.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......กุหลาบแดง........@@ โดย ลุงแผน

กระทู้สนทนา









                     ขอบคุณ ภาพน่ารัก ๆ จาก อินเตอร์เน็ต ครับผม
 
    
 

                                                                                     ....... ( กุหลาบแดง ) .......
  
 

.........แทบทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง เมื่อเราเริ่มเข้าเขตชานเมือง ถ้าบังเอิญเป็นตอนกลางคืน เราจะเห็นร้านอาหารหลังคามุงแฝก โดดเด่นสะดุดตาด้วยไฟประดับระยิบระยับแพรวพราว ในขณะที่ข้างในร้านเปิดไฟหลากสีแค่ริบหรี่ มองเห็นลูกค้านั่งตามโต๊ะและเด็กเสิร์ฟเดินไปมาลาง ๆ 
 
        บรรยากาศในสวนอาหารชานเมือง มีความร่มรื่นเหมือนกับนั่งดื่มอยู่บ้านชายทุ่ง  หลายโต๊ะเป็นคนคุ้นเคย ซึ่งเจอหน้ากันบ่อยครั้งจนเหมือนเป็นเพื่อนสนิท ทั้งที่บางคนยังไม่รู้จักชื่อกัน  ส่วนสิ่งที่สร้างความเพลินเพลินให้กับนักดื่มจนถึงเวลาปิดร้านอย่างไม่รู้ตัวก็คือ นักร้องสาวที่ส่งเสียงใสแจ๋ว ท่าทางเย้ายวนท่ามกลางแสงสลัวบนเวที ทำให้เหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกเทหายไปในลำคอ คล้ายกับคนที่มานั่งดื่มต้องการลืมภาพร่างกลมเกลี้ยงที่บ้านของแต่ละคน 
 
          น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่ชื่อนั้นคือสวนอาหาร แต่มีอาหารให้ลูกค้าสั่งเพียงไม่กี่อย่าง รวมทั้งตัวลูกค้าเองก็ไม่สนใจจะกินอะไรเท่าไหร่ มีบ้างบางโต๊ะจะสั่งถั่วคั่ว ยำแหนม หรือต้มยำสักหม้อพอเป็นพิธี  ส่วนใหญ่แต่ละคนพอนั่งปุ๊บจะสั่งเด็กปั๊บทันที
 
          “เหล้าแบน โซดาสอง น้ำหนึ่ง น้ำแข็งหนึ่ง”
 
          แล้วก็พากันจ้องขึ้นไปบนเวทีอย่างไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว ส่วนเด็กเสิร์ฟเมื่อจดรายการเครื่องดื่มเสร็จ ก็มองหน้าลูกค้ารอรายการอาหาร เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงมั่นใจว่าลูกค้าไม่อยากกินอะไรอย่างอื่นแน่  เด็กเสิร์ฟจึงเดินอมยิ้มกลับไปเตรียมเครื่องดื่มด้านใน
 
          การตกแต่งสวนอาหารทั่วไปจะมีรูปแบบคล้าย ๆ กัน ต่างกันนิดหน่อยตรงการมุงหญ้าคา จะเป็นซุ้มใครซุ้มมัน แยกเป็นหนึ่งซุ้มสำหรับโต๊ะหนึ่งชุด หรือจะทำเป็นหลังคายาวไป แล้วตั้งโต๊ะเรียงห่าง ๆ กัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของแต่ละร้านว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าร้านไหนอยู่นอกเมืองไปเลยจะได้เปรียบมากหน่อย เพราะกว้างขวางทั้งที่จอดรถและที่วางโต๊ะ ส่วนเวทีดนตรีนั้นส่วนใหญ่จะยกพื้นสูงแค่อก มีม่านขึงด้านหลังเป็นฉากและมีอิเล็กโทนตั้งอยู่ตรงกลางค่อนไปด้านหลังพร้อมจอคอม สำหรับเรียงอันดับทำนองเพลงของนักร้องแต่ละคน ซึ่งโดยทั่วไปนักดนตรีไม่ค่อยได้เล่นดนตรีสด ๆ จะใช้ทำนองที่มีอยู่ในคอม เปิดประกอบเสียงร้อง เพราะคอเพลงที่มาที่นี่ไม่เน้นเสียงดนตรีมากนัก รวมทั้งกระถางต้นไม้ที่เรียงประดับไว้รอบเวที ก็ไม่มีใครได้มอง บางคนมานั่งทุกวันติดกันเป็นปี ยังไม่รู้เลยว่าหน้าเวทีเขามีกระถางต้นอะไร
 
          “เชิงชาย”  หนุ่มไม่โสด วัยยี่สิบห้าปี กับ “ชายชล”  เพื่อนเกลอวัยเดียวกันแต่ยังโสด ทำงานร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เดียวกัน เป็นขาประจำยามค่ำคืนของสวนอาหาร  “ลุงอิน”  มาตั้งแต่ร้านเริ่มก่อตั้งขึ้นใหม่ ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าร้านนี้อยู่ไกลออกมานอกเมืองและไกลหูไกลตาภรรยาของเชิงชาย อีกอย่าง คือนักร้องสาวที่นี่ สาวจริง ๆ ไม่ใช่สาวด้วยแสงไฟเรือง ๆ อย่างบางคนที่ติดอกติดใจถึงกับตามไปถึงหอพักในตอนกลางวัน แต่พอเปิดประตูมาจำหน้ากันไม่ได้ก็มี  ที่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น  อายุนักร้องอย่างมากก็ยี่สิบสอง และลุงอินเจ้าของร้าน ที่เด็กในร้านเรียกป๋าอินจนติดปาก จะคัดตัวคนที่มาสมัครด้วยตัวเอง จึงมั่นใจเรื่องรูปร่างหน้าตาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีบางคนร้องเพลงเสียงเหมือนเป็ดออกไข่ ลูกค้าทุกคนก็พร้อมใจกันให้อภัยเธอ
 
          พื้นที่ด้านหลังซึ่งติดกับสวนอาหารลุงอินนี้ ถ้ามองในตอนกลางวัน จะเป็นทุ่งนากว้างสุดตา ทุ่งข้าวจะมองเขียวขจีในหน้าฝน และเห็นเป็นทุ่งสีทองผืนมหึมาเมื่อใกล้เก็บเกี่ยว  แต่ในยามค่ำคืน จะรับรู้ได้จากลมทุ่ง ซึ่งพากลิ่นดินโคลนเคล้ากลิ่นฟางโชยมาจาง ๆ เมื่อผสมกับเสียงดนตรีซึ่งดังแผ่วอยู่รอบตัว และกลิ่นเครื่องยำลอยมาจากในครัว จึงทำให้น้ำสีทองในแก้ว มีรสชาติซาบซ่ากว่าที่เคยเป็น
 
          คืนนี้ก็เหมือนเดิม เมื่อถึงเวลาสองทุ่มตรง สองหนุ่มก็พากันมาที่ร้านอย่างเคย ขณะพนักงานทยอยยกเครื่องดื่มมา เขาทั้งสองก็คุยกันเบา ๆ สองสามคำ แล้วพากันมองไปทางเวที ดูลีลานักร้องสาวที่ร้องเพลงยักย้ายส่ายเอว พร้อมกับโปรยยิ้มกระชากใจไปทุกโต๊ะที่พากันจ้องเธอไม่วางตา 
 
           “คืนนี้มีนักร้องใหม่ด้วยนะพี่ชาย”
 
          เสียงน้องเจี๊ยบเด็กเสิร์ฟสาวซึ่งคุ้นเคยกับทั้งสองมากกว่าเด็กคนอื่นในร้าน พูดแทรกเสียงกระหึ่มของเพลงที่ดังก้อง ทำทั้งคู่หันมองเธอพร้อมกัน ทั้งคำว่านักร้องใหม่ และทั้งที่เขาชื่อชายเหมือนกัน
 
          “ชายไหนบอกด้วยสิเจี๊ยบ เรียกชาย พี่ก็ไม่รู้ว่าเรียกใคร”
 
          เชิงชายแกล้งว่าหยอก ๆ ด้วยความคุ้นเคยกับน้องเจี๊ยบ สาวเสิร์ฟแม่หม้ายลูกติดวัยสิบเก้าปี ขณะเธอส่งแก้วให้เขาและยกแก้วต่อไปส่งให้ชายชล   
 
          “ก็สองคนนั่นละพี่  ตอนกลางวันป๋ารับนักร้องไว้คน ชื่อมดแดง”
 
          น้องเจี๊ยบยืนอมยิ้มแก้มป่องเมื่อเห็นสองชายถือแก้วค้างขณะจ้องหน้าเธอ
 
          “ชื่อมดแดงซะด้วย น่าจะกัดเจ็บ อายุเท่าไรเจี๊ยบ”
 
          “สิบเจ็ด”
 
          หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ กลับมาเมื่อเห็นท่าทางสนใจออกหน้าออกตาของพี่ชายทั้งสองคน ก่อนเขาทั้งคู่จะกลืนน้ำลายให้กับหนทางทอดยาว ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างตารางกับความฝันเข้าด้วยกัน
 
          “หน้าอย่างกับเด็กญี่ปุ่นเลยนะพี่ หนูเป็นผู้หญิงด้วยกันหนูยังชอบเลย เดี๋ยวออกมาพี่ก็เห็น”
 
          สองชายมองหน้ากัน ก่อนชายชลจะกลืนน้ำลายอีกทีแล้วเอ่ยถามออกมา
 
          “ออกคิวไหนเจี๊ยบ พี่จะได้เตรียมมาลัย”
 
          นักร้องและเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่มีเงินเดือน จะมีบ้างบางแห่งให้เป็นรายวัน วันละแปดสิบถึงหนึ่งร้อยไม่เกินกว่านั้น รายได้ของเด็กเสิร์ฟจึงอยู่ที่ทิปจากลูกค้าเป็นหลัก ส่วนนักร้อง จะได้จากพวงมาลัย ซึ่งทุกร้านจะเตรียมริบบิ้นสีแดงมั่ง สีฟ้ามั่ง เขียวมั่ง ทำเป็นห่วงขนาดเหรียญห้าบาทแล้วร้อยต่อกันเป็นพวงขนาดคล้องคอแล้วยาวมาถึงเอว ห้อยไว้ใกล้ ๆ เวทีเป็นกลุ่มใหญ่ ใครถูกใจนักร้องคนไหนก็ให้เด็กเสิร์ฟนำไปคล้องให้ หรือจะไปคล้องเองก็ไม่ผิดกติกา ค่าพวงมาลัยทางร้านจะแบ่งให้นักร้องครึ่งหนึ่ง ส่วนแขกคนไหนจะโชว์พราว ติดแบงก์ร้อยแบงก์ยี่สิบไปด้วย เวลาคล้องก็จะเรียกเสียงฮือฮาจากนักร้องคนอื่น  พร้อมกับเสียงปรบมืออย่างชอบใจของพรรคพวกที่โต๊ะตัวเอง สร้างบรรยากาศครื้นเครง และเป็นการเพิ่มกำลังใจให้เด็กในร้านเป็นอย่างดี
 
          “คืนนี้ต่อพี่อุ้ม เสียงดีด้วยนะพี่ ไม่เชื่อพี่ลองฟัง”
 
          น้องเจี๊ยบพูดจบจึงเดินไปดูแลแขกโต๊ะอื่น ขณะสองหนุ่มยกแก้วดื่มพลางคำนวณเงินในกระเป๋าในใจ ว่าจ่ายค่าเหล้าแล้วจะเหลือเท่าไรที่จะซื้อมาลัยพวงละยี่สิบ ส่วนเรื่องกับแกล้มคงต้องชะลอไว้ก่อน เพราะถ้าน้องมดแดงน่ารักอย่างที่เจี๊ยบบอกมาจริง ๆ  เขาต้องคล้องสักสิบพวง จึงจะกล้าชวนมานั่งคุย
 
          เด็กเสิร์ฟสาวเดินกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นแก้วของทั้งคู่ว่างเปล่า พร้อมกับยกแก้วไปบนชั้นวางก่อนคีบน้ำแข็งใส่แก้วละสองก้อน รินเหล้าใส่แก้วละหนึ่งฝาแล้วเติมน้ำเติมโซดาตามส่วน ก่อนใช้ที่คีบน้ำแข็งคนจนเป็นพรายฟองทั่วแก้วแล้วยกกลับมาวางตรงหน้าทั้งสอง ขณะเสียงเพลงสาวนาสั่งแฟนดังเจื้อยแจ้วเคล้าเสียงดนตรี เชิงชายมองนักร้องสาววัยยี่สิบสองที่ชื่ออุ้มในชุดกระโปรงสั้นเสื้อเกาะอกติดเพชรวิบวับบนเวที ก่อนหันมาทางน้องเจี๊ยบแล้วเอ่ยออกไป
 
          “อ้าว ไหนว่าไอ้อุ้มเสี่ยเอาไปเลี้ยงแล้วไงเจี๊ยบ”
 
          หญิงสาวมองบนเวทีขณะนักร้องหุ่นนางแบบร้องเพลงไป แล้วย่อตัวรับพวงมาลัยหน้าเวทีเป็นระยะ หลังจากเธอร้องได้แค่ครึ่งเพลง พวงมาลัยบนคอก็มีเกือบยี่สิบพวง
 
          “เสี่ยเก๊น่ะสิพี่ ไปได้สามวันเมียเขาตามไปอาละวาดหอแทบพัง หนูก็ว่าแล้ว บอกรวยนักรวยหนาลูกเมียไม่มี แต่พาพี่อุ้มไปเช่าหออยู่  ป้าลัยแม่ครัวก็เคยเตือนนะ แต่พี่อุ้มไม่เชื่อ หาว่าป้าลัยจะกันไว้กินเอง”
 
          หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา เพราะเธอเห็นวิถีชีวิตของคนกลางคืนจนชิน เห็นนักร้องโดนหลอกมาก็มาก  ส่วนแขกอายุมาก ๆ โดนนักร้องหลอกก็มีไม่น้อย แขกบางคนมานั่งเป็นปี หมดค่ามาลัยไปหลายพัน แค่หลังมือนักร้องไม่เคยได้แตะสักครั้งเดียว
 
          แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวอย่างนี้ก็ยังมีให้ได้ยินอยู่ตลอด นักร้องสาวหลอกคนแก่ให้หลง ทุ่มให้ไม่อั้นเท่าไรเท่ากันเพื่อต้องการบางอย่าง เหมือนกับคนทั่วไปหวังกับผู้หญิงกลางคืน ส่วนนักร้อง เมื่อเห็นว่าเริ่มล้ำเส้นเข้ามามาก ก็ถอยห่างออกมา ปล่อยคนแก่ให้คนอื่นรับช่วงต่อไป ตัวเองก็เอาเงินที่ได้ไปปรนเปรอผัวเด็กที่เลี้ยงไว้  พอผ่านไปไม่เท่าไร ข่าวผัวเด็กของเธอหนีตามนักเรียนหญิง ม. ต้น ก็ดังไปทั้งร้าน วนไปอย่างนี้คนแล้วคนเล่านับครั้งไม่ถ้วน จนมีเรื่องให้คุยกันทั้งปี
 
          หญิงสาวชงเหล้าให้ทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนเดินไปดูโต๊ะอื่น ส่วนสองหนุ่มถือแก้วค้างไว้ขณะมองนักร้องชื่ออุ้มโชว์น้ำเสียงในเพลงที่สอง“น้ำตาจระเข้” ของ คัฑลียา มารศรี ด้วยน้ำเสียงและลีลาที่ออดอ้อน จึงเรียกเสียงปรบมือทั่วร้านเมื่อเธอร้องจบและโปรยยิ้มทั่วร้านก่อนเดินเข้าหลังเวทีไป
 
          สองหนุ่มยกแก้วขึ้นดื่มขณะคิดในใจต่างกัน  ประสาคนหนึ่งที่เมียเผลอ กับอีกคนหนึ่ง ที่ยังไม่มีใคร แต่ความคิดของทั้งสองคนคล้ายกันตรงที่ว่า ถ้ามีนักร้องสาวเสียงหวาน ๆ มานั่งออเซาะอยู่ข้าง ๆ  สักคน คงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น 
 
        เสียงดนตรีขึ้นเพลง “เทพธิดาดอย”   ด้วยทำนองอ้อยสร้อยแผ่วมา ทำทั้งสองถือแก้วค้างไว้ในมือ และมองไปยังทางออกของนักร้องข้างม่าน หลังที่นั่งนักดนตรีตาไม่กะพริบ พลางคิดในใจว่า นี่คือเพลงของนักร้องรุ่นใหญ่  แต่น้องเจี๊ยบบอกว่า ต่อจากอุ้ม เป็นน้องมดแดง นักร้องน้องใหม่วัยสิบเจ็ด สิ่งที่ได้ยินอยู่กำลังค้านกับสิ่งที่ได้ฟังมาเมื่อกี้ เขาจึงเพ่งมองอย่างตั้งใจ กระทั่งเสียงร้องใสแจ๋วเหมือนต้นฉบับดังขึ้น และร่างเล็กกะทัดรัดของหญิงสาวผิวขาวผ่องเดินออกมา ทั้งคู่จึงแทบกลั้นหายใจ และจ้องเธอด้วยอาการตัวชาทั้งตัว จนแก้วแทบร่วงจากมือ...
 
 
 
        ( มีต่อครับ )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่