สวัสดีค่ะ เราเดินทางไปเมือง Adelaide ประเทศออสเตรเลียช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เลยอยากมาแบ่งบันประสบการณ์เดินทางต่างประเทศในช่วงนี้กันค่ะ
เมื่อรู้ว่าเราสามารถเดินทางเข้าประเทศออสเตรเลียได้ เราก็จัดแจงขอวีซ่าออสเตรเลียออนไลน์ และขอ Travel Exemption ซึ่งตอนนี้ (ตั้งแต่ 21 กพ. 22) ไม่ต้องแล้วนะคะ สำหรับผู้ที่มีวีซ่าและฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็ยื่นขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศออสเตรเลียได้เลยค่ะ
PART 1 : เดินทางออกจากประเทศไทย
เราขอวีซ่าออสเตรเลียออนไลน์ด้วยตัวเอง ช่วงกลางเดือนมกราคม ตอนนั้นยังต้องขอ Travel Exemption ด้วย ทำให้กระบวนการขอวีซ่าใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์กว่าค่ะ เราได้วีซ่าท่องเที่ยว Multiple entry 3 ปี ค่าใช้จ่าย 145 AUD (ตัดบัตร 3665.12 บาท)
เมื่อได้วีซ่าเข้าออสเตรเลียเรียบร้อยแล้ว เราถึงจองสายการบินค่ะ การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางด้วย Qantas Airways ซึ่งก่อนเช็คอินขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ นอกจาก Passport พนักงานจะตรวจเอกสาร 3 อย่างนี้ค่ะ
3 เอกสารต้องเตรียมก่อนเช็คอิน (นอกจาก Passport)
1. ผลตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมง ใบรับรองแพทย์ Fit-to-fly ก่อนออกจากประเทศไทย
เราตรวจ RT-PCR พร้อมได้ใบ fit-to-fly ที่ MedConsult Clinic แถวพร้อมพงษ์ ในราคา 1,500 บาท ก่อนเดินทาง 3 วัน (เดินทางวันที่ 16 ไปตรวจวันที่ 14 ตอนเช้า) เราเข้าไปตรวจก่อน 10 โมง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และได้ผลแลปตรวจ สามทุ่ม ในวันเดียวกับที่ตรวจเลย ซึ่งเค้าจะมี link ให้กรอกขอ fit-to-fly อันนี้เราปริ้นท์ผลแลป และใบ fit-to-fly ไปสนามบินด้วยค่ะ
2. ใบรับรองการฉีดวัคซีน International Vaccination Certification
อันนี้ขอจากแอปหมอพร้อม กรอกข้อมูล passport จากนั้นระบบจะส่งใบรับรองทางอีเมล รู้สึกจะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 3 วัน ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ อันนี้เราก็ปริ้นท์ไปด้วยค่ะ
3. Australia Digital Passenger Declaration (DPD)
ก่อนเข้าออสเตรเลีย ภายใน 72 ชั่วโมง เราต้องทำ DPD ที่เว็บ
https://dpd.homeaffairs.gov.au/ เพื่อ submit ข้อมูลไฟล์ทบิน ข้อมูลวัคซีน ผลตรวจ COVID-19 และ ข้อมูลการติดต่อในออสเตรเลีย ต่างๆ จากนั้นเราก็จะได้รับอีเมลแจ้งผลมาเป็นรหัสในอีเมล ให้แคปหน้าจอตรงนั้นไว้ ยื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนเช็คอินค่ะ ตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
ทิป: เราตั้งอัลบั้มเก็บรูปภาพเอกสารเหล่านี้ทั้งหมดไว้ในมือถือค่ะ เวลาเปิดให้เจ้าหน้าที่ดูก็จะได้รวดเร็วขึ้นค่ะ เพราะได้ขอดูกันบ่อยค่ะ
PART 2: ก่อนเดินทางกลับไทย
ขั้นตอนที่ 1 จองโรมแรมผ่าน Agoda (เราทำตอนอยู่ไทย)
ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ 3 วัน เราทำการจองโรงแรม ในโครงการ Thailand Pass / Test&Go ต้องจองผ่าน Agoda เลือกค้นหาแบบเฉพาะโรงแรมที่ร่วม Thailand Pass เราพยายามหาโรงแรมในราคาที่ไม่เว่อร์วังมาก เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 3700 บาท สำหรับ 1 คืน ราคานี้รวม
- ค่าที่พัก 1 คืน
- ค่าอาหารเช้า 1 มื้อ
- ค่ารับส่งจากสนามบินไปที่โรงแรม
- ค่าตรวจ RT-PCR 1 ครั้ง
- ค่าชุดตรวจ ATK 1 ชุด
เมื่อทำการชำระเงินแล้ว ทาง Agoda ก็จะส่งอีเมลมาให้ เราก็กดรับใบที่ยืนยันการจอง ซึ่งเราจะนำใบนั้นมาทำการลงทะเบียน Thailand Pass กันค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 Thailand Pass | Test&Go (เราทำตอนอยู่ต่างประเทศ)
ก่อนกลับไทย 4 วัน (ควรทำก่อน 3-7 วันค่ะ) เราก็เข้าเว็บไซต์
https://tp.consular.go.th/ เพื่อลงทะเบียนทำ ThailandPass โดยเตรียมไฟล์รูปภาพ (.jpeg) เอกสารสำหรับคนไทย คือ
- รูปหน้า Passport
- ใบรับรองการฉีดวัคซีน International Vaccination Certification
- หลักฐานการจอง booking กับ Agoda (กดรับจากอีเมลคอมเฟิร์มจาก Agoda)
ของเราใช้เวลาประมาณ 1 วัน ขอกลางคืน ได้กลางคืนวันถัดไป (แต่คนในกลุ่มใช้เวลา 2 วันถึงจะได้ ลุ้นๆ กันไปค่ะ) แล้วจะได้รับอีเมลที่มี QR Code ส่งมา ให้เราก็แคปเจอร์หน้าจอไว้ ใช้ตอนที่เดินทางเข้าไทยค่ะ
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจ RT-PCR 72 ชม. ก่อนบินกลับไทย (ขั้นตอนนี้ ตั้งแต่ 1 เมษายน 2022 เดินทางเข้าไทยไม่ต้องมีผลตรวจ PCR แล้วนะคะ)
สำหรับการตรวจ PCR สำหรับเดินทาง ในเมือง Adelaide ที่คลินิก มีหลายที่เหมือนกันค่ะ ราคาอยู่ประมาณ 140-150 AUD (ประมาณ 3,532-3,785 บาท)
สิ่งที่ต้องดูในการเลือกคลินิกที่ตรวจคือ
ระยะเวลารอผล ซึ่งบางคลินิกอาจใช้เวลามากกว่า 24 ชั่วโมง ดังนั้น เราต้องแน่ใจว่า เราตรวจไม่เกิน 72 ชม. ก่อนบินและการรอผลก็ไม่ควรเกิน 24-48 ชั่วโมง พอจองแล้วก็ต้องปริ้นท์ใบจองไปตรวจที่คลินิกค่ะ
เราเลือกตรวจที่ Clinical Labs ใกล้ๆ กับสนามบิน Adelaide ค่าใช้จ่าย 150 AUD ไม่ต้องไปต่อคิว Drive-Thru จะมีทางเข้าคลินิกตรวจเสียตังค์ต่างหาก รวดเร็ว 15 นาทีเสร็จ
PART 3 : เมื่อเดินทางกลับไทยจากออสเตรเลีย
ตอนเช็คอินที่สนามบิน Adelaide พนักงานสายการบินตรวจเช็คนานมากกก เค้าจะขอดูผล
- ผลตรวจ PCR
- Thailand Pass
- ใบรับรองการฉีดวัคซีน
ขอไปดูสองรอบ ตรวจแล้วตรวจอีก ทำให้ใช้เวลาค่อนข้างนาน (จับเวลาแล้วเฉลี่ยคิวละครึ่งชม.) ทำให้เรายืนต่อคิวกันเป็นชม.ๆ ขนาดเราที่เดินทางไปถึง 2 ชม. ก่อนบิน ก็ถูกเรียกเป็น final call จนได้
ดังนั้น การเดินทางในช่วงนี้ ต้องเผื่อเวลากันไว้ด้วยนะคะ นี่คือแถวตรวจเช็คกระเป๋า ก่อนเข้า Gate ยาวมากๆ ค่ะ
จากนั้นก็นั่งเครื่องไปต่อซิดนีย์ แล้วจากซิดนีย์บินยาวมากรุงเทพฯ 9 ชั่วโมง เราดู Harry Potter แบบ marathon ยาวๆ ไปเลยค่ะ ไม่ได้นอน
Part 4 : ลงเครื่องบินเมื่อถึงประเทศไทย
บนเครื่องบิน พนักงานจะแจกใบ ต.ม. และเอกสารเข้าไทยที่ต้องใส่ข้อมูลและเซ็นก่อน เราก็นั่งเขียนบนเครื่องเรียบร้อยค่ะ พอลงจากเครื่องบินก็เดินตามทางไปยังจุดเช็ค Thailand Pass เจ้าหน้าที่จะขอดูใบเอกสารนั้น Passport Thailand Pass และ ผลตรวจ PCR ที่เราตรวจก่อนเดินทางกลับไทยด้วยค่ะ เราตั้งอัลบั้มเก็บรูปภาพเอกสารเหล่านี้ทั้งหมดไว้ในมือถือค่ะ เวลาเปิดให้เจ้าหน้าที่ดูก็จะได้รวดเร็วขึ้นค่ะ
หลังจากนั้น ก็เป็นด่าน ตม. และออกมารับกระเป๋า พอรับกระเป๋า ผ่าน Custom ออกมาแล้ว เราจะเจอโต๊ะแปะป้ายชื่อโรงแรมต่างๆ ประมาณ 5 โต๊ะ ให้เราหาชื่อโรงแรมจากแต่ละโต๊ะ (จริงๆ อยากให้โรงแรมแจ้งเรามาเลยว่า ออกมาแล้วให้ไปที่โต๊ะเบอร์อะไร จะได้ไม่เสียเวลาหากันค่ะ)
เมื่อเจอเจ้าหน้าที่จากโรงแรม ก็แจ้งชื่อที่จอง ยื่น Passport และรอรถโรงแรมมารับ ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 35 นาทีค่ะ
เราได้นั่งเป็นรถตู้มีเฉพาะกลุ่มเรา 3 คน รถตู้ก็จะขับพาเราไปตรวจ PCR Test จากสนามบินไปจุดตรวจราวๆ 10 นาที นั่งรอตรวจอีกประมาณ 5-10 นาทีค่ะ คนขับรถแจ้งว่า ถือว่าเร็วค่ะ คนไม่เยอะ ปกติ บางทีเค้าบอกว่ารอนานกว่านี้ พอเราตรวจเสร็จก็ขึ้นรถไปยังโรงแรมทันทีค่ะ ถือว่าผ่านกระบวนการเข้าประเทศไทยอย่างเสร็จสมบูรณ์ เย้!
.... อ่อ ยัง
ผลตรวจ PCR และ การทำ ATK ในวันที่ 5
หลังจากนอน โรงแรม 1 คืน ผลตรวจ PCR ของเราก็มาในวันรุ่งขึ้น พนักงานโทรแจ้งผล ประมาณ 11 โมง เกือบเที่ยง ค่ะ หลังจากนั้นก็ check-out ได้ค่ะ อ้อ! อย่าลืมทวง ATK จากโรงแรมนะคะ โรงแรมของเรา พอ check-out แล้ว ลืม ATK ทั้งลูกค้าและพนักงานค่ะ เรามานึกได้ตอนกำลังจะนั่งรถออกจากโรงแรม รีบวิ่งไปเอาอย่างไว 555
แล้ววันที่ 5 เราก็ตรวจ ATK ด้วยตัวเองค่ะ ตอนแรกงงๆ ว่าจะต้องส่งผลตรวจที่ไหน เพราะโรงแรมก็ไม่ได้บอกอะไรค่ะ เราก็เลยถ่ายรูปผลตรวจเก็บไว้ (เราถ่ายรูปหน้าตัวเองคู่กับผลตรวจไปค่ะ กลัวรัฐบาลไม่เชื่อ 555) จากนั้น ก็เลยส่งข้อความไปกรมการถามกงสุล ได้คำตอบมาว่าให้แจ้งผลในแอป
หมอชนะ ค่ะ
" ในวันที่ 5 ท่านต้องรายงานผลตรวจผ่านช่องทางตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หรือ
Application หมอชนะค่ะ แนะนำให้ท่านสอบถามเพิ่มเติมไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขนะคะ 1422 หรือ
https://ddc.moph.go.th/contact.php "
ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเดินทางเข้าประเทศไทยค่ะ เราก็ผ่านการท่องเที่ยวต่างประเทศมาได้อย่างปลอดภัยค่ะ ไม่พบเชื้อ
โดยสรุปแล้ว
ถ้าไม่ติดตรงต้องจ่ายเงินและเดินทางไปตรวจ PCR ทั้งขาไปและขากลับต่างประเทศ (ของเราในตอนนั้น) เอกสารส่วนใหญ่สามารถทำออนไลน์บนมือถือได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่าย ก็ถือว่าสะดวกใช้ได้ค่ะ
เราไปที่ออสเตรเลีย ฝรั่งส่วนใหญ่ที่ Adelaide ถ้าอยู่กลางแจ้ง (ไม่ใช่ในห้าง) ก็ไม่ใส่หน้ากากกันเท่าไรค่ะ ประมาณ 70% ไม่ค่อยใส่กันค่ะ ตอนอยู่ที่นั้น เราก็ใส่หน้ากากค่ะ เวลาเดินถนน แต่เดินเยอะๆ เหนื่อย อยู่ในสวน ก็ถอดออกบ้างค่ะ พกสเปรย์แอลกอฮอล์ในกระเป๋า ล้างมือบ่อยๆ ค่ะ
สำหรับใครที่มีแผนอยากไปเที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ ที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายการเดินทางกันบ้างแล้ว ก็อย่าลืมตรวจสอบเอกสารที่ต้องใช้ของประเทศปลายทาง จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือนะคะ และอย่าลืมเช็ควันหมดอายุ Passport ด้วย ไม่ได้ใช้นาน ระวังใกล้หมดอายุนะคะ 5555
หวังว่ากระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศในช่วงเวลานี้ค่ะ
[CR] รีวิว การเดินทางไปต่างประเทศ (ออสเตรเลีย) และเดินทางกลับประเทศไทย ช่วงโควิด 2022
เมื่อรู้ว่าเราสามารถเดินทางเข้าประเทศออสเตรเลียได้ เราก็จัดแจงขอวีซ่าออสเตรเลียออนไลน์ และขอ Travel Exemption ซึ่งตอนนี้ (ตั้งแต่ 21 กพ. 22) ไม่ต้องแล้วนะคะ สำหรับผู้ที่มีวีซ่าและฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็ยื่นขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศออสเตรเลียได้เลยค่ะ
PART 1 : เดินทางออกจากประเทศไทย
เราขอวีซ่าออสเตรเลียออนไลน์ด้วยตัวเอง ช่วงกลางเดือนมกราคม ตอนนั้นยังต้องขอ Travel Exemption ด้วย ทำให้กระบวนการขอวีซ่าใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์กว่าค่ะ เราได้วีซ่าท่องเที่ยว Multiple entry 3 ปี ค่าใช้จ่าย 145 AUD (ตัดบัตร 3665.12 บาท)
เมื่อได้วีซ่าเข้าออสเตรเลียเรียบร้อยแล้ว เราถึงจองสายการบินค่ะ การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางด้วย Qantas Airways ซึ่งก่อนเช็คอินขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ นอกจาก Passport พนักงานจะตรวจเอกสาร 3 อย่างนี้ค่ะ
3 เอกสารต้องเตรียมก่อนเช็คอิน (นอกจาก Passport)
1. ผลตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมง ใบรับรองแพทย์ Fit-to-fly ก่อนออกจากประเทศไทย
เราตรวจ RT-PCR พร้อมได้ใบ fit-to-fly ที่ MedConsult Clinic แถวพร้อมพงษ์ ในราคา 1,500 บาท ก่อนเดินทาง 3 วัน (เดินทางวันที่ 16 ไปตรวจวันที่ 14 ตอนเช้า) เราเข้าไปตรวจก่อน 10 โมง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และได้ผลแลปตรวจ สามทุ่ม ในวันเดียวกับที่ตรวจเลย ซึ่งเค้าจะมี link ให้กรอกขอ fit-to-fly อันนี้เราปริ้นท์ผลแลป และใบ fit-to-fly ไปสนามบินด้วยค่ะ
2. ใบรับรองการฉีดวัคซีน International Vaccination Certification
อันนี้ขอจากแอปหมอพร้อม กรอกข้อมูล passport จากนั้นระบบจะส่งใบรับรองทางอีเมล รู้สึกจะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 3 วัน ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ อันนี้เราก็ปริ้นท์ไปด้วยค่ะ
3. Australia Digital Passenger Declaration (DPD)
ก่อนเข้าออสเตรเลีย ภายใน 72 ชั่วโมง เราต้องทำ DPD ที่เว็บ https://dpd.homeaffairs.gov.au/ เพื่อ submit ข้อมูลไฟล์ทบิน ข้อมูลวัคซีน ผลตรวจ COVID-19 และ ข้อมูลการติดต่อในออสเตรเลีย ต่างๆ จากนั้นเราก็จะได้รับอีเมลแจ้งผลมาเป็นรหัสในอีเมล ให้แคปหน้าจอตรงนั้นไว้ ยื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนเช็คอินค่ะ ตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
ทิป: เราตั้งอัลบั้มเก็บรูปภาพเอกสารเหล่านี้ทั้งหมดไว้ในมือถือค่ะ เวลาเปิดให้เจ้าหน้าที่ดูก็จะได้รวดเร็วขึ้นค่ะ เพราะได้ขอดูกันบ่อยค่ะ
PART 2: ก่อนเดินทางกลับไทย
ขั้นตอนที่ 1 จองโรมแรมผ่าน Agoda (เราทำตอนอยู่ไทย)
ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ 3 วัน เราทำการจองโรงแรม ในโครงการ Thailand Pass / Test&Go ต้องจองผ่าน Agoda เลือกค้นหาแบบเฉพาะโรงแรมที่ร่วม Thailand Pass เราพยายามหาโรงแรมในราคาที่ไม่เว่อร์วังมาก เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 3700 บาท สำหรับ 1 คืน ราคานี้รวม
- ค่าที่พัก 1 คืน
- ค่าอาหารเช้า 1 มื้อ
- ค่ารับส่งจากสนามบินไปที่โรงแรม
- ค่าตรวจ RT-PCR 1 ครั้ง
- ค่าชุดตรวจ ATK 1 ชุด
เมื่อทำการชำระเงินแล้ว ทาง Agoda ก็จะส่งอีเมลมาให้ เราก็กดรับใบที่ยืนยันการจอง ซึ่งเราจะนำใบนั้นมาทำการลงทะเบียน Thailand Pass กันค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 Thailand Pass | Test&Go (เราทำตอนอยู่ต่างประเทศ)
ก่อนกลับไทย 4 วัน (ควรทำก่อน 3-7 วันค่ะ) เราก็เข้าเว็บไซต์ https://tp.consular.go.th/ เพื่อลงทะเบียนทำ ThailandPass โดยเตรียมไฟล์รูปภาพ (.jpeg) เอกสารสำหรับคนไทย คือ
- รูปหน้า Passport
- ใบรับรองการฉีดวัคซีน International Vaccination Certification
- หลักฐานการจอง booking กับ Agoda (กดรับจากอีเมลคอมเฟิร์มจาก Agoda)
ของเราใช้เวลาประมาณ 1 วัน ขอกลางคืน ได้กลางคืนวันถัดไป (แต่คนในกลุ่มใช้เวลา 2 วันถึงจะได้ ลุ้นๆ กันไปค่ะ) แล้วจะได้รับอีเมลที่มี QR Code ส่งมา ให้เราก็แคปเจอร์หน้าจอไว้ ใช้ตอนที่เดินทางเข้าไทยค่ะ
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจ RT-PCR 72 ชม. ก่อนบินกลับไทย (ขั้นตอนนี้ ตั้งแต่ 1 เมษายน 2022 เดินทางเข้าไทยไม่ต้องมีผลตรวจ PCR แล้วนะคะ)
สำหรับการตรวจ PCR สำหรับเดินทาง ในเมือง Adelaide ที่คลินิก มีหลายที่เหมือนกันค่ะ ราคาอยู่ประมาณ 140-150 AUD (ประมาณ 3,532-3,785 บาท)
สิ่งที่ต้องดูในการเลือกคลินิกที่ตรวจคือ ระยะเวลารอผล ซึ่งบางคลินิกอาจใช้เวลามากกว่า 24 ชั่วโมง ดังนั้น เราต้องแน่ใจว่า เราตรวจไม่เกิน 72 ชม. ก่อนบินและการรอผลก็ไม่ควรเกิน 24-48 ชั่วโมง พอจองแล้วก็ต้องปริ้นท์ใบจองไปตรวจที่คลินิกค่ะ
เราเลือกตรวจที่ Clinical Labs ใกล้ๆ กับสนามบิน Adelaide ค่าใช้จ่าย 150 AUD ไม่ต้องไปต่อคิว Drive-Thru จะมีทางเข้าคลินิกตรวจเสียตังค์ต่างหาก รวดเร็ว 15 นาทีเสร็จ
PART 3 : เมื่อเดินทางกลับไทยจากออสเตรเลีย
ตอนเช็คอินที่สนามบิน Adelaide พนักงานสายการบินตรวจเช็คนานมากกก เค้าจะขอดูผล
- ผลตรวจ PCR
- Thailand Pass
- ใบรับรองการฉีดวัคซีน
ขอไปดูสองรอบ ตรวจแล้วตรวจอีก ทำให้ใช้เวลาค่อนข้างนาน (จับเวลาแล้วเฉลี่ยคิวละครึ่งชม.) ทำให้เรายืนต่อคิวกันเป็นชม.ๆ ขนาดเราที่เดินทางไปถึง 2 ชม. ก่อนบิน ก็ถูกเรียกเป็น final call จนได้ ดังนั้น การเดินทางในช่วงนี้ ต้องเผื่อเวลากันไว้ด้วยนะคะ นี่คือแถวตรวจเช็คกระเป๋า ก่อนเข้า Gate ยาวมากๆ ค่ะ
จากนั้นก็นั่งเครื่องไปต่อซิดนีย์ แล้วจากซิดนีย์บินยาวมากรุงเทพฯ 9 ชั่วโมง เราดู Harry Potter แบบ marathon ยาวๆ ไปเลยค่ะ ไม่ได้นอน
Part 4 : ลงเครื่องบินเมื่อถึงประเทศไทย
บนเครื่องบิน พนักงานจะแจกใบ ต.ม. และเอกสารเข้าไทยที่ต้องใส่ข้อมูลและเซ็นก่อน เราก็นั่งเขียนบนเครื่องเรียบร้อยค่ะ พอลงจากเครื่องบินก็เดินตามทางไปยังจุดเช็ค Thailand Pass เจ้าหน้าที่จะขอดูใบเอกสารนั้น Passport Thailand Pass และ ผลตรวจ PCR ที่เราตรวจก่อนเดินทางกลับไทยด้วยค่ะ เราตั้งอัลบั้มเก็บรูปภาพเอกสารเหล่านี้ทั้งหมดไว้ในมือถือค่ะ เวลาเปิดให้เจ้าหน้าที่ดูก็จะได้รวดเร็วขึ้นค่ะ
หลังจากนั้น ก็เป็นด่าน ตม. และออกมารับกระเป๋า พอรับกระเป๋า ผ่าน Custom ออกมาแล้ว เราจะเจอโต๊ะแปะป้ายชื่อโรงแรมต่างๆ ประมาณ 5 โต๊ะ ให้เราหาชื่อโรงแรมจากแต่ละโต๊ะ (จริงๆ อยากให้โรงแรมแจ้งเรามาเลยว่า ออกมาแล้วให้ไปที่โต๊ะเบอร์อะไร จะได้ไม่เสียเวลาหากันค่ะ)
เมื่อเจอเจ้าหน้าที่จากโรงแรม ก็แจ้งชื่อที่จอง ยื่น Passport และรอรถโรงแรมมารับ ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 35 นาทีค่ะ
เราได้นั่งเป็นรถตู้มีเฉพาะกลุ่มเรา 3 คน รถตู้ก็จะขับพาเราไปตรวจ PCR Test จากสนามบินไปจุดตรวจราวๆ 10 นาที นั่งรอตรวจอีกประมาณ 5-10 นาทีค่ะ คนขับรถแจ้งว่า ถือว่าเร็วค่ะ คนไม่เยอะ ปกติ บางทีเค้าบอกว่ารอนานกว่านี้ พอเราตรวจเสร็จก็ขึ้นรถไปยังโรงแรมทันทีค่ะ ถือว่าผ่านกระบวนการเข้าประเทศไทยอย่างเสร็จสมบูรณ์ เย้! .... อ่อ ยัง
ผลตรวจ PCR และ การทำ ATK ในวันที่ 5
หลังจากนอน โรงแรม 1 คืน ผลตรวจ PCR ของเราก็มาในวันรุ่งขึ้น พนักงานโทรแจ้งผล ประมาณ 11 โมง เกือบเที่ยง ค่ะ หลังจากนั้นก็ check-out ได้ค่ะ อ้อ! อย่าลืมทวง ATK จากโรงแรมนะคะ โรงแรมของเรา พอ check-out แล้ว ลืม ATK ทั้งลูกค้าและพนักงานค่ะ เรามานึกได้ตอนกำลังจะนั่งรถออกจากโรงแรม รีบวิ่งไปเอาอย่างไว 555
แล้ววันที่ 5 เราก็ตรวจ ATK ด้วยตัวเองค่ะ ตอนแรกงงๆ ว่าจะต้องส่งผลตรวจที่ไหน เพราะโรงแรมก็ไม่ได้บอกอะไรค่ะ เราก็เลยถ่ายรูปผลตรวจเก็บไว้ (เราถ่ายรูปหน้าตัวเองคู่กับผลตรวจไปค่ะ กลัวรัฐบาลไม่เชื่อ 555) จากนั้น ก็เลยส่งข้อความไปกรมการถามกงสุล ได้คำตอบมาว่าให้แจ้งผลในแอป หมอชนะ ค่ะ
" ในวันที่ 5 ท่านต้องรายงานผลตรวจผ่านช่องทางตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หรือ Application หมอชนะค่ะ แนะนำให้ท่านสอบถามเพิ่มเติมไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขนะคะ 1422 หรือ https://ddc.moph.go.th/contact.php "
ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเดินทางเข้าประเทศไทยค่ะ เราก็ผ่านการท่องเที่ยวต่างประเทศมาได้อย่างปลอดภัยค่ะ ไม่พบเชื้อ
โดยสรุปแล้ว
ถ้าไม่ติดตรงต้องจ่ายเงินและเดินทางไปตรวจ PCR ทั้งขาไปและขากลับต่างประเทศ (ของเราในตอนนั้น) เอกสารส่วนใหญ่สามารถทำออนไลน์บนมือถือได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่าย ก็ถือว่าสะดวกใช้ได้ค่ะ
เราไปที่ออสเตรเลีย ฝรั่งส่วนใหญ่ที่ Adelaide ถ้าอยู่กลางแจ้ง (ไม่ใช่ในห้าง) ก็ไม่ใส่หน้ากากกันเท่าไรค่ะ ประมาณ 70% ไม่ค่อยใส่กันค่ะ ตอนอยู่ที่นั้น เราก็ใส่หน้ากากค่ะ เวลาเดินถนน แต่เดินเยอะๆ เหนื่อย อยู่ในสวน ก็ถอดออกบ้างค่ะ พกสเปรย์แอลกอฮอล์ในกระเป๋า ล้างมือบ่อยๆ ค่ะ
สำหรับใครที่มีแผนอยากไปเที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ ที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายการเดินทางกันบ้างแล้ว ก็อย่าลืมตรวจสอบเอกสารที่ต้องใช้ของประเทศปลายทาง จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือนะคะ และอย่าลืมเช็ควันหมดอายุ Passport ด้วย ไม่ได้ใช้นาน ระวังใกล้หมดอายุนะคะ 5555
หวังว่ากระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศในช่วงเวลานี้ค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้