คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
สปสช. ดึงร้านยาร่วม “เจอ แจก จบ” จ่ายยา - ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 สิทธิบัตรทอง ขรก. และ อปท.
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จับมือสภาเภสัชกรรม เพิ่มช่องทางบริการผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีภาวะเสี่ยง อาการไม่รุนแรง/ไม่แสดงอาการ รักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน “เจอ แจก จบ” โดยให้ผู้ป่วยรับยาได้ฟรี ณ ร้านยาทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง พร้อมคำแนะนำและการติดตามอาการจากเภสัชกรอีก 48 ชม. หากอาการรุนแรงขึ้นจะส่งต่อเข้าระบบให้แพทย์ดูแลต่อไป
ผู้มีสิทธิบัตรทอง ข้าราชการ และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สังเกตป้ายข้อความหน้าร้านยาว่า "สถานบริการเภสัชกรรมชุมชน" และ "เครือข่ายเภสัชกรอาสาปรึกษาโควิดผ่านระบบเภสัชกรรมทางไกล" เพื่อเข้ารับบริการได้ หรือตรวจสอบรายชื่อร้านยาที่ร่วมโครงการได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197
https://www.facebook.com/ThaigovSpokesman/posts/350803977082340
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หยุดยาวนี้ เพื่อนๆ คนไหนวางแผนเดินทางไกล โดยเฉพาะกับการเดินทางด้วย ‘เครื่องบิน’ ด้วยแล้ว ลองทวน 8 ข้อปฏิบัติ ที่จะเซฟเที่ยวบินนี้ให้ปลอดภัย ทั้งกับโรคภัยและความอุ่นใจบนเครื่องไว้หน่อย แม้เครื่องบินจะเป็นขนส่งสาธารณะที่มีความปลอดภัยที่สุดก็ตามนะจ๊ะ
ที่มา: กระทรวงคมนาคม
https://www.facebook.com/realnewsthailand/posts/1161354004697328
กนอ. กำชับทุกนิคมฯ เฝ้าระวังโควิด พร้อมวางมาตรการกำกับดูแล 24 ชม.
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. กำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งขอให้ระมัดระวังการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ขอความร่วมมือผู้ปฏิบัติงานนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และสำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรม ให้ดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เช่น การแจ้งเตือนผู้ปฏิบัติงานในสังกัดก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ให้เว้นระยะระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จัดให้มีจุดบริการเจลล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 และติดตั้งและใช้แอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะก่อนเข้า-ออกสถานที่ รวมทั้งให้ผู้ปฏิบัติงานประเมินความเสี่ยงของตนเอง และตรวจ ATK ก่อนเดินทาง หรือร่วมงานประเพณีต่างๆ และหลังวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ให้ทำการคัดกรองผู้ปฏิบัติงาน ตรวจสอบประวัติการเดินทาง และตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK ก่อนกลับเข้ามาปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด
กนอ. ได้กำชับให้ทุกสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม มอบหมายให้พนักงานปฏิบัติงานนอกเวลาทำการและในช่วงวันหยุดยาวตลอด 24 ชั่วโมง โดยกำหนดมาตรการเฝ้าระวังหากเกิดกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งประสานงานร่วมกันระหว่างสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรืออุตสาหกรรม และศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ศสป.) รายงานข้อเท็จจริงกรณีเกิดเหตุ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานเหตุการณ์ให้ผู้อำนวยการสำนักนิคมฯ ทราบโดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินระดับความรุนแรงและผลกระทบอย่างทันท่วงที
https://web.facebook.com/Sumnakkaow.PRD/posts/346903634138647
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สธ.รับมอบ “ยาแพกซ์โลวิด” 5 หมื่นคอร์สจากบริษัทผู้ผลิต รองรับการรักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยา “แพกซ์โลวิด” 5 หมื่นคอร์สการรักษา ระหว่างกรมการแพทย์ และบริษัท ไฟเซอร์ฯ ตามสัญญาการจัดซื้อ พร้อมให้องค์การเภสัชกรรมจัดเก็บและกระจายยา เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยา “แพกซ์โลวิด” 5 หมื่นคอร์สการรักษา ระหว่างกรมการแพทย์ และบริษัท ไฟเซอร์ฯ ตามสัญญาการจัดซื้อ พร้อมให้องค์การเภสัชกรรมจัดเก็บและกระจายยา เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีภาวะเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง ช่วยลดการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต รองรับสถานการณ์ช่วงหลังสงกรานต์ที่อาจมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (11 เมษายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยาต้านไวรัสโควิด 19 “แพกซ์โลวิด” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยนพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนางสาวเด็บบราห์ ไซเฟิร์ท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเข้าถึงยารักษาโควิด 19 ที่มีประสิทธิผล โดยมีข้อมูลทางวิชาการหรือผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพิจารณาเลือกและจัดหายาที่เหมาะสมในการนำมาใช้กับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ยาโมลนูพิราเวียร์ และยาตัวใหม่ที่กำลังนำมาใช้ คือ ยาแพกซ์โลวิด ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ ดำเนินการจัดซื้อจัดหาจำนวน 50,000 คอร์ส การรักษา โดยลงนามจัดซื้อกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา และมีการส่งมอบยาในวันนี้
“ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกรมการแพทย์ ที่เป็นผู้ดำเนินการจัดหายาแพกซ์โลวิด และองค์การเภสัชกรรม ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บและกระจายยา รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่เสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลผู้ป่วยโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง” นายอนุทินกล่าว
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในผูป่วย 1,379 คน พบว่า ยาแพกซ์โลวิดช่วยลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลงได้ ร้อยละ 88 เมื่อผู้ป่วยได้รับยาภายใน 5 วันนับตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยกลุ่มที่ให้ยาแพกซ์โลวิด มีการนอนโรงพยาบาล ร้อยละ 0.77 และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอก มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล ร้อยละ 6.31 และมีผู้เสียชีวิต 13 คน ถือว่ามีประสิทธิผลสูง ซึ่งยาแพกซ์โลวิด 50,000 คอร์สที่ส่งมอบครั้งนี้ จะนำไปใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เช่น คนอายุมากกว่า 60 ปี มีภาวะอ้วน เป็นเบาหวาน เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคไตเรื้อรัง ภูมิต้านทานร่างกายต่ำ เป็นต้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือการรักษาตัวในโรงพยาบาล
นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า กรมการแพทย์ได้เริ่มเจรจาจัดซื้อยาแพกซ์โลวิดกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ตามกระบวนการขั้นตอนต่างๆ จนมีการตรวจรับและส่งมอบยาในวันนี้ เพื่อให้สามารถนำยาดังกล่าวไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้ทันในช่วงเดือนเมษายน เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของโรคโควิด 19 หลังจากเทศกาลสงกรานต์ที่คาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยมีองค์การเภสัชกรรมทำหน้าที่จัดเก็บและกระจายยาไปยังสถานพยาบาลต่างๆ
ทั้งนี้ ยาแพกซ์โลวิดเป็นยาต้านไวรัสชนิดเม็ด ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ทำให้เชื้อไวรัสโควิดไม่สามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นต้องใช้ในการเพิ่มจำนวนได้ ยานี้ประกอบด้วย ยา Nirmatrelvir (150 มก.) จำนวน 2 เม็ด และยา Ritonavir (100 มก.) จำนวน 1 เม็ด รับประทานวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน (ใช้ Nirmatrelvir 20 เม็ด และ Ritonavir 10 เม็ด/คน) กลุ่มที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง คือ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม ผู้ที่การทำงานของตับหรือไตบกพร่อง รวมถึงผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่อาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างกันการพิจารณาให้ยาจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
วันที่ 11 เมษายน 2565
https://www.facebook.com/NBT2HDTV/posts/7574526112565033
สปสช. แจกชุดตรวจ ATK เฟส1 แล้วกว่า 8.49 ล้านชุด ประชาชนบันทึกผลตรวจบนแอปเป๋าตัง 7.14 ล้านชุด
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รายงานผลการกระจายชุดตรวจเชื้อโควิด19 ด้วยตนเอง (ATK) สำหรับกลุ่มเสี่ยงระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2564 – 31 มี.ค. 2565 จำนวน 8.5 ล้านชุด ซึ่งได้ดำเนินการกระจายให้กับประชาชนแล้ว 8,494,425 ชุด คงเหลือในคลังกลาง 5,575 ชุด มีการบันทึกผลตรวจ ATK บนแอปเป๋าตัง ณ 24 ก.พ. 65 แล้ว 7,141,966 ชุด ไม่พบการบันทึกผล จำนวน 914,734 ชุด และยังคงเหลือ ATK ในพื้นที่ประมาณ 437,725 ชุด หลังจากนี้ จะเร่งติดตามตรวจสอบต่อไป
สำหรับโครงการกระจายชุดตรวจ ATK ระยะที่ 2 ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2565 นั้น สปสช.กับกรมควบคุมโรค จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประเมินว่า ยังมีความจำเป็นในการแจกชุดตรวจ ATK มากน้อยเพียงใด เนื่องจากแนวโน้มในหลายประเทศได้เลิกการแจก ATK แล้ว และโรคโควิด-19 กำลังดำเนินสู่โรคประจำถิ่น
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/401535635309825
สปสช. ดึงร้านยาร่วม “เจอ แจก จบ” จ่ายยา - ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 สิทธิบัตรทอง ขรก. และ อปท.
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จับมือสภาเภสัชกรรม เพิ่มช่องทางบริการผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีภาวะเสี่ยง อาการไม่รุนแรง/ไม่แสดงอาการ รักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน “เจอ แจก จบ” โดยให้ผู้ป่วยรับยาได้ฟรี ณ ร้านยาทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง พร้อมคำแนะนำและการติดตามอาการจากเภสัชกรอีก 48 ชม. หากอาการรุนแรงขึ้นจะส่งต่อเข้าระบบให้แพทย์ดูแลต่อไป
ผู้มีสิทธิบัตรทอง ข้าราชการ และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สังเกตป้ายข้อความหน้าร้านยาว่า "สถานบริการเภสัชกรรมชุมชน" และ "เครือข่ายเภสัชกรอาสาปรึกษาโควิดผ่านระบบเภสัชกรรมทางไกล" เพื่อเข้ารับบริการได้ หรือตรวจสอบรายชื่อร้านยาที่ร่วมโครงการได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197
https://www.facebook.com/ThaigovSpokesman/posts/350803977082340
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หยุดยาวนี้ เพื่อนๆ คนไหนวางแผนเดินทางไกล โดยเฉพาะกับการเดินทางด้วย ‘เครื่องบิน’ ด้วยแล้ว ลองทวน 8 ข้อปฏิบัติ ที่จะเซฟเที่ยวบินนี้ให้ปลอดภัย ทั้งกับโรคภัยและความอุ่นใจบนเครื่องไว้หน่อย แม้เครื่องบินจะเป็นขนส่งสาธารณะที่มีความปลอดภัยที่สุดก็ตามนะจ๊ะ
ที่มา: กระทรวงคมนาคม
https://www.facebook.com/realnewsthailand/posts/1161354004697328
กนอ. กำชับทุกนิคมฯ เฝ้าระวังโควิด พร้อมวางมาตรการกำกับดูแล 24 ชม.
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. กำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งขอให้ระมัดระวังการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ขอความร่วมมือผู้ปฏิบัติงานนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และสำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรม ให้ดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เช่น การแจ้งเตือนผู้ปฏิบัติงานในสังกัดก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ให้เว้นระยะระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จัดให้มีจุดบริการเจลล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 และติดตั้งและใช้แอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะก่อนเข้า-ออกสถานที่ รวมทั้งให้ผู้ปฏิบัติงานประเมินความเสี่ยงของตนเอง และตรวจ ATK ก่อนเดินทาง หรือร่วมงานประเพณีต่างๆ และหลังวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ให้ทำการคัดกรองผู้ปฏิบัติงาน ตรวจสอบประวัติการเดินทาง และตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK ก่อนกลับเข้ามาปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด
กนอ. ได้กำชับให้ทุกสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม มอบหมายให้พนักงานปฏิบัติงานนอกเวลาทำการและในช่วงวันหยุดยาวตลอด 24 ชั่วโมง โดยกำหนดมาตรการเฝ้าระวังหากเกิดกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งประสานงานร่วมกันระหว่างสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรืออุตสาหกรรม และศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ศสป.) รายงานข้อเท็จจริงกรณีเกิดเหตุ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานเหตุการณ์ให้ผู้อำนวยการสำนักนิคมฯ ทราบโดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินระดับความรุนแรงและผลกระทบอย่างทันท่วงที
https://web.facebook.com/Sumnakkaow.PRD/posts/346903634138647
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สธ.รับมอบ “ยาแพกซ์โลวิด” 5 หมื่นคอร์สจากบริษัทผู้ผลิต รองรับการรักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยา “แพกซ์โลวิด” 5 หมื่นคอร์สการรักษา ระหว่างกรมการแพทย์ และบริษัท ไฟเซอร์ฯ ตามสัญญาการจัดซื้อ พร้อมให้องค์การเภสัชกรรมจัดเก็บและกระจายยา เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยา “แพกซ์โลวิด” 5 หมื่นคอร์สการรักษา ระหว่างกรมการแพทย์ และบริษัท ไฟเซอร์ฯ ตามสัญญาการจัดซื้อ พร้อมให้องค์การเภสัชกรรมจัดเก็บและกระจายยา เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีภาวะเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง ช่วยลดการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต รองรับสถานการณ์ช่วงหลังสงกรานต์ที่อาจมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (11 เมษายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยาต้านไวรัสโควิด 19 “แพกซ์โลวิด” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยนพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนางสาวเด็บบราห์ ไซเฟิร์ท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเข้าถึงยารักษาโควิด 19 ที่มีประสิทธิผล โดยมีข้อมูลทางวิชาการหรือผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพิจารณาเลือกและจัดหายาที่เหมาะสมในการนำมาใช้กับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ยาโมลนูพิราเวียร์ และยาตัวใหม่ที่กำลังนำมาใช้ คือ ยาแพกซ์โลวิด ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ ดำเนินการจัดซื้อจัดหาจำนวน 50,000 คอร์ส การรักษา โดยลงนามจัดซื้อกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา และมีการส่งมอบยาในวันนี้
“ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกรมการแพทย์ ที่เป็นผู้ดำเนินการจัดหายาแพกซ์โลวิด และองค์การเภสัชกรรม ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บและกระจายยา รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่เสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลผู้ป่วยโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง” นายอนุทินกล่าว
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในผูป่วย 1,379 คน พบว่า ยาแพกซ์โลวิดช่วยลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลงได้ ร้อยละ 88 เมื่อผู้ป่วยได้รับยาภายใน 5 วันนับตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยกลุ่มที่ให้ยาแพกซ์โลวิด มีการนอนโรงพยาบาล ร้อยละ 0.77 และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอก มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล ร้อยละ 6.31 และมีผู้เสียชีวิต 13 คน ถือว่ามีประสิทธิผลสูง ซึ่งยาแพกซ์โลวิด 50,000 คอร์สที่ส่งมอบครั้งนี้ จะนำไปใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เช่น คนอายุมากกว่า 60 ปี มีภาวะอ้วน เป็นเบาหวาน เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคไตเรื้อรัง ภูมิต้านทานร่างกายต่ำ เป็นต้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือการรักษาตัวในโรงพยาบาล
นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า กรมการแพทย์ได้เริ่มเจรจาจัดซื้อยาแพกซ์โลวิดกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ตามกระบวนการขั้นตอนต่างๆ จนมีการตรวจรับและส่งมอบยาในวันนี้ เพื่อให้สามารถนำยาดังกล่าวไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้ทันในช่วงเดือนเมษายน เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของโรคโควิด 19 หลังจากเทศกาลสงกรานต์ที่คาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยมีองค์การเภสัชกรรมทำหน้าที่จัดเก็บและกระจายยาไปยังสถานพยาบาลต่างๆ
ทั้งนี้ ยาแพกซ์โลวิดเป็นยาต้านไวรัสชนิดเม็ด ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ทำให้เชื้อไวรัสโควิดไม่สามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นต้องใช้ในการเพิ่มจำนวนได้ ยานี้ประกอบด้วย ยา Nirmatrelvir (150 มก.) จำนวน 2 เม็ด และยา Ritonavir (100 มก.) จำนวน 1 เม็ด รับประทานวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน (ใช้ Nirmatrelvir 20 เม็ด และ Ritonavir 10 เม็ด/คน) กลุ่มที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง คือ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม ผู้ที่การทำงานของตับหรือไตบกพร่อง รวมถึงผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่อาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างกันการพิจารณาให้ยาจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
วันที่ 11 เมษายน 2565
https://www.facebook.com/NBT2HDTV/posts/7574526112565033
สปสช. แจกชุดตรวจ ATK เฟส1 แล้วกว่า 8.49 ล้านชุด ประชาชนบันทึกผลตรวจบนแอปเป๋าตัง 7.14 ล้านชุด
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รายงานผลการกระจายชุดตรวจเชื้อโควิด19 ด้วยตนเอง (ATK) สำหรับกลุ่มเสี่ยงระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2564 – 31 มี.ค. 2565 จำนวน 8.5 ล้านชุด ซึ่งได้ดำเนินการกระจายให้กับประชาชนแล้ว 8,494,425 ชุด คงเหลือในคลังกลาง 5,575 ชุด มีการบันทึกผลตรวจ ATK บนแอปเป๋าตัง ณ 24 ก.พ. 65 แล้ว 7,141,966 ชุด ไม่พบการบันทึกผล จำนวน 914,734 ชุด และยังคงเหลือ ATK ในพื้นที่ประมาณ 437,725 ชุด หลังจากนี้ จะเร่งติดตามตรวจสอบต่อไป
สำหรับโครงการกระจายชุดตรวจ ATK ระยะที่ 2 ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2565 นั้น สปสช.กับกรมควบคุมโรค จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประเมินว่า ยังมีความจำเป็นในการแจกชุดตรวจ ATK มากน้อยเพียงใด เนื่องจากแนวโน้มในหลายประเทศได้เลิกการแจก ATK แล้ว และโรคโควิด-19 กำลังดำเนินสู่โรคประจำถิ่น
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/401535635309825
แสดงความคิดเห็น
🇹🇭มาลาริน💛11เม.ย.ติดเชื้อใหม่Top10โลก/ป่วย22,378คน หายป่วย27,680คน ตาย105คน/สาเหตุอาการหนัก ตายเพิ่ม/วัคซีนสู้BA.2 ได
https://www.bangkokbiznews.com/news/998622
https://www.thebangkokinsight.com/news/politics-general/covid-19/846960/
กรมวิทย์ฯ เผยวัคซีนมีผลต่อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 ดีกว่า BA.1 แต่ 2 เข็มไม่พอต้องฉีดเข็มกระตุ้นอีก
11 เมษายน 2565 เวลา 15:34 น.
11 เม.ย.65-ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวเรื่องภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ย่อย BA.2
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ขณะนี้การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 ถึง 95.9% คาดว่าอีก 1-2 สัปดาห์จะมาแทนที่การระบาดของสายพันธุ์ BA.1 เป็น 100% เนื่องจาก BA.2 ความสามารถในการแพร่รวดเร็วกว่า ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ขณะนี้ฉีดเข็มกระตุ้นไปแล้ว 35-36% แต่เนื่องจากเชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์ต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนอาจมีผลต่อแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกัน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ศึกษาผลของภูมิคุ้มกันที่มีต่อไวรัสโควิด 19 จริง ด้วยวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน ต้องทดสอบภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 โดยนำซีรั่มจากเลือดที่มีภูมิคุ้มกันของผู้รับวัคซีนโควิด 19 แล้ว 2 สัปดาห์ มาสู้กับไวรัส BA.2 ที่เพาะเลี้ยงไว้ และเจือจางซีรั่มในระดับเท่าตัว เพื่อหาจุดที่ไวรัสถูกทำลาย 50% ด้วยแอนติบอดีในซีรั่ม หรือ PRNT50 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7-8 วันจึงทราบผล
ทั้งนี้ จากการตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อไวรัสทั้งกรณีได้รับวัคซีน 2 เข็ม และ 3 เข็ม พบว่า วัคซีนทุกสูตรให้ระดับภูมิคุ้มกันที่ต่อสู้กับไวรัสโอมิครอน BA.2 ได้มากกว่า BA.1 ดังนั้น ข้อกังวลว่าสายพันธุ์ย่อย BA.2 จะหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้มากกว่าจึงไม่น่าเป็นจริง อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีน 2 เข็ม แม้จะเป็นช่วง 2 สัปดาห์หลังฉีด พบว่าภูมิคุ้มกันต่อ BA.2 ไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้น ถ้าฉีด 2 เข็มมาแล้วหลายเดือน ภูมิคุ้มกันจะยิ่งน้อยลง แต่เมื่อฉีดกระตุ้นเข็ม 3 พบว่าภูมิคุ้มกันขึ้นในระดับสูงมากต่อไวรัสโอมิครอน BA.2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงขอแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้น (booster dose) โดยเร็วในคนที่ได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม
https://www.thaipost.net/covid-19-news/122084/
ติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ
ไทยติดเชื้อใหม่ทรงตัวระดับสองหมื่นคน แต่ติดTop10โลก เพราะทั่วโลกติดเชื้อใหม่เริ่มลดลง
สาเหตุการติดเชื้อเพิ่ม มีอาการหนัก และตายเพิ่มก็มาจากการไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับเพียงเข็ม1,2เท่านั้น
การฉีดวัคซีนก็บังคับกันไม่ได้ ด้วยนะคะ
รัฐบาลพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ค่ะ ช่วยกันส่งกลุ่ม 608 มารับวัคซีนนะคะ
.....