สัตว์...ไม่ได้ก้าวลงสู่งครรภ์...."
วิญญาณ..ก้าวลงสู่งครรภ์ " <----อันนี้พุทธพจน์
สัตว์ไม่ใช่ขันธ์๕
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=106
อันนี้...ในบาลีไม่มีคำว่า " สัตว์ " แต่แปลออกมาว่า " เพราะถือมั่นธาตุ ๖ ประการ
สัตว์จึงก้าวลงสู่ครรภ์ "
นี่คือคำตอบของความเห็นข้างบน
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item.php?book=18&item=800&items=1
[๘๐๐] อลญฺหิ เต วจฺฉ กงฺขิตุ ํ อลํ วิจิกิจฺฉิตุ ํ กงฺขานิเย จ ปน เต
ฐาเน วิจิกิจฺฉา อุปฺปนฺนา ฯ
สอุปาทานสฺส ขฺวาหํ วจฺฉ อุปปตฺตึ ปญฺญเปมิ โน อนุปาทานสฺส ฯ
เสยฺยถาปิ วจฺฉ อคฺคิ สอุปาทาโน ชลติ โน อนุปาทาโน
เอวเมว ขฺวาหํ วจฺฉ สอุปาทานสฺส อุปปตฺตึ ปญฺญเปมิ โน อนุปาทานสฺสาติ ฯ
ยสฺมึ โภ โคตม สมเย อจฺจิ วาเตน ขิตฺตา ทูรํปิ คจฺฉติ อิมิสฺสา
ปน ภวํ โคตโม กึ อุปาทานสฺมึ ปญฺญเปตีติ ฯ
ยสฺมึ โข วจฺฉ สมเย อจฺจิ วาเตน ขิตฺตา ทูรํ คจฺฉติ ตมหํ วาตุปาทานํ
ปญฺญเปมิ วาโต หิสฺส วจฺฉ ตสฺมึ สมเย อุปาทานํ โหตีติ ฯ
ยสฺมึ โภ โคตม สมเย อิมญฺจ กายํ นิกฺขิปติ สตฺโต จ อญฺญตรํ กายํ อนุปปนฺโน โหติ ฯ
ท่านพระโคตมผู้เจริญ...สมัยใดนั้น..ทั้งด้วยที่...สัตว์ทิ้งกาย - และ - ยังไม่ได้กายอื่น.. ได้เป็น(สภาวะในระหว่างที่ไม่มีขันธ์๕)
อิมสฺส ปน ภวํ โคตโม กึ อุปาทานสฺมึ ปญฺญเปตีติ ฯ
ก็แน่..ท่านพระโคตม อะไรเป็นการบัญญัติแห่งการปรากฏ...แห่งภพอันนี้ ?
ยสฺมึ โข วจฺฉ สมเย อิมญฺจ กายํ นิกฺขิปติ สตฺโต จ อญฺญตรํ กายํ อนุปปนฺโน โหติ
วัจฉะ !...สมัยใดนั้น..ทั้งด้วยที่...สัตว์ทิ้งกายด้วย - และ - ยังไม่ได้กายอื่นด้วย.. ได้เป็น(สภาวะในระหว่างที่ไม่มีขันธ์๕)
ตมหํ ตณฺหุปาทานํ วทามิ ตณฺหา หิสฺส วจฺฉ ตสฺมึ สมเย อุปาทานํ โหตีติ ฯ
เรากล่าวว่า " ตัณหา..ทำให้เกิด(ภพ) "..., เพราะว่าแท้จริงแล้ว..ตัณหา...ในสมัยนั้นทำให้เกิด(อุปาทานํ)..เป็นดังนี้
นวมํ ฯ
" สัตว์ " ...สถานะที่ยังไม่มีขันธ์๕....ด้วย ดังนั้น...มันมี
สัตว์...ไม่ได้ก้าวลงสู่งครรภ์...." วิญญาณ..ก้าวลงสู่งครรภ์ " <----อันนี้พุทธพจน์
สัตว์ไม่ใช่ขันธ์๕
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=106
อันนี้...ในบาลีไม่มีคำว่า " สัตว์ " แต่แปลออกมาว่า " เพราะถือมั่นธาตุ ๖ ประการ สัตว์จึงก้าวลงสู่ครรภ์ "
นี่คือคำตอบของความเห็นข้างบน
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item.php?book=18&item=800&items=1
[๘๐๐] อลญฺหิ เต วจฺฉ กงฺขิตุ ํ อลํ วิจิกิจฺฉิตุ ํ กงฺขานิเย จ ปน เต
ฐาเน วิจิกิจฺฉา อุปฺปนฺนา ฯ
สอุปาทานสฺส ขฺวาหํ วจฺฉ อุปปตฺตึ ปญฺญเปมิ โน อนุปาทานสฺส ฯ
เสยฺยถาปิ วจฺฉ อคฺคิ สอุปาทาโน ชลติ โน อนุปาทาโน
เอวเมว ขฺวาหํ วจฺฉ สอุปาทานสฺส อุปปตฺตึ ปญฺญเปมิ โน อนุปาทานสฺสาติ ฯ
ยสฺมึ โภ โคตม สมเย อจฺจิ วาเตน ขิตฺตา ทูรํปิ คจฺฉติ อิมิสฺสา
ปน ภวํ โคตโม กึ อุปาทานสฺมึ ปญฺญเปตีติ ฯ
ยสฺมึ โข วจฺฉ สมเย อจฺจิ วาเตน ขิตฺตา ทูรํ คจฺฉติ ตมหํ วาตุปาทานํ
ปญฺญเปมิ วาโต หิสฺส วจฺฉ ตสฺมึ สมเย อุปาทานํ โหตีติ ฯ
ยสฺมึ โภ โคตม สมเย อิมญฺจ กายํ นิกฺขิปติ สตฺโต จ อญฺญตรํ กายํ อนุปปนฺโน โหติ ฯ
ท่านพระโคตมผู้เจริญ...สมัยใดนั้น..ทั้งด้วยที่...สัตว์ทิ้งกาย - และ - ยังไม่ได้กายอื่น.. ได้เป็น(สภาวะในระหว่างที่ไม่มีขันธ์๕)
อิมสฺส ปน ภวํ โคตโม กึ อุปาทานสฺมึ ปญฺญเปตีติ ฯ
ก็แน่..ท่านพระโคตม อะไรเป็นการบัญญัติแห่งการปรากฏ...แห่งภพอันนี้ ?
ยสฺมึ โข วจฺฉ สมเย อิมญฺจ กายํ นิกฺขิปติ สตฺโต จ อญฺญตรํ กายํ อนุปปนฺโน โหติ
วัจฉะ !...สมัยใดนั้น..ทั้งด้วยที่...สัตว์ทิ้งกายด้วย - และ - ยังไม่ได้กายอื่นด้วย.. ได้เป็น(สภาวะในระหว่างที่ไม่มีขันธ์๕)
ตมหํ ตณฺหุปาทานํ วทามิ ตณฺหา หิสฺส วจฺฉ ตสฺมึ สมเย อุปาทานํ โหตีติ ฯ
เรากล่าวว่า " ตัณหา..ทำให้เกิด(ภพ) "..., เพราะว่าแท้จริงแล้ว..ตัณหา...ในสมัยนั้นทำให้เกิด(อุปาทานํ)..เป็นดังนี้
นวมํ ฯ