคนว่าตอนนี้เราพอจะมีทางออกไหนบ้างที่สามารถทำให้เราไม่รู้สึกแบบนี้อีก
อยากจะหาทางออกในชีวิตค่ะ
ตั้งแต่จำได้ว่าตัวเองมีเรื่องผิดปดติ คือตอนม.ต้น ตอนนั้นโดนบูลลี่เยอะค่ะ แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรกับคนที่บูลลี่เรา จนกระทั่ง ม.2 เป็นคาบที่ทั้งระดับต้องมาอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนั้นครูไม่อยู่เลยซักคน ด้วยความที่เรามาโรงเรียนกับแม่ โรงเรียนกับบ้านเราอยู่ไกลกับ ต้องนั่งรถเมล์ 2 ชั่วโมง ก็จะต้องตื่นเช้า ถึงโรงเรียนก็เกือบสาย ซึ่งตอนนั้นเราก็ง่วงเต็มที่ ก็เลยอยากจะนอน เลยนั่งขัดสมาธิกอดกระเป๋า เราหลับไม่สนิท ก็จะมีไอเพื่อนมันคอยกวนอยู่ ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำอะไรเขา จนกระทั่งเรารู้สึกได้ว่ามีเท้าอยู่บนกลางหลังเรา เราเลยโวยวายไปว่าใครเอาเท้ามาไว้หลังเรา จนเราร้องไห้ เพื่อนในห้องเห็นเราร้องไห้ตอนจบคาบ จะให้เราไปฟ้องห้องปกครอง ตอนนั้นยอมรับค่ะ ว่าตัวเองใจดีมาก จะไม่เอาเรื่อง จนเพื่อนต้องลากไปห้องปกครอง หลังจากวันนั้นมา เรารู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ร้ายขึ้น เหมือนโกรธตลอดเวลา พูดคนเดียวตลอด ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าได้เลย ต่อมา มีเรื่องกับเพื่อนสนิท ที่เอาเราไปนินทาลับหลัง ทั้งๆที่เวลาเขาไม่มีตัง เราก็เอาเงินเราให้เขากิน การบ้าน หนังสือ สมุด เราก็แบกให้ ทำให้ด้วย เราแค่อบากให้เขามาเป็นเพื่อนเรา แต่เชากลับเล่าให้คนอื่นฟังว่าเราเอาเปรียบเขา เราหลอกใช้เขา จนเรามารู้ตอนจะจบม.ต้น เราเลยโยนหนังสือที่เราแบกใฟ้นางคืนไป นางโทรไปต้อว่าแม่เราว่าสอนเรามาแบบไหนถึงได้มาโยนหนังสือใส่นาง แม่เราเลยเอาเข้าฟ้องปกครองไป หลังจากนั้น ห้องปกครองเรียกแม่นางมา แม่นางเลยต่อว่านาง เพราะแม่นางรู้อยู่แล้วว่า ถ้าเราทำแบบนั้น แปลว่านางต้องทำอะไรเราก่อน เลยเล่าให้แม่นางฟังว่า เราให้ยืมเงินทุกเช้า และเราห่อข้าวไปกินเองทุกวัน พอเราออกไปจากห้องปกครอง เราได้ยินเสียงนางคุยกับเพื่อนอีกกลุ่มนึงว่าเราอ่ะ ด่าทอนาง ใส่ร้าย ป้ายสี หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรามองโลกในแง่ร้ายมาก จนเราไปเรียน ปวช. ซึ่งก็ยอมรับว่าเราไม่สนใจการแต่งตัว หรืออะไรเลยนอกจากชุดเรียน เราเริ่มควบคุมความโกรธไม่ได้ เริ่มที่จะเถียงกับคนที่บ้านบ่อยขึ้น จากคนทั่ไม่หนีเรียน กลับเริ่มหนีเรียนคาบสองในเทอมนึง เริ่มโกหกคนในครอบครัว จนเราเริ่มมีแฟน ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นแค่กิ๊กเขา แล้วพลาด ทำตัวเองท้อง แต่กว่าจะรู้ว่าตัวเองท้อง ก็สี่ห้าเดือนไปแล้ว ก็เลยไม่ทำแท้ง เราเลยกลับไปทำงาน ไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวในศูนย์ราชการแห่งหนึ่ง เราเข้าไปเพราะทางบ้านลพ่อเราอยากให้เข้าไป เราทำงานได้1ปี บวกกับที่ตัวเองเรียนรามไปด้วย เราไม่สามารถทนกับสภาพการทำงานได้ เลยลาออกไป ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่อยากทำงาน เราเลยขอที่บ้านว่าเราขอเรียนอย่างเดียวไปก่อนได้ไหม ก็เรียนไป1ปี เราก็เริ่มหางานทำใหม่ รอบนี้เราไปทำกับเพื่อน แต่ยังไม่ครบสามเดือน เรารถล้ม กระดูกแขนหัก เลยขอออก เพราะไม่สามารถทำงานให้ได้ บวกกับช่วงที่มีโควิดพอดี เราเลยจมไปอยู่กับโลกออนไลน์ ถามว่าตัวเองรู้ไหมว่าทำร้ายคนในครอบครัวอยู่ รู้ค่ะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราเองจะทำอะไรได้อีก เหมือนตัวเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จกับการทำอะไรเลย เราเลยกลายเป็นคนติดอินเทอร์เน็ตเลยค่ะ
เรื่องครอบครัว ด้วยความที่พ่อกับแม่หย่ากันแล้ว เราก็ต้องบาลานซ์เรื่องึวามคิดของแต่ละบ้าน บ้านพ่อเราเป็นพี่คนโต บ้านแม่เราเป็นพี่คนกลาง เราก็ต้องเป็นตัวกลางระหว่างสองบ้าน ถึงแม้ว่าพ่อเราจะไม่ได้เลี้ยงเรามา เค้าก็มีแวะเวียนมาบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง เรารู้ว่าพ่อชอบดื่มและสูบจัดมาก เราเคบขอแล้ว แต่พ่อก็ไม่ได้ลด จนกระทั่งท่านเสียไป บ้านพ่อเขาอยากได้เงินส่วนที่เป็นของเรา เราเลยคุยกับแม่ เลยเป็นเหตุที่เราไม่กลับไปคุยกับบ้านพ่ออีกเลย อีกเหตุผลนึงคือ เราเคยพาลูกไปหาครอบครัวของพ่อ แต่ลูกเราไม่คุยกับคนที่ไม่เคยเจอ เขาเลยมาว่าเราว่าสอนลูกยังไงไม่ให้คุยกับเขา เราโกรธมาก ลูกเราเป็นออทิสติกที่ยังรักษาได้ เราก็รักษาให้ลูกอยู่ แต่คำพูดเหมือนเราไม่พยายามทำให้ลูกเป็นปกติ เลยพูดเลยว่า ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเราจะไม่เหยียบที่บ้านนั้นอีก ซึ่งเราก็ทำจริงๆ จนพ่อเสีย เลยแยกทางกัน
ส่วนบ้านแม่ เรามีพี่ชายอยู่อีกคนนึง ห่างกัน15ปี ซึ่งเราไม่ชอบเขาเลย จนแบบที่เขามาที่บ้าน ถึงขึ้นพูดในใจว่า มาทำไมอีก แต่ถามว่าเค้าเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็กโตมาไม่สนิทกันเลยหรอ เราบอกเลยว่า ไม่ค่ะ เรารู้ว่าการจู้จี้จุกจิกของเขาอยากให้เรารอบคอบมากขึ้น แต่เรารำคาญ บางอย่างตัดสินใจเองได้ เราเองก็พึ่งรู้เมื่อประมานปีที่แล้วว่าตัวเราเองก็เป็นออทิสติก เนื่องจากเคยชักตอนเด็กๆเลือดไปเสี้ยงตรงสมองไม่ทัน แต่เขาเข้มงวดมาก เราไม่ได้รู้สึกภูมิใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเรามีพี่ชายที่ดี ที่ห่วงเราขนาดไหน เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าเรา เค้าจะบ่น ๆ ๆ ๆ ตลอดเวลา ทำไมไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่พยายามทำนะ แต่อย่ายุ่งเรื่องของเราบ้างจะได้ไหม ให้กำลังใจโดยใช้คำพูดแบบบวกๆบ้างได้ไหม ทั้งชีวิตที่รู้จักมา ใช้คำพูดว่าเก่งมาก ดีมาก แค่ไม่กี่ครั้ง หรือต้องปรับชีวิตยังไง เคยคิดด้วยซ้ำว่า เอาชีวิตไปใช้เองเลยดีไหม หรือไม่ก็ไม่ต้องให้เราอยู่เลยก็ได้
ส่วนที่บ้านมีผู้ใหญ่ไหม มีค่ะ แต่ไม่อยากคุยด้วย เพราะทั้งชีวิตเราก็สร้างความลำบากให้มามากพอแล้ว เรื่องเงินก็มีขโมยบ้าง จนเรารู้สึกผิด และไม่อยากบอกอีกต่อไป เรามีน้องสาวที่มีชีวิตที่ดีจนรู้สึกได้ว่าเราเป็นพี่ที่เลวมาก ไม่มีเราน้องคงไปไกลกว่านี้ ไม่ได้มีความภูมิใจเลยที่รอดออกมาได้ขนาดนี้ รู้สึกอยากอยู่คนเดียว อยากทำอะไรคนเดียว หรือไม่ก็หายไปเลย จนเราอยากปรึกษาจิตแพทย์ แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าไปทำไม
เราเลยอยากถามทุกคนว่าตอนนี้เราพอจะมีทางออกไหนบ้างที่สามารถทำให้เราไม่รู้สึกแบบนี้อีก