เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น
ตั้งแต่พ่อผมยังเด็ก อาจดูเหลือเชื่อบ้าง แต่ผมก็ชอบให้พ่อเล่าให้ฟังจนจำได้ค่อนข้างแม่น
ฟังดู อ่านดู พอให้เป็นความ
บันเทิง ก็แล้วกันนะครับ
ปู่เว้ เป็นชื่อของชายชรา
ประชากรแห่งบ้านว่าน
ซึ่งเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งของ
จังหวัดทางภาคอิสาน
แกเป็นคนเก่ง นอกจากขยันทำงานแล้ว แกยังมีอาชีพเสริมด้วยการถักแห
ถักข่ายดักปลา สานกระบุง
ตะกร้า สุ่มไก่ สุ่มปลา ไซ
จู้ ตะข้อง เรียกว่าอุปกรณ์ดักปลา ใส่ปลา แกแทบจะทำได้หมด แม้ว่าตัวแกจะไม่นิยมการหาปูหาปลาเลยก็
ตาม ซึ่งค่อนข้างจะผิดวิสัย
จากประชากรทางแถบนั้น
ปู่เว้ชอบเข้าวัด ฟังธรรม
ถือศีลทุกวันพระ และที่สำคัญคือ แกเป็นคนโสด
ในสมัยนั้น พ่อเล่าว่า
หาคนอยู่โสดจนแก่เฒ่าได้
น้อยมากๆ
อาจเพราะแกไม่มีลูกคอย
กวนตัวเมียคอยกวนใจนี่ก็ได้ ทำให้แกสุขภาพจิตดี
ใจดีมากๆ สมัยก่อนไม่ได้มี
การแสดง โขน หนัง ลิเก
อะไรให้ดูบ่อยนัก ค่ำมามืดมาก็เข้าบ้านนอนกันอย่างเดียว ดังนั้นช่วงหัวค่ำบ้าน
ของปู่เว้จึงคึกคักไปด้วย
เด็กและหนุ่มวัยรุ่น
ช่วยแกตำข้าวบ้าง ฝัดข้าว
บ้าง แกะข้าวโพดบ้าง แลกกับการฟังนิทาน และเพลงแคน
พ่อเล่าว่าปู่เป่าแคนได้เพราะมาก เวลาเพลงสนุกก็อดใจไม่ไหวถึงกับต้องลุกขึ้นฟ้อน พอเพลงเศร้าก็น้ำตาร่วงโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เป็นแค่ดนตรีไม่มีเนื้อร้อง
พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบไป
ขลุกอยู่ที่บ้านปู่เว้
ได้ฟังนิทานและจดจำเอามาเล่าให้พวกผมได้ฟังเป็น
รุ่นต่อๆมา บางเรื่องก็เล่า
ต่อได้ บางเรื่องก็ฟังเอาฮา
เพราะ18++++
ฝีมือการเป่าแคนของปู่เว้นี้
ฉกาจฉกรรจ์จน แกได้รับ
การติดต่อให้ไปเป่าแคนโชว์ในการเลี้ยงต้อนรับนาย
อำเภอบ้านว่านถึงสองครั้ง
ซึ่งกลายเป็นความภูมิใจของชาวบ้านว่านเป็นอันมาก
ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ปีไหน
อากาศหนาวเย็นปู่นอนไม่หลับแกก็จะลุกมาก่อไฟผิง
และบรรเลงเพลงแคนเศร้าๆให้ลอยไปตามสายลมหนาว พ่อเล่าว่า
เพราะก็เพราะ หนาวก็หนาว
อยากฟังก็อยากฟัง เศร้าก็เศร้า บางทีต้องลุกมาก่อไฟผิง นั่งฟังไปน้ำตาร่วงไป
(ควันเข้าตา)
จนหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวปีหนึ่ง ตอนนั้นปู่อายุได้68ปีแล้ว
เช้าวันนั้นปู่ก็เดินไปหาย่า
(แม่ของพ่อผม)ที่บ้านแล้วก็
บอกกับย่าว่า
ปู่ฝันว่ามีเทวดามาชวนให้ไปเป่าแคนให้ฟังบนสวรรค์
และปู่รับปากว่าจะไป
"เมื่อไหร่"
พ่อบอกว่าย่าตกใจมากถึงกับดุปู่เสียงดัง
"อีกสามวัน เขาจะมารับ
ไม่ต้องตกใจหรอก เขาพาไปแค่สองคืนแล้วก็จะพามาส่ง ถ้าอ้ายหลับไม่ตื่นก็เอาผ้าคลุมไว้เด้อ อย่าเอาไปวัดนะ ไม่งั้นจะตายจริง
วันที่สามอ้ายก็ตื่นขึ้นมาเอง
ดอก อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ เดี๋ยวจะลือกันไปใหญ่"
แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ย่าก็สั่งให้พ่อกับอาไปนอนบ้านปู่เพื่อคอยช่วยดูแลและพิสูจน์(กลัวพลาด
ช็อตสำคัญ)
พ่อเล่าว่าปู่ทำตัวปกติทุกอย่าง หุงข้าวให้หลานกิน
เล่านิทานให้ฟังและแถมด้วยการเป่าแคน ปกติปู่จะไม่เป่าบ่อย เพราะระยะหลัง
แกอายุเยอะก็จะเหนื่อย
โดยปู่บอกว่า
"เผื่อไปแล้วไม่ได้กลับมา
จะได้จำเสียงแคนปู่ไว้ ไม่ลืมกัน"
และในวันที่สามนั้นเอง
ปู่ที่เคยตื่นแต่เช้า ก็นอนนิ่งไม่ไหวติง จนพ่อกับอาได้วิ่งโร่ไปตามย่า
แม้ย่าจะร้องไห้ แต่ก็เชื่อในคำสั่งเสียของปู่ ดังนั้นญาติพี่น้องที่สนิทจึงพากันย้ายไปนอนบ้านปู่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ โดยตกลงกันว่า ถ้าสามคืนแล้วปู่ไม่ฟื้น
ก็จะพากันย้ายร่างไปวัด
พ่อเล่าว่าในช่วงนั้นพ่อเข้าๆ
ออกๆห้องปู่อยู่ทั้งวัน เพราะ
อยากให้ปู่ลืมตามาเจอเป็น
คนแรก ผมถามพ่อว่า
แล้วไม่กลัวผีหรือ พ่อก็ได้แต่หัวเราะ
และในวันที่สามนั้นเอง ปู่ก็ฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า
แกลืมตามองทุกคนแล้วก็น้ำตาไหล ก่อนจะบอกว่า
เขาไม่ให้แกกลับ แต่แกอยากมาลา แกยกไหใส่เงินให้ย่า(ป้าที่เลี้ยงแกมา)
ยกบ้านให้ย่าของผม
ยกที่นาให้พี่น้องแบ่งกันเอา
ก่อนจะเรียกพ่อผมเข้าไปหา แล้วยกสร้อยพระที่คอให้ โดยหนึ่งในนั้นเป็นพระ
สีเขียวรูปร่างเหมือนพระแก้วมรกตทรงฤดูร้อน ทุกวันนี้พระองค์นั้นอยู่กับพี่ชายผม พอจัดการมรดกเสร็จแกก็ออกไปวัด เอาปัจจัยไปถวายพระ
ค่ำนั้นปู่กินข้าวเยอะ เล่านิทานหลายเรื่อง แต่ไม่เป่าแคน พอน้ำค้างลงแกก็บอกให้พ่อกลับไปนอนบ้าน โดยแกเดินไปส่ง พ่อบอกว่าแก
สั่งเสียหลายอย่าง ลูบหัวพ่อแทบตลอดด้วย และที่พ่อจำได้ขึ้นใจคือแกสั่งว่า
แกอยู่ที่ไหนให้เอาแคนไว้ที่นั่น
และนั่นเป็นคืนสุดท้ายที่พ่อกับปู่ได้คุยกัน
เพราะรุ่งเช้าปู่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
คราวนี้พวกเขาพากันเอาปู่ไปวัด และต่อโลงใส่ปู่โดยใส่แคนลงไปด้วยตามคำที่ปู่สั่งพ่อไว้
แต่กระนั้นย่าก็จัดงานศพให้ปู่อยู่ถึงเจ็ดวัน คงแอบรอ
เผื่อปู่ฟื้นด้วยละ แต่แค่ครั้งเดียวก็ปาฏิหาริย์พอแล้ว
ปู่ก็เลยกลายเป็นตำนาน
ขุนแคนเทวดาของตระกูล
ผมมาจนทุกวันนี้แหละครับ
......... ..........
ต้องขอโทษด้วยนะครับที่จบห้วนไปหน่อย แต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตา แต่ถึงอย่างไรไปกับเทวดาก็น่าจะดีกว่าไปกะยมทูตละนะ
แต่....ส่วนตัวผมก็ว่าอยู่
บนโลกอันยุ่งเหยิงต่อไปน่าจะดีกว่านะครับ หรือใครว่า
ยังไง
ปรารถนา
ตั้งแต่พ่อผมยังเด็ก อาจดูเหลือเชื่อบ้าง แต่ผมก็ชอบให้พ่อเล่าให้ฟังจนจำได้ค่อนข้างแม่น
ฟังดู อ่านดู พอให้เป็นความ
บันเทิง ก็แล้วกันนะครับ
ปู่เว้ เป็นชื่อของชายชรา
ประชากรแห่งบ้านว่าน
ซึ่งเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งของ
จังหวัดทางภาคอิสาน
แกเป็นคนเก่ง นอกจากขยันทำงานแล้ว แกยังมีอาชีพเสริมด้วยการถักแห
ถักข่ายดักปลา สานกระบุง
ตะกร้า สุ่มไก่ สุ่มปลา ไซ
จู้ ตะข้อง เรียกว่าอุปกรณ์ดักปลา ใส่ปลา แกแทบจะทำได้หมด แม้ว่าตัวแกจะไม่นิยมการหาปูหาปลาเลยก็
ตาม ซึ่งค่อนข้างจะผิดวิสัย
จากประชากรทางแถบนั้น
ปู่เว้ชอบเข้าวัด ฟังธรรม
ถือศีลทุกวันพระ และที่สำคัญคือ แกเป็นคนโสด
ในสมัยนั้น พ่อเล่าว่า
หาคนอยู่โสดจนแก่เฒ่าได้
น้อยมากๆ
อาจเพราะแกไม่มีลูกคอย
กวนตัวเมียคอยกวนใจนี่ก็ได้ ทำให้แกสุขภาพจิตดี
ใจดีมากๆ สมัยก่อนไม่ได้มี
การแสดง โขน หนัง ลิเก
อะไรให้ดูบ่อยนัก ค่ำมามืดมาก็เข้าบ้านนอนกันอย่างเดียว ดังนั้นช่วงหัวค่ำบ้าน
ของปู่เว้จึงคึกคักไปด้วย
เด็กและหนุ่มวัยรุ่น
ช่วยแกตำข้าวบ้าง ฝัดข้าว
บ้าง แกะข้าวโพดบ้าง แลกกับการฟังนิทาน และเพลงแคน
พ่อเล่าว่าปู่เป่าแคนได้เพราะมาก เวลาเพลงสนุกก็อดใจไม่ไหวถึงกับต้องลุกขึ้นฟ้อน พอเพลงเศร้าก็น้ำตาร่วงโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เป็นแค่ดนตรีไม่มีเนื้อร้อง
พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบไป
ขลุกอยู่ที่บ้านปู่เว้
ได้ฟังนิทานและจดจำเอามาเล่าให้พวกผมได้ฟังเป็น
รุ่นต่อๆมา บางเรื่องก็เล่า
ต่อได้ บางเรื่องก็ฟังเอาฮา
เพราะ18++++
ฝีมือการเป่าแคนของปู่เว้นี้
ฉกาจฉกรรจ์จน แกได้รับ
การติดต่อให้ไปเป่าแคนโชว์ในการเลี้ยงต้อนรับนาย
อำเภอบ้านว่านถึงสองครั้ง
ซึ่งกลายเป็นความภูมิใจของชาวบ้านว่านเป็นอันมาก
ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ปีไหน
อากาศหนาวเย็นปู่นอนไม่หลับแกก็จะลุกมาก่อไฟผิง
และบรรเลงเพลงแคนเศร้าๆให้ลอยไปตามสายลมหนาว พ่อเล่าว่า
เพราะก็เพราะ หนาวก็หนาว
อยากฟังก็อยากฟัง เศร้าก็เศร้า บางทีต้องลุกมาก่อไฟผิง นั่งฟังไปน้ำตาร่วงไป
(ควันเข้าตา)
จนหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวปีหนึ่ง ตอนนั้นปู่อายุได้68ปีแล้ว
เช้าวันนั้นปู่ก็เดินไปหาย่า
(แม่ของพ่อผม)ที่บ้านแล้วก็
บอกกับย่าว่า
ปู่ฝันว่ามีเทวดามาชวนให้ไปเป่าแคนให้ฟังบนสวรรค์
และปู่รับปากว่าจะไป
"เมื่อไหร่"
พ่อบอกว่าย่าตกใจมากถึงกับดุปู่เสียงดัง
"อีกสามวัน เขาจะมารับ
ไม่ต้องตกใจหรอก เขาพาไปแค่สองคืนแล้วก็จะพามาส่ง ถ้าอ้ายหลับไม่ตื่นก็เอาผ้าคลุมไว้เด้อ อย่าเอาไปวัดนะ ไม่งั้นจะตายจริง
วันที่สามอ้ายก็ตื่นขึ้นมาเอง
ดอก อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ เดี๋ยวจะลือกันไปใหญ่"
แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ย่าก็สั่งให้พ่อกับอาไปนอนบ้านปู่เพื่อคอยช่วยดูแลและพิสูจน์(กลัวพลาด
ช็อตสำคัญ)
พ่อเล่าว่าปู่ทำตัวปกติทุกอย่าง หุงข้าวให้หลานกิน
เล่านิทานให้ฟังและแถมด้วยการเป่าแคน ปกติปู่จะไม่เป่าบ่อย เพราะระยะหลัง
แกอายุเยอะก็จะเหนื่อย
โดยปู่บอกว่า
"เผื่อไปแล้วไม่ได้กลับมา
จะได้จำเสียงแคนปู่ไว้ ไม่ลืมกัน"
และในวันที่สามนั้นเอง
ปู่ที่เคยตื่นแต่เช้า ก็นอนนิ่งไม่ไหวติง จนพ่อกับอาได้วิ่งโร่ไปตามย่า
แม้ย่าจะร้องไห้ แต่ก็เชื่อในคำสั่งเสียของปู่ ดังนั้นญาติพี่น้องที่สนิทจึงพากันย้ายไปนอนบ้านปู่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ โดยตกลงกันว่า ถ้าสามคืนแล้วปู่ไม่ฟื้น
ก็จะพากันย้ายร่างไปวัด
พ่อเล่าว่าในช่วงนั้นพ่อเข้าๆ
ออกๆห้องปู่อยู่ทั้งวัน เพราะ
อยากให้ปู่ลืมตามาเจอเป็น
คนแรก ผมถามพ่อว่า
แล้วไม่กลัวผีหรือ พ่อก็ได้แต่หัวเราะ
และในวันที่สามนั้นเอง ปู่ก็ฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า
แกลืมตามองทุกคนแล้วก็น้ำตาไหล ก่อนจะบอกว่า
เขาไม่ให้แกกลับ แต่แกอยากมาลา แกยกไหใส่เงินให้ย่า(ป้าที่เลี้ยงแกมา)
ยกบ้านให้ย่าของผม
ยกที่นาให้พี่น้องแบ่งกันเอา
ก่อนจะเรียกพ่อผมเข้าไปหา แล้วยกสร้อยพระที่คอให้ โดยหนึ่งในนั้นเป็นพระ
สีเขียวรูปร่างเหมือนพระแก้วมรกตทรงฤดูร้อน ทุกวันนี้พระองค์นั้นอยู่กับพี่ชายผม พอจัดการมรดกเสร็จแกก็ออกไปวัด เอาปัจจัยไปถวายพระ
ค่ำนั้นปู่กินข้าวเยอะ เล่านิทานหลายเรื่อง แต่ไม่เป่าแคน พอน้ำค้างลงแกก็บอกให้พ่อกลับไปนอนบ้าน โดยแกเดินไปส่ง พ่อบอกว่าแก
สั่งเสียหลายอย่าง ลูบหัวพ่อแทบตลอดด้วย และที่พ่อจำได้ขึ้นใจคือแกสั่งว่า
แกอยู่ที่ไหนให้เอาแคนไว้ที่นั่น
และนั่นเป็นคืนสุดท้ายที่พ่อกับปู่ได้คุยกัน
เพราะรุ่งเช้าปู่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
คราวนี้พวกเขาพากันเอาปู่ไปวัด และต่อโลงใส่ปู่โดยใส่แคนลงไปด้วยตามคำที่ปู่สั่งพ่อไว้
แต่กระนั้นย่าก็จัดงานศพให้ปู่อยู่ถึงเจ็ดวัน คงแอบรอ
เผื่อปู่ฟื้นด้วยละ แต่แค่ครั้งเดียวก็ปาฏิหาริย์พอแล้ว
ปู่ก็เลยกลายเป็นตำนาน
ขุนแคนเทวดาของตระกูล
ผมมาจนทุกวันนี้แหละครับ
......... ..........
ต้องขอโทษด้วยนะครับที่จบห้วนไปหน่อย แต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตา แต่ถึงอย่างไรไปกับเทวดาก็น่าจะดีกว่าไปกะยมทูตละนะ
แต่....ส่วนตัวผมก็ว่าอยู่
บนโลกอันยุ่งเหยิงต่อไปน่าจะดีกว่านะครับ หรือใครว่า
ยังไง