ทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่จะมีคนที่สนับสนุนคึกฤทธิ์ออกมาตั้งกระทู้จำนวนมาก จะเพื่อจุดประสงค์ใดก็ตาม อาจจะแค่เชิญชวนให้คนสนใจวัด หรืออาจจะมีเจตนาให้ความรู้จริงๆ ก็ได้ หรืออาจจะเพื่อต้องการยั่วยุอารมณ์ก็ได้เช่นกัน
ซึ่งก็จะมีเพื่อนสมาชิกออกมาตั้งกระทู้โจมตีคึกฤทธิ์ควบคู่ด้วย ถ้าพูดแบบภาษาวัยรุ่นก็คือ ตั้งกระทู้มาก็ตั้งกระทู้กลับ ไม่โกง ประมาณนั้น
ซึ่งส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ บางทีก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครที่เป็นคนเริ่มก่อน กระทู้ฝ่ายไหนมากกว่ากัน ฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายโจมตี เริ่มไม่แน่ใจ
ยิ่งหากฝ่ายสนับสนุนคึกฤทธิ์ มีเจตนาตั้งกระทู้เพื่อยั่วยุอารมณ์ก็เท่ากับว่าทำสำเร็จตามที่ตั้งใจ เพราะสังเกตว่าช่วงแรกๆ เวลาที่ตั้งกระทู้จะมีรูปหน้ายิ้มบ้าง รูปยิงฟัน แลบลิ้น หรือมีคำว่า อิอิ ต่อท้าย แต่หลังจากนั้น อาจจะคิดว่าจุดติดแล้วก็เลยตั้งกระทู้ปกติ ตัดส่วนท้ายๆ พวกหน้าทะเล้นออกไป
ซึ่งตามความเห็นของผม การที่ไปตั้งกระทู้โจมตีคึกฤทธิ์มากมายแบบนั้น อาจจะมีผลดีบ้างสำหรับบางคน แต่ผมคิดว่าถ้ามากเกินไปจะเป็นผลเสียมากกว่า
บางทีเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนไปถามคึกฤทธิ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งระหว่างคนที่เหมือนกับว่าหัวร้อน พูดจาเสียดสี แสดงความเกลียดชัง กับพระที่พูดจาเนิบๆ นุ่มนวล เรียบร้อย สุภาพ ฟังดูมีเหตุผล ดูมีหลักการ อาจจะมีเสียดสีบ้างนิดๆ หน่อยๆ ถามว่า คนจะเลือกฟังใครหรือเชื่อใคร?
โดยส่วนตัวผม ทุกครั้งที่ผมพูดถึงกรณีคึกฤทธิ์ ผมจะนึกถึงลูกศิษย์หรือคนที่ศรัทธาในตัวคึกฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดตรงๆ เลยคืออยากให้ก้าวออกมาจากคึกฤทธิ์ ดังนั้น ผมจะเน้นเรื่องเดียวคือการให้ความรู้ เพื่อให้ลูกศิษย์หรือผู้ศรัทธาไปคิดพิจารณาเอง ซึ่งคนที่ชอบเข้าวัด ชอบทำบุญ ย่อมต้องเป็นคนดี ไม่ใช่คนที่เป็นศัตรู หรือไปคิดว่าพวกเขาร่วมมือกันเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา ร่วมมือกันทำคำสอนให้ผิดเพี้ยน
หรือสมมุติว่าพวกเขาพิจารณาแล้วว่า สิ่งที่คึกฤทธิ์เสนอหรือคิดขึ้นมานั้น เช่น ให้ตัดบางส่วนของพระไตรปิฏกออก ให้ฟังแต่คำพระพุทธเจ้า ฯลฯ พวกเขาเชื่อคึกฤทธิ์ เห็นด้วยกับคึกฤทธิ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนผิด เขาเพียงแค่ไม่รู้ ไม่มีคนให้คำแนะนำพวกเขา หรือเขาอาจจะรู้สึกถูกจริตกับวิธีสอนของคึกฤทธิ์ ฟังแล้วสบายใจ
เหมือนคนที่เชื่อพวกคนทรงเจ้า เข้าทรง การที่ไปเชื่อคนพวกนี้พวกเขาไม่ใช่คนผิดหรือคนไม่ดีอะไร แต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง
ผมขอยกตัวอย่างหลวงพ่อปยุตโต ที่เขียนหนังสือที่ชื่อว่า "กรณีพระคึกฤทธิ์" นั่นคือวิธีที่ถูกต้องที่สุด
หรือยกตัวอย่างคลิปหนึ่งที่ผมเพิ่งดูไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว จากผู้ที่ตั้งกระทู้ของคึกฤทธิ์ เป็นเรื่องการทำทาน พอผมเห็นชื่อคลิปเป็นเรื่องทำทานผมเลยขอลองฟังหน่อย อยากรู้ว่าจะคล้ายวัดธรรมกายหรือไม่
เนื่องจากผมไม่สามารถฟังคึกฤทธิ์พูดต่อเนื่องนานๆ ได้ (แบบเดียวกับป้าสุจินต์) เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร หรืออย่างไม่นานมานี้ผมดูคลิปคึกฤทธิ์สอนเรื่องอริยสัจสี่ ผมตั้งใจฟังคลิปนี้เต็มที่เพราะผมเป็นคนค้นหาเอง อยากรู้ว่าคึกฤทธิ์สอนอริยสัจสี่ว่าอย่างไร เป็นคลิปความยาวประมาณครึ่งชั่วโมง
แต่พอฟังแล้ว ปรากฏว่า มีพูดถึงอริยสัจสี่ไม่ถึง 5 นาที แถมยังพูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าพูดหัวข้อหลักๆ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ครบด้วยหรือไม่ หลังจากนั้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงที่เหลือก็เป็นเรื่องแนะนำหนังสือ กับพูดโจมตีพระสาวก อย่าไปฟังคำสาวก ฯลฯ จนจบคลิป (ผมฟังจนถึงส่วนท้ายด้วย เพราะหวังว่าจะพูดอริยสัจสี่ต่อ แต่ก็ไม่มี ซึ่งที่จริงไม่น่าตั้งชื่อคลิปว่า อริยสัจสี่คืออะไร แบบนั้นเลย)
กรณีเรื่องอริยสัจสี่ ผมก็ยังอยากฟังอยู่ ใครหรือลูกศิษย์คึกฤทธิ์ท่านใดเคยฟังคึกฤทธิ์สอนและรู้สึกว่าได้ความรู้อริยัสจสี่ สามารถอธิบายให้คนเข้าใจอริยสัจสี่ได้ ก็บอกกันด้วยจะดีมาก (ผมขอหลายครั้งแล้ว)
กลับมาที่เรื่องคลิปทำทาน อย่างที่บอกว่าผมไม่สามารถ(ทน)ฟังต่อเนื่องได้ จึงใช้วิธีสุ่มคลิกไปเรื่อยๆ แต่เลื่อนข้ามทีละน้อยๆ เพราะไม่อยากให้ข้ามส่วนใดไป ปรากฏว่าตลอดทั้งคลิปเป็นเรื่องของการทำทานจริงๆ (ทุกตำแหน่งที่ผมคลิก ยังคงเป็นเรื่องทำทาน)
ผมขอไม่พูดถึงเนื้อหาหรือจุดประสงค์ของการทำทานที่คึกฤทธิ์สอนในคลิปนั้น เดี๋ยวจะเป็นอีกประเด็น อีกทั้งผมไม่ได้ฟังทั้งหมด ถ้าจะพูดถึงผมต้องฟังทั้งหมดก่อน แต่จากที่สุ่มฟัง ก็น่าจะมาแนววัดธรรมกาย มีการยกพระสูตรที่บอกว่าทำทานกับคนทุศีล คนมีศีล พระภิกษุ พระอริยะ (ที่จริงพระสูตรนี้ส่วนสำคัญอยู่ตอนท้าย คือการเจริญเมตตา คนมีเมตตาย่อมทำทานกับทุกคน ด้วยเมตตาจิต และสุดท้ายจบที่เรื่องการเจริญภาวนา ซึ่งอานิสงส์สูงสุด แต่ผมเดาว่าคงไม่พูดถึงส่วนท้ายแน่ เน้นแค่ทำทานกับเนื้อนาบุญเท่านั้น) รวมถึงมีเรื่องได้โภคทรัพย์เป็นการตอบแทน เป็นต้น
แต่ประเด็นที่ผมจะพูดถึงจากการฟังคลิปนั้น เป็นเรื่องของการไปกล่าวหาพระสารีบุตร ซึ่งผมคลิกเจอพอดี อาจจะใช้คำว่ากล่าวตู่น่าเหมาะสมกว่า โยงไปถึงกล่าวหาพระไตรปิฏกในลักษณะว่าอย่าไปอ่าน เพราะเอาคำสาวกมาต่อเติม (ถ้าใครได้ฟังคึกฤทธิ์พูดแบบนี้ทุกวันๆ ถ้าไม่เชื่อก็คงแปลก เหมือนประเทศแถบตะวันออกกลางบางประเทศ ที่สอนเด็กตั้งแต่อนุบาลซ้ำๆ ว่าอเมริกาคือซาตาน เด็กเหล่านี้โตขึ้นมาคงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ปลูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก)
คึกฤทธิ์ยกกรณีพระสารีบุตรที่ตอบพระพุทธเจ้าว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ซึ่งที่พระสารีบุตรตอบแบบนั้น ท่านหมายถึงเรื่องของการบรรลุธรรม ว่าเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ พระสารีบุตรท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านก็ตอบว่าไม่เชื่อ แต่ท่านเห็นเอง
ยกตัวอย่าง ผมอยากให้ทุกคนลองเงยหน้าหรือเลื่อนจอไปดูที่หัวเว็บพันทิป จะมีรูปหน้ายิ้มสีเหลืองปรากฏอยู่
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่า มีรูปหน้ายิ้มสีเหลืองที่หัวเว็บ ถูกต้องหรือไม่?
ถ้าผมถามว่า "บนหัวเว็บพันทิปมีรูปหน้ายิ้มและเป็นสีเหลืองด้วย เชื่อผมหรือไม่?"
ทุกคนรู้ว่ามีรูปหน้ายิ้ม รู้ว่ามันคือสีเหลือง แต่ที่รู้เพราะเห็นด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะเชื่อผม
คึกฤทธิ์ได้ยกคำพูดพระสารีบุตรที่บอกว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า มาผสมกับเรื่องอื่น เนื่องจากผมไม่ได้ดูคลิปทั้งหมด จึงเดาว่าน่าจะหมายถึง อย่า(ปลงใจ)เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ให้ปฏิบัติให้เห็นของจริง
ผมเดาว่า เจตนาอาจจะอยากให้ผู้ที่ศรัทธาเชื่อพระพุทธเจ้าแบบสุดใจ แบบไม่ลืมหูลืมตา แบบที่ชาวคริสต์ต้องเชื่อพระเจ้า ใครลังเลสงสัยในพระเจ้าจะเป็นบาป จะต้องตกนรก คึกฤทธิ์อาจจะต้องการแบบนั้น คือฟังพระพุทธเจ้าอย่างเดียว (แน่นอนว่า ตำพระพุทธเจ้าก็คือฟังคึกฤทธิ์นั่นเอง) จึงบอกว่าต้องเชื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ไม่แน่ว่า อาจจะบอกด้วยว่า ถ้าใครลังเลสงสัย ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน อันนี้ผมเดาเอง (เหตุผลที่พระโสดาบันท่านจะไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า เพราะท่านเห็นความจริงแล้ว ไม่ใช่เกิดจากการบังคับใจตัวเอง)
ที่ผมยกกรณีมาพูดถึง เพราะผมมั่นใจว่า ทุกการบรรยายของคึกฤทธิ์จะมีเรื่องราวลักษณะนี้ เราเพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องทำด้วยความรัก ความเมตตา เห็นอกเห็นใจ และไม่จำเป็นต้องหวังผล 100% เดี๋ยวจะกลายเป็นเราเกิดอารมณ์
เหมือนภรรยาเห็นสามีเป็นทุกข์เรื่องงาน เลยอยากให้สามีเข้าวัดปฏิบัติเหมือนตัวเอง แต่ตัวภรรยาเองก็กลุ้มใจเป็นทุกข์ที่เห็นสามีเป็นทุกข์ แบบนี้สามีจะอยากไปปฏิบัติด้วยได้อย่างไร
รู้สึกว่าหลังๆ ผมเขียนอะไรก็ยาวหมดเลย เหมือนจะเขียนทิ้งท้ายยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็อยากให้จบในคราวเดียว เขียนครั้งเดียวรู้เรื่อง ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ หวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง
คำแนะนำส่วนตัวของผมกรณีคึกฤทธิ์
ซึ่งก็จะมีเพื่อนสมาชิกออกมาตั้งกระทู้โจมตีคึกฤทธิ์ควบคู่ด้วย ถ้าพูดแบบภาษาวัยรุ่นก็คือ ตั้งกระทู้มาก็ตั้งกระทู้กลับ ไม่โกง ประมาณนั้น
ซึ่งส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ บางทีก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครที่เป็นคนเริ่มก่อน กระทู้ฝ่ายไหนมากกว่ากัน ฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายโจมตี เริ่มไม่แน่ใจ
ยิ่งหากฝ่ายสนับสนุนคึกฤทธิ์ มีเจตนาตั้งกระทู้เพื่อยั่วยุอารมณ์ก็เท่ากับว่าทำสำเร็จตามที่ตั้งใจ เพราะสังเกตว่าช่วงแรกๆ เวลาที่ตั้งกระทู้จะมีรูปหน้ายิ้มบ้าง รูปยิงฟัน แลบลิ้น หรือมีคำว่า อิอิ ต่อท้าย แต่หลังจากนั้น อาจจะคิดว่าจุดติดแล้วก็เลยตั้งกระทู้ปกติ ตัดส่วนท้ายๆ พวกหน้าทะเล้นออกไป
ซึ่งตามความเห็นของผม การที่ไปตั้งกระทู้โจมตีคึกฤทธิ์มากมายแบบนั้น อาจจะมีผลดีบ้างสำหรับบางคน แต่ผมคิดว่าถ้ามากเกินไปจะเป็นผลเสียมากกว่า
บางทีเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนไปถามคึกฤทธิ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งระหว่างคนที่เหมือนกับว่าหัวร้อน พูดจาเสียดสี แสดงความเกลียดชัง กับพระที่พูดจาเนิบๆ นุ่มนวล เรียบร้อย สุภาพ ฟังดูมีเหตุผล ดูมีหลักการ อาจจะมีเสียดสีบ้างนิดๆ หน่อยๆ ถามว่า คนจะเลือกฟังใครหรือเชื่อใคร?
โดยส่วนตัวผม ทุกครั้งที่ผมพูดถึงกรณีคึกฤทธิ์ ผมจะนึกถึงลูกศิษย์หรือคนที่ศรัทธาในตัวคึกฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดตรงๆ เลยคืออยากให้ก้าวออกมาจากคึกฤทธิ์ ดังนั้น ผมจะเน้นเรื่องเดียวคือการให้ความรู้ เพื่อให้ลูกศิษย์หรือผู้ศรัทธาไปคิดพิจารณาเอง ซึ่งคนที่ชอบเข้าวัด ชอบทำบุญ ย่อมต้องเป็นคนดี ไม่ใช่คนที่เป็นศัตรู หรือไปคิดว่าพวกเขาร่วมมือกันเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา ร่วมมือกันทำคำสอนให้ผิดเพี้ยน
หรือสมมุติว่าพวกเขาพิจารณาแล้วว่า สิ่งที่คึกฤทธิ์เสนอหรือคิดขึ้นมานั้น เช่น ให้ตัดบางส่วนของพระไตรปิฏกออก ให้ฟังแต่คำพระพุทธเจ้า ฯลฯ พวกเขาเชื่อคึกฤทธิ์ เห็นด้วยกับคึกฤทธิ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนผิด เขาเพียงแค่ไม่รู้ ไม่มีคนให้คำแนะนำพวกเขา หรือเขาอาจจะรู้สึกถูกจริตกับวิธีสอนของคึกฤทธิ์ ฟังแล้วสบายใจ
เหมือนคนที่เชื่อพวกคนทรงเจ้า เข้าทรง การที่ไปเชื่อคนพวกนี้พวกเขาไม่ใช่คนผิดหรือคนไม่ดีอะไร แต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง
ผมขอยกตัวอย่างหลวงพ่อปยุตโต ที่เขียนหนังสือที่ชื่อว่า "กรณีพระคึกฤทธิ์" นั่นคือวิธีที่ถูกต้องที่สุด
หรือยกตัวอย่างคลิปหนึ่งที่ผมเพิ่งดูไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว จากผู้ที่ตั้งกระทู้ของคึกฤทธิ์ เป็นเรื่องการทำทาน พอผมเห็นชื่อคลิปเป็นเรื่องทำทานผมเลยขอลองฟังหน่อย อยากรู้ว่าจะคล้ายวัดธรรมกายหรือไม่
เนื่องจากผมไม่สามารถฟังคึกฤทธิ์พูดต่อเนื่องนานๆ ได้ (แบบเดียวกับป้าสุจินต์) เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร หรืออย่างไม่นานมานี้ผมดูคลิปคึกฤทธิ์สอนเรื่องอริยสัจสี่ ผมตั้งใจฟังคลิปนี้เต็มที่เพราะผมเป็นคนค้นหาเอง อยากรู้ว่าคึกฤทธิ์สอนอริยสัจสี่ว่าอย่างไร เป็นคลิปความยาวประมาณครึ่งชั่วโมง
แต่พอฟังแล้ว ปรากฏว่า มีพูดถึงอริยสัจสี่ไม่ถึง 5 นาที แถมยังพูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าพูดหัวข้อหลักๆ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ครบด้วยหรือไม่ หลังจากนั้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงที่เหลือก็เป็นเรื่องแนะนำหนังสือ กับพูดโจมตีพระสาวก อย่าไปฟังคำสาวก ฯลฯ จนจบคลิป (ผมฟังจนถึงส่วนท้ายด้วย เพราะหวังว่าจะพูดอริยสัจสี่ต่อ แต่ก็ไม่มี ซึ่งที่จริงไม่น่าตั้งชื่อคลิปว่า อริยสัจสี่คืออะไร แบบนั้นเลย)
กรณีเรื่องอริยสัจสี่ ผมก็ยังอยากฟังอยู่ ใครหรือลูกศิษย์คึกฤทธิ์ท่านใดเคยฟังคึกฤทธิ์สอนและรู้สึกว่าได้ความรู้อริยัสจสี่ สามารถอธิบายให้คนเข้าใจอริยสัจสี่ได้ ก็บอกกันด้วยจะดีมาก (ผมขอหลายครั้งแล้ว)
กลับมาที่เรื่องคลิปทำทาน อย่างที่บอกว่าผมไม่สามารถ(ทน)ฟังต่อเนื่องได้ จึงใช้วิธีสุ่มคลิกไปเรื่อยๆ แต่เลื่อนข้ามทีละน้อยๆ เพราะไม่อยากให้ข้ามส่วนใดไป ปรากฏว่าตลอดทั้งคลิปเป็นเรื่องของการทำทานจริงๆ (ทุกตำแหน่งที่ผมคลิก ยังคงเป็นเรื่องทำทาน)
ผมขอไม่พูดถึงเนื้อหาหรือจุดประสงค์ของการทำทานที่คึกฤทธิ์สอนในคลิปนั้น เดี๋ยวจะเป็นอีกประเด็น อีกทั้งผมไม่ได้ฟังทั้งหมด ถ้าจะพูดถึงผมต้องฟังทั้งหมดก่อน แต่จากที่สุ่มฟัง ก็น่าจะมาแนววัดธรรมกาย มีการยกพระสูตรที่บอกว่าทำทานกับคนทุศีล คนมีศีล พระภิกษุ พระอริยะ (ที่จริงพระสูตรนี้ส่วนสำคัญอยู่ตอนท้าย คือการเจริญเมตตา คนมีเมตตาย่อมทำทานกับทุกคน ด้วยเมตตาจิต และสุดท้ายจบที่เรื่องการเจริญภาวนา ซึ่งอานิสงส์สูงสุด แต่ผมเดาว่าคงไม่พูดถึงส่วนท้ายแน่ เน้นแค่ทำทานกับเนื้อนาบุญเท่านั้น) รวมถึงมีเรื่องได้โภคทรัพย์เป็นการตอบแทน เป็นต้น
แต่ประเด็นที่ผมจะพูดถึงจากการฟังคลิปนั้น เป็นเรื่องของการไปกล่าวหาพระสารีบุตร ซึ่งผมคลิกเจอพอดี อาจจะใช้คำว่ากล่าวตู่น่าเหมาะสมกว่า โยงไปถึงกล่าวหาพระไตรปิฏกในลักษณะว่าอย่าไปอ่าน เพราะเอาคำสาวกมาต่อเติม (ถ้าใครได้ฟังคึกฤทธิ์พูดแบบนี้ทุกวันๆ ถ้าไม่เชื่อก็คงแปลก เหมือนประเทศแถบตะวันออกกลางบางประเทศ ที่สอนเด็กตั้งแต่อนุบาลซ้ำๆ ว่าอเมริกาคือซาตาน เด็กเหล่านี้โตขึ้นมาคงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ปลูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก)
คึกฤทธิ์ยกกรณีพระสารีบุตรที่ตอบพระพุทธเจ้าว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ซึ่งที่พระสารีบุตรตอบแบบนั้น ท่านหมายถึงเรื่องของการบรรลุธรรม ว่าเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ พระสารีบุตรท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านก็ตอบว่าไม่เชื่อ แต่ท่านเห็นเอง
ยกตัวอย่าง ผมอยากให้ทุกคนลองเงยหน้าหรือเลื่อนจอไปดูที่หัวเว็บพันทิป จะมีรูปหน้ายิ้มสีเหลืองปรากฏอยู่
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่า มีรูปหน้ายิ้มสีเหลืองที่หัวเว็บ ถูกต้องหรือไม่?
ถ้าผมถามว่า "บนหัวเว็บพันทิปมีรูปหน้ายิ้มและเป็นสีเหลืองด้วย เชื่อผมหรือไม่?"
ทุกคนรู้ว่ามีรูปหน้ายิ้ม รู้ว่ามันคือสีเหลือง แต่ที่รู้เพราะเห็นด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะเชื่อผม
คึกฤทธิ์ได้ยกคำพูดพระสารีบุตรที่บอกว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า มาผสมกับเรื่องอื่น เนื่องจากผมไม่ได้ดูคลิปทั้งหมด จึงเดาว่าน่าจะหมายถึง อย่า(ปลงใจ)เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ให้ปฏิบัติให้เห็นของจริง
ผมเดาว่า เจตนาอาจจะอยากให้ผู้ที่ศรัทธาเชื่อพระพุทธเจ้าแบบสุดใจ แบบไม่ลืมหูลืมตา แบบที่ชาวคริสต์ต้องเชื่อพระเจ้า ใครลังเลสงสัยในพระเจ้าจะเป็นบาป จะต้องตกนรก คึกฤทธิ์อาจจะต้องการแบบนั้น คือฟังพระพุทธเจ้าอย่างเดียว (แน่นอนว่า ตำพระพุทธเจ้าก็คือฟังคึกฤทธิ์นั่นเอง) จึงบอกว่าต้องเชื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ไม่แน่ว่า อาจจะบอกด้วยว่า ถ้าใครลังเลสงสัย ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน อันนี้ผมเดาเอง (เหตุผลที่พระโสดาบันท่านจะไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า เพราะท่านเห็นความจริงแล้ว ไม่ใช่เกิดจากการบังคับใจตัวเอง)
ที่ผมยกกรณีมาพูดถึง เพราะผมมั่นใจว่า ทุกการบรรยายของคึกฤทธิ์จะมีเรื่องราวลักษณะนี้ เราเพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องทำด้วยความรัก ความเมตตา เห็นอกเห็นใจ และไม่จำเป็นต้องหวังผล 100% เดี๋ยวจะกลายเป็นเราเกิดอารมณ์
เหมือนภรรยาเห็นสามีเป็นทุกข์เรื่องงาน เลยอยากให้สามีเข้าวัดปฏิบัติเหมือนตัวเอง แต่ตัวภรรยาเองก็กลุ้มใจเป็นทุกข์ที่เห็นสามีเป็นทุกข์ แบบนี้สามีจะอยากไปปฏิบัติด้วยได้อย่างไร
รู้สึกว่าหลังๆ ผมเขียนอะไรก็ยาวหมดเลย เหมือนจะเขียนทิ้งท้ายยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็อยากให้จบในคราวเดียว เขียนครั้งเดียวรู้เรื่อง ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ หวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง