สืบเนื่องจากกระทู้ล่าสุดครับ ผมได้รับคอมเมนท์มาเยอะมากว่า สิ่งที่ทำเป็นเเค่อุปจารสมาธิเฉยๆ ยังไมไ่ด้ถึงฌาน ซึ่งผมก็รับความเห็นไว้เเละก็ไล่ดูเเต่ละคอมเมนท์ว่าอะไรต้องปรับเเละเเก้ไขบ้างครับ หลังจากนั้นหลายสัปดาห์ก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม อ่านหนังสือเพิ่มเเละก็ใช้ลมหายใจในการทำสมาธิ ช่วงเเรกที่กลับไปซ้อมใหม่จะติดปัญหาอยู่สองอย่าง คือ 1.ตั้งใจดูลมหายใจมากไป = เครียดไม่สงบ 2.ตั้งใจน้อยเกินไป = ง่วงเเละหลับ
เมื่อเกิดเหตุการณ์เเบบนี้ผมจึงใช้การบริกรรมเข้ามาช่วยเเทนที่จะดูลมหายใจเเบบตรงๆ พอมีบริกรรมช่วยปรากฏว่านิมิตที่เป็นนิมิตเเสง เพราะเกิดจากลมหายใจละเอียด มันสว่างมากๆๆ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่นี้ครั้งก่อนผมไม่รู้จะไปก่อนอย่างไร เพราะมันสว่างเเบบนี้เเต่ไม่คงที่ เเต่ครั้งนี้พอมีบริกรรมช่วยก็ทำให้นิมิตเข้าสว่างจนคงที่ พอนิมิตตรงนี้สว่าฝจ้าจนไม่ไหวเเล้ว จิตจะเข้าไปจับกับนิมิตเเทน ที่นี้จุดอัศจรรย์ใจก็จะเกิดขึ้น คือ เหมือนกับว่าอะไรต่างๆมันหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกันมากๆครับ ผมพูดไม่ถูก เเต่มันกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนมีคนอยู่ 5 คนมาทำงานโปรเจคเดียวกัน ซึ่งเเต่ละคนลงเเรงเท่าๆกัน ไม่มีใครเกี่ยงกันทำงาน ผมขอเปรียบประมาณนี้ มันพูดยากมากๆครับ ขอให้ใช้วิจารณญาณ
ตอนถอนออกจากสมาธิเเล้ว ลองทบทวนดูคิดว่าอยู่ในสภาวะนี้ไม่นานประมาณ 10 นาทีเท่านั้น เเต่ภาวะที่อยู่ในสมาธิเเละก็ตอนถอนออกมามันสุขมากๆ สุขเเบบเเทบน้ำตาไหลเลย เเบบยืนดูต้นไม้เฉยๆ ครึ่งชั่วโมงก็มีความสุขได้ ทุกๆอย่างดูชัดไปหมด เหมือนคนละโลก ลองคิดดูว่านี่เเค่อัปปนาสมาธิ พระนิพพานจะขนาดไหน นอกเหนือจากนี้ตอนที่จิตเขารวมกัน จะไม่มีความคิดเข้ามาเเทรกเลย ยกเว้นวิตก-วิจารณ์ที่อยู่กับนิมิตครับ
ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณสมาชิกหลายๆท่านที่คอยวิจารณ์สภาวะในสมาธิครับ ผมพยายามฝึกรูปฌานเพื่อจะนำไปเดินวิปัสสนาต่อเเละคอยเกื้อหนุนการปฏิบัติสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันซึ่งฝึกจนเป็นนิสัยไปเเล้วครับ
ขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่ช่วยวิจารณ์สภาวะในสมาธิครับ
เมื่อเกิดเหตุการณ์เเบบนี้ผมจึงใช้การบริกรรมเข้ามาช่วยเเทนที่จะดูลมหายใจเเบบตรงๆ พอมีบริกรรมช่วยปรากฏว่านิมิตที่เป็นนิมิตเเสง เพราะเกิดจากลมหายใจละเอียด มันสว่างมากๆๆ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่นี้ครั้งก่อนผมไม่รู้จะไปก่อนอย่างไร เพราะมันสว่างเเบบนี้เเต่ไม่คงที่ เเต่ครั้งนี้พอมีบริกรรมช่วยก็ทำให้นิมิตเข้าสว่างจนคงที่ พอนิมิตตรงนี้สว่าฝจ้าจนไม่ไหวเเล้ว จิตจะเข้าไปจับกับนิมิตเเทน ที่นี้จุดอัศจรรย์ใจก็จะเกิดขึ้น คือ เหมือนกับว่าอะไรต่างๆมันหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกันมากๆครับ ผมพูดไม่ถูก เเต่มันกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนมีคนอยู่ 5 คนมาทำงานโปรเจคเดียวกัน ซึ่งเเต่ละคนลงเเรงเท่าๆกัน ไม่มีใครเกี่ยงกันทำงาน ผมขอเปรียบประมาณนี้ มันพูดยากมากๆครับ ขอให้ใช้วิจารณญาณ
ตอนถอนออกจากสมาธิเเล้ว ลองทบทวนดูคิดว่าอยู่ในสภาวะนี้ไม่นานประมาณ 10 นาทีเท่านั้น เเต่ภาวะที่อยู่ในสมาธิเเละก็ตอนถอนออกมามันสุขมากๆ สุขเเบบเเทบน้ำตาไหลเลย เเบบยืนดูต้นไม้เฉยๆ ครึ่งชั่วโมงก็มีความสุขได้ ทุกๆอย่างดูชัดไปหมด เหมือนคนละโลก ลองคิดดูว่านี่เเค่อัปปนาสมาธิ พระนิพพานจะขนาดไหน นอกเหนือจากนี้ตอนที่จิตเขารวมกัน จะไม่มีความคิดเข้ามาเเทรกเลย ยกเว้นวิตก-วิจารณ์ที่อยู่กับนิมิตครับ
ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณสมาชิกหลายๆท่านที่คอยวิจารณ์สภาวะในสมาธิครับ ผมพยายามฝึกรูปฌานเพื่อจะนำไปเดินวิปัสสนาต่อเเละคอยเกื้อหนุนการปฏิบัติสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันซึ่งฝึกจนเป็นนิสัยไปเเล้วครับ