จขท.เป็นโรคoffice syndrome มาหลายสิบปี สมัยสาวๆก็ไม่เท่าไหร่ เพราะอายุยังน้อย ปวดเมื่อยยังไงก็ไปตามร้านนวดแผนโบราณ ส่วนตัวก็เป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายเท่าไหร่ ดังนั้นอาการปวดเมื่อยจึงมีอยู่ตลอด หนักๆเข้าก็เคยไปเรียนโยคะ แต่สุดท้ายก็ไม่รอด จนกระทั่งมาเมื่อปีก่อนที่อาการ office syndrome เป็นหนักมาก ปวดคอ ปวดหัว ปวดเนื้อตัวไปหมด จนทำให้นอนไม่ได้ เป็นหนักขนาดทานยานอนหลับแล้ว ก็ยังนอนไม่หลับติดต่อกัน 3 วัน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะเตียง หมอนทำให้จขท.นอนไม่ได้ ก็เปลี่ยนหมอนจนแทบจะมีทุกรุ่นที่เขาว่าดี ถึงขนาดว่าไปร้านขายเตียงสั่งทำ กะว่าต่อให้ราคาเป็นแสนก็จะยอมทุ่มเพื่อให้ตัวเองหาย โชคดีที่น้องนักกายภาพของร้านขายเตียงพูดตามตรงว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเตียง มันเกี่ยวกับร่างกายของจขท.ที่ผิดรูปร่าง คือมีอาการคอยื่น ไหล่งุ้ม และหลังแอ่น ทำให้เวลานอน อยู่ในสภาพที่ร่างกายเกร็งจนทำให้เกิดการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งมีทางเดียวคือต้องไปรักษาโดยทำกายภาพบำบัด และให้ไปเอ็กซเรย์กระดูกด้วย
จขท.ก็เลยไปพบคุณหมอ และคุณหมอก็บอกว่าต้องออกกำลังกาย และทำกายภาพบำบัดควบคู่ไป จขท.ก็เลยติดต่อน้องนักกายภาพที่ร้านขายเตียงที่เคยบอกว่าเขามีเพื่อนที่อยู่คลินิกรักษาโรคนี้ ให้เขารีเฟอร์ให้จขท.
ก่อนหน้าที่จขท.จะไปคลินิกที่น้องคนนี้แนะนำ จขท.เคยไปรักษาอีกคลิกนิกหนึ่ง ซึ่งเขาก็ทำอัลตราซาวด์ และกระตุ้นด้วยไฟฟ้าให้ แต่ปรากฎว่าจขท.ไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ คอร์สหนึ่งก็2หมื่นกว่าบาท แต่สุดท้ายจขท.ก็ใช้ไม่ครบคอร์ส เนื่องจากสถานการณ์โควิดด้วย และจขท.ก็ไม่รู้สึกว่มันได้ผล คือไม่ค่อยช่วยเลย
พอมาที่คลินิกใหม่ มาพบเพื่อนของน้องนักกายภาพที่ร้านขายเตียง ซึ่งน้องคนนี้ดีมากทีเดียว เอาใจใส่ และคอยดูอาการและแนะนำจขท. แต่แนวคิดการรักษาของน้องนักกายภาพคนนี้คือ เป็นคนเชื่อมั่นว่าการคลายกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดก็คือการนวดแบบหัตถการ ซึ่งจะทำให้นักกายภาพเข้าใจถึงจุดกล้ามเนื้อตึงของร่างกายผู้ป่วยได้ดีที่สุด ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้ช้อคเวฟเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่อยู่ในส่วนที่ลึกเกินกว่าที่การนวดจะใช้ได้ผล คลินิกนี้มีเครื่องช๊อคเวฟที่ราคาแพงมาก และมีอัลตราซาวด์ มีเรเซอร์ มีอุปกรณ์รักษาที่ทันสมัยมาก แน่นอนว่าค่าบริการก็ไม่ถูกเช่น แต่ในใจจขท.คิดแค่ว่า ขอให้หายเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม เพราะมันทรมาณมาก
ผลจากการรักษากับน้องคนนี้ไปทั้งหมด 8-9 ครั้งจากทั้งหมด 13 ครั้ง ได้ผลดีมาก ถึงแม้ว่าการนวดในช่วง 3 ครั้งแรกทรมาณจขท.มาก เพราะเจ็บมากจนแทบจะดิ้นปัดๆอยู่บนเตียง แต่พอครั้งที่ 4 ปรากฎว่าร่างกายจขท.เบาสบายขึ้นมาก และน้องนักกายภาพที่รักษาให้ก็บอกว่าหลังจากนี้ก็ไปทำเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและปรับเปลี่ยนสรีระ อย่างมาก 2 คอร์สก็น่าจะหายแล้ว แต่น่าเสียดายที่น้องเกิดลาออกไปก่อนด้วยเหตุผลส่วนตัว ตัวจขท.เองก็เสียดายมาก แต่น้องก็สัญญาว่าจะบอกน้องที่รับช่วงต่อว่าให้ทำอย่างไร
ผลปรากฎว่าน้องคนใหม่มา แต่น้องคนนี้ไม่ใช่สายนวด เขาเป็นสายเครื่องมือ ดังนั้น เมื่อเขามารับช่วงต่อก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากจะใช้เครื่องช็อคเวฟและอัลตราซาวด์รักษาให้ ซึ่งในตอนแรกจขท.ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แม้ว่าอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อนั้นจะมีอยู่ทุกอาทิตย์ที่มาก็ตาม และเมื่อรักษาแล้วก็ไม่ได้รู้สึกคลายกล้ามเนื้อเท่าไหร่ รักษาไปจนถึง 5 ครั้ง (จขท.ต่อคอร์ส) ปรากฎว่าน้องไม่ได้รีเฟอร์จขท.ให้นักกายภาพ จนในที่สุดจขท.ก็ต้องถามว่าทำไมไม่รีเฟอร์ น้องถึงจะมารีเฟอร์ให้ สุดท้ายน้องคนนี้รักษาคลายกล้ามเนื้อให้จขท.ไปอีก2-3 ครั้ง ก็ลาออก แต่ระหว่างนั้นจขท.ไม่ได้รู้สึกว่าการคลายกล้ามเนื้อด้วยเครื่องมือจะช่วยจขท.ซักเท่าไหร่ ซึ่งก็เคยเปรยๆกับน้องคนนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจ บอกเพียงว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ต่อมาน้องคนใหม่ก็มา สายนี้ก็เป็นสายเดียวกับคนที่ 2 คือ ไม่นวด แต่ใช้เครื่องมือ แต่มีความตั้งใจมากกว่าคนที่ 2 อย่างน้อยจขท.ก็คุยกันสนุกสนานและเขาก็รับฟัง ระหว่างนั้นจขท.ก็เล่าเรื่องการรักษาของน้องคนแรกว่าน่าจะได้ผลดีมาก เพื่อบอกเป็นนัยว่าจขท.ว่าการใช้เครื่องมืออาจจะไม่ใช่แนวทางของจขท. แต่น้องก็อาจจะไม่เข้าใจ และไม่ใช่แนวทางการรักษาของเขา ซึ่งเขาก็บอกจขท.ว่า เขาคิดว่าการรักษาโดยใช้เครื่องมือดีกว่ามาก เพราะไม่ทำให้ระบม และกล้ามเนื้อก็ได้คลายแบบลึกมากกว่าการนวด
ในระหว่างการรักษา ตั้งแต่น้องคนแรก - คนที่สาม จขท.ต่อคอร์สไปทั้งสิ้น 4 คอร์ส เรียกได้ว่าราคาเท่ากับงบที่ตอนแรกจขท.จะซื้อเตียงสั่งตัดทีเดียว การรักษาคลายกล้ามเนื้อควบคู่กับการเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและปรับสรีระ ดูๆไปแล้ว เกือบจะไปถึงจุดมุ่งหมายแล้ว เพราะจขท.ก็ออกกำลังตามท่าที่น้องเทรนเนอร์แนะนำ และคอกับไหล่ของจขท.ก็ยื่นและงุ้มน้อยลง ปรับเข้ามาเกือบจะปกติ เหลือแค่ช่วงล่างที่ต้องทำกายภาพเพื่อให้แข็งแรงแล้วไม่ยืนหลังแอ่น
ผลปรากฎว่าในช่วงต้นปี 65 นี้ โควิดระบาดแรงมาก เดือนกุมภาฯจขท.จึงเว้นการรักษาไป 2 อาทิตย์ ระหว่างนั้นแม้ว่าจะออกกำลังกาย แต่งานก็เข้ามา อีกทั้งยังทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่คือเล่นมือถือ ก็เลยทำให้อาการกำเริบมากขึ้น เริ่มปวดหัว คอและบ่า รวมทั้งเวลานอนแล้ว ปวดไปหมดเหมือนโดนกดทับ ตื่นขึ้นมาก็ปวดคอ บ่า ไหล่ ลามไปถึงแขนและมือ เป็นมากจนต้องวิ่งกลับไปคลายกล้ามเนื้อโดยไม่ขอทำเทรนนิ่ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ในขณะเดียวกันก็เริ่มวงจรอุบาทว์คือการเปลี่ยนหมอนไปม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบ
ในที่สุดจุดพีคก็มาถึงคือ มีวันหนึ่งนอนไม่หลับทั้งคืน ต้องนัดน้องกายภาพขอปรึกษาด่วน และจขท.ก็บอกเขาตามตรงว่า จขท.รู้สึกว่าการรักษาโดยใช้เครื่องมือนั้นไม่ได้ผลสำหรับจขท. เนื่องจากจขท.ไม่ได้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลายเลย แล้วระหว่างอาทิตย์ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา ก็เหมือนมีการสะสมอาการตึงของกล้ามเนื้อ แม้ว่าจขท.จะพยายามออกกำลังด้วยการเหยียดยืด จขท.ให้ความเห็นไปว่าอยากให้เปลี่ยนมาเป็นการรักษาแบบนวดได้หรือไม่ เพราะตอนที่จขท.มาใหม่ๆ อาการหนักกว่านี้ น้องคนแรกยังช่วยจขท.ได้
ที่น่าเสียใจคือ ผจก.ของคลินิกที่มาคุยกับจขท.นั้น ซักถามอาการจขท. และโรคประจำตัว สุดท้ายมาสรุปกับจขท.ว่า บางทีคลินิกของเขาอาจจะรักษาไม่ได้ เพราะโรคของจขท.อาจจะเกิดจากโรคประจำตัวของจขท.หรือไม่ จขท.ก็ชี้แจงไปว่าไม่น่าจะใช่ เพราะโรคนี้ของจขท.มีมาหลายสิบปีแล้ว ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันน่าจะเกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่ช่วงแรกที่จขท.ทำการรักษา แล้วทำไมตอนแรกที่มาเข้าการรักษาจขท.ถึงดีขึ้นได้ และจขท.ก็บอกเขาว่าการที่เขาบอกราแบบนี้ เหมือนกับจะทิ้งจขท.เลย ทั้งๆที่ตอนแรกอาการของจขท.ดีขึ้นจนจขท.มีความหวังมาก และยอมต่อคอร์สเพราะจขท.เชื่อมั่นในตัวคลินิก แต่ทำไมแค่จขท.ขอให้เปลี่ยนแนวทางการรักษาเป็นแบบนวดควบคู่กับเครื่องมือ จึงกลายเป็นว่าอาการของจขท.อาจจะเกิดจากโรคประจำตัวของจขท.ไปแทน
วันนั้นจขท.เลยให้น้องผจก.นวดคอบ่าให้จขท. และบอกเขาว่า ถ้ากลับไปแล้วจขท.ดีขึ้น มันก็จะเป็นข้อพิสูจน์สมมติฐานของจขท.ได้ดี ซึ่งผลปรากฎว่าเป็นแบบที่จขท.คิดจริงๆ คือมันช่วยได้มากเมื่อมีการนวด+เครื่องมือ เพราะวันนั้นกลับมาจขท.นอนหลับดีขึ้น โดยไม่ได้ทานยานอนหลับ
ดังนั้นอาทิตย์ถัดมาจขท.ก็ไปคลายกล้ามเนื้อโดยการนวดกับน้องนักกายภาพคนใหม่ (คนเก่าแรงไม่พอ) แต่ปรากฎว่าเขานวดให้จขท.แค่ประมาณครึ่งชั่วโมง + ใช้เครื่อง รวมแล้วประมาณ 50 นาที จากนั้นเขาก็บอกว่าเสร็จแล้ว จขท.ก็บอกน้องไปว่า ปกติต้องใช้เวลา 1.30-2 ชั่วโมงไม่ใช่หรือ แต่น้องเขาก็ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว
จขท.กลับมาด้วยความรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ มิหนำซ้ำเย็นนั้น แขนจขท.ก็ปรากฎรอยช้ำเขียว ที่เกิดจากการนวดของเขา แต่แน่นอน การนวด+การใช้เครื่องมือ ก็ช่วยจขท.ได้มากขึ้นกว่าการรักษาแบบใช้เครื่องมืออย่างเดียว เพียงแต่เขานวดให้จขท.แค่บ่าไหล่ สะบัก ทั้งๆที่จขท.ต้องนวดคลายตรงช่วงล่างด้วย เนื่องจากมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งเช่นกัน (และน้องผจก.เองก็เป็นคนบอกว่ากล้ามเนื้อพวกนี้มันเชื่อมต่อกัน ซึ่งหากมีส่วนใดที่มีอาการเกร็งเป็นก้อน ก้มีผลกับมัดอื่นๆด้วยเช่นกัน)
จขท.รู้สึกผิดหวังมาก เหมือนกับว่าทางคลินิกทอดทิ้งจขท.ไปแล้ว คือรักษาแบบไปแกนๆ แค่ให้พอจบคอร์ส ไม่ได้สนใจว่าจขท.จะมีอาการทรมาณอย่างไร สิ่งที่น่าเสียใจคือ จขท.ตั้งความหวังกับการรักษานี้มาก จขท.ยอมจ่ายเงินทั้งๆที่จขท.เองก็แค่คนกินเงินเดือนธรรมดาๆ เพราะจขท.คิดว่าจขท.จะหาย และทั้งๆที่ร่างกายจขท.ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว และน่าจะได้รับการรักษาจนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ คือไม่ตื่นขึ้นมาปวดหัว คอ บ่าไหล่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ จขท.คงต้องไปหาที่รักษาใหม่และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
กระทู้นี้แค่อยากบอกเล่าเรื่องราวของจขท.ให้คนที่มีอาการป่วยเหมือนจขท. ซึ่งในความเห็นของจขท. จขท.คิดว่าต่อไปถ้าจขท.จะรักษา จขท.ควรจะรักษากับโรงพยาบาลที่มีคอร์สรักษาโรคแบบนี้จะดีกว่า อย่าไปตามคลินิกเอกชนที่โฆษณาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีเครื่องมือดีหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะความสำคัญมันอยู่ที่นักกายภาพที่รักษาให้จขท.ว่าเขามีความเอาใจใส่และมุ่งมั่นจะรักษาให้จขท.หรือไม่ ไม่อย่างนั้น ก็คงมาเจอแบบเคสของจขท.นี่เอง
รีวิวบทเรียนการรักษาโรค Office Syndrome ตามคลินิกเอกชน
จขท.ก็เลยไปพบคุณหมอ และคุณหมอก็บอกว่าต้องออกกำลังกาย และทำกายภาพบำบัดควบคู่ไป จขท.ก็เลยติดต่อน้องนักกายภาพที่ร้านขายเตียงที่เคยบอกว่าเขามีเพื่อนที่อยู่คลินิกรักษาโรคนี้ ให้เขารีเฟอร์ให้จขท.
ก่อนหน้าที่จขท.จะไปคลินิกที่น้องคนนี้แนะนำ จขท.เคยไปรักษาอีกคลิกนิกหนึ่ง ซึ่งเขาก็ทำอัลตราซาวด์ และกระตุ้นด้วยไฟฟ้าให้ แต่ปรากฎว่าจขท.ไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ คอร์สหนึ่งก็2หมื่นกว่าบาท แต่สุดท้ายจขท.ก็ใช้ไม่ครบคอร์ส เนื่องจากสถานการณ์โควิดด้วย และจขท.ก็ไม่รู้สึกว่มันได้ผล คือไม่ค่อยช่วยเลย
พอมาที่คลินิกใหม่ มาพบเพื่อนของน้องนักกายภาพที่ร้านขายเตียง ซึ่งน้องคนนี้ดีมากทีเดียว เอาใจใส่ และคอยดูอาการและแนะนำจขท. แต่แนวคิดการรักษาของน้องนักกายภาพคนนี้คือ เป็นคนเชื่อมั่นว่าการคลายกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดก็คือการนวดแบบหัตถการ ซึ่งจะทำให้นักกายภาพเข้าใจถึงจุดกล้ามเนื้อตึงของร่างกายผู้ป่วยได้ดีที่สุด ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้ช้อคเวฟเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่อยู่ในส่วนที่ลึกเกินกว่าที่การนวดจะใช้ได้ผล คลินิกนี้มีเครื่องช๊อคเวฟที่ราคาแพงมาก และมีอัลตราซาวด์ มีเรเซอร์ มีอุปกรณ์รักษาที่ทันสมัยมาก แน่นอนว่าค่าบริการก็ไม่ถูกเช่น แต่ในใจจขท.คิดแค่ว่า ขอให้หายเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม เพราะมันทรมาณมาก
ผลจากการรักษากับน้องคนนี้ไปทั้งหมด 8-9 ครั้งจากทั้งหมด 13 ครั้ง ได้ผลดีมาก ถึงแม้ว่าการนวดในช่วง 3 ครั้งแรกทรมาณจขท.มาก เพราะเจ็บมากจนแทบจะดิ้นปัดๆอยู่บนเตียง แต่พอครั้งที่ 4 ปรากฎว่าร่างกายจขท.เบาสบายขึ้นมาก และน้องนักกายภาพที่รักษาให้ก็บอกว่าหลังจากนี้ก็ไปทำเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและปรับเปลี่ยนสรีระ อย่างมาก 2 คอร์สก็น่าจะหายแล้ว แต่น่าเสียดายที่น้องเกิดลาออกไปก่อนด้วยเหตุผลส่วนตัว ตัวจขท.เองก็เสียดายมาก แต่น้องก็สัญญาว่าจะบอกน้องที่รับช่วงต่อว่าให้ทำอย่างไร
ผลปรากฎว่าน้องคนใหม่มา แต่น้องคนนี้ไม่ใช่สายนวด เขาเป็นสายเครื่องมือ ดังนั้น เมื่อเขามารับช่วงต่อก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากจะใช้เครื่องช็อคเวฟและอัลตราซาวด์รักษาให้ ซึ่งในตอนแรกจขท.ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แม้ว่าอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อนั้นจะมีอยู่ทุกอาทิตย์ที่มาก็ตาม และเมื่อรักษาแล้วก็ไม่ได้รู้สึกคลายกล้ามเนื้อเท่าไหร่ รักษาไปจนถึง 5 ครั้ง (จขท.ต่อคอร์ส) ปรากฎว่าน้องไม่ได้รีเฟอร์จขท.ให้นักกายภาพ จนในที่สุดจขท.ก็ต้องถามว่าทำไมไม่รีเฟอร์ น้องถึงจะมารีเฟอร์ให้ สุดท้ายน้องคนนี้รักษาคลายกล้ามเนื้อให้จขท.ไปอีก2-3 ครั้ง ก็ลาออก แต่ระหว่างนั้นจขท.ไม่ได้รู้สึกว่าการคลายกล้ามเนื้อด้วยเครื่องมือจะช่วยจขท.ซักเท่าไหร่ ซึ่งก็เคยเปรยๆกับน้องคนนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจ บอกเพียงว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ต่อมาน้องคนใหม่ก็มา สายนี้ก็เป็นสายเดียวกับคนที่ 2 คือ ไม่นวด แต่ใช้เครื่องมือ แต่มีความตั้งใจมากกว่าคนที่ 2 อย่างน้อยจขท.ก็คุยกันสนุกสนานและเขาก็รับฟัง ระหว่างนั้นจขท.ก็เล่าเรื่องการรักษาของน้องคนแรกว่าน่าจะได้ผลดีมาก เพื่อบอกเป็นนัยว่าจขท.ว่าการใช้เครื่องมืออาจจะไม่ใช่แนวทางของจขท. แต่น้องก็อาจจะไม่เข้าใจ และไม่ใช่แนวทางการรักษาของเขา ซึ่งเขาก็บอกจขท.ว่า เขาคิดว่าการรักษาโดยใช้เครื่องมือดีกว่ามาก เพราะไม่ทำให้ระบม และกล้ามเนื้อก็ได้คลายแบบลึกมากกว่าการนวด
ในระหว่างการรักษา ตั้งแต่น้องคนแรก - คนที่สาม จขท.ต่อคอร์สไปทั้งสิ้น 4 คอร์ส เรียกได้ว่าราคาเท่ากับงบที่ตอนแรกจขท.จะซื้อเตียงสั่งตัดทีเดียว การรักษาคลายกล้ามเนื้อควบคู่กับการเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและปรับสรีระ ดูๆไปแล้ว เกือบจะไปถึงจุดมุ่งหมายแล้ว เพราะจขท.ก็ออกกำลังตามท่าที่น้องเทรนเนอร์แนะนำ และคอกับไหล่ของจขท.ก็ยื่นและงุ้มน้อยลง ปรับเข้ามาเกือบจะปกติ เหลือแค่ช่วงล่างที่ต้องทำกายภาพเพื่อให้แข็งแรงแล้วไม่ยืนหลังแอ่น
ผลปรากฎว่าในช่วงต้นปี 65 นี้ โควิดระบาดแรงมาก เดือนกุมภาฯจขท.จึงเว้นการรักษาไป 2 อาทิตย์ ระหว่างนั้นแม้ว่าจะออกกำลังกาย แต่งานก็เข้ามา อีกทั้งยังทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่คือเล่นมือถือ ก็เลยทำให้อาการกำเริบมากขึ้น เริ่มปวดหัว คอและบ่า รวมทั้งเวลานอนแล้ว ปวดไปหมดเหมือนโดนกดทับ ตื่นขึ้นมาก็ปวดคอ บ่า ไหล่ ลามไปถึงแขนและมือ เป็นมากจนต้องวิ่งกลับไปคลายกล้ามเนื้อโดยไม่ขอทำเทรนนิ่ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ในขณะเดียวกันก็เริ่มวงจรอุบาทว์คือการเปลี่ยนหมอนไปม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบ
ในที่สุดจุดพีคก็มาถึงคือ มีวันหนึ่งนอนไม่หลับทั้งคืน ต้องนัดน้องกายภาพขอปรึกษาด่วน และจขท.ก็บอกเขาตามตรงว่า จขท.รู้สึกว่าการรักษาโดยใช้เครื่องมือนั้นไม่ได้ผลสำหรับจขท. เนื่องจากจขท.ไม่ได้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลายเลย แล้วระหว่างอาทิตย์ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา ก็เหมือนมีการสะสมอาการตึงของกล้ามเนื้อ แม้ว่าจขท.จะพยายามออกกำลังด้วยการเหยียดยืด จขท.ให้ความเห็นไปว่าอยากให้เปลี่ยนมาเป็นการรักษาแบบนวดได้หรือไม่ เพราะตอนที่จขท.มาใหม่ๆ อาการหนักกว่านี้ น้องคนแรกยังช่วยจขท.ได้
ที่น่าเสียใจคือ ผจก.ของคลินิกที่มาคุยกับจขท.นั้น ซักถามอาการจขท. และโรคประจำตัว สุดท้ายมาสรุปกับจขท.ว่า บางทีคลินิกของเขาอาจจะรักษาไม่ได้ เพราะโรคของจขท.อาจจะเกิดจากโรคประจำตัวของจขท.หรือไม่ จขท.ก็ชี้แจงไปว่าไม่น่าจะใช่ เพราะโรคนี้ของจขท.มีมาหลายสิบปีแล้ว ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันน่าจะเกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่ช่วงแรกที่จขท.ทำการรักษา แล้วทำไมตอนแรกที่มาเข้าการรักษาจขท.ถึงดีขึ้นได้ และจขท.ก็บอกเขาว่าการที่เขาบอกราแบบนี้ เหมือนกับจะทิ้งจขท.เลย ทั้งๆที่ตอนแรกอาการของจขท.ดีขึ้นจนจขท.มีความหวังมาก และยอมต่อคอร์สเพราะจขท.เชื่อมั่นในตัวคลินิก แต่ทำไมแค่จขท.ขอให้เปลี่ยนแนวทางการรักษาเป็นแบบนวดควบคู่กับเครื่องมือ จึงกลายเป็นว่าอาการของจขท.อาจจะเกิดจากโรคประจำตัวของจขท.ไปแทน
วันนั้นจขท.เลยให้น้องผจก.นวดคอบ่าให้จขท. และบอกเขาว่า ถ้ากลับไปแล้วจขท.ดีขึ้น มันก็จะเป็นข้อพิสูจน์สมมติฐานของจขท.ได้ดี ซึ่งผลปรากฎว่าเป็นแบบที่จขท.คิดจริงๆ คือมันช่วยได้มากเมื่อมีการนวด+เครื่องมือ เพราะวันนั้นกลับมาจขท.นอนหลับดีขึ้น โดยไม่ได้ทานยานอนหลับ
ดังนั้นอาทิตย์ถัดมาจขท.ก็ไปคลายกล้ามเนื้อโดยการนวดกับน้องนักกายภาพคนใหม่ (คนเก่าแรงไม่พอ) แต่ปรากฎว่าเขานวดให้จขท.แค่ประมาณครึ่งชั่วโมง + ใช้เครื่อง รวมแล้วประมาณ 50 นาที จากนั้นเขาก็บอกว่าเสร็จแล้ว จขท.ก็บอกน้องไปว่า ปกติต้องใช้เวลา 1.30-2 ชั่วโมงไม่ใช่หรือ แต่น้องเขาก็ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว
จขท.กลับมาด้วยความรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ มิหนำซ้ำเย็นนั้น แขนจขท.ก็ปรากฎรอยช้ำเขียว ที่เกิดจากการนวดของเขา แต่แน่นอน การนวด+การใช้เครื่องมือ ก็ช่วยจขท.ได้มากขึ้นกว่าการรักษาแบบใช้เครื่องมืออย่างเดียว เพียงแต่เขานวดให้จขท.แค่บ่าไหล่ สะบัก ทั้งๆที่จขท.ต้องนวดคลายตรงช่วงล่างด้วย เนื่องจากมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งเช่นกัน (และน้องผจก.เองก็เป็นคนบอกว่ากล้ามเนื้อพวกนี้มันเชื่อมต่อกัน ซึ่งหากมีส่วนใดที่มีอาการเกร็งเป็นก้อน ก้มีผลกับมัดอื่นๆด้วยเช่นกัน)
จขท.รู้สึกผิดหวังมาก เหมือนกับว่าทางคลินิกทอดทิ้งจขท.ไปแล้ว คือรักษาแบบไปแกนๆ แค่ให้พอจบคอร์ส ไม่ได้สนใจว่าจขท.จะมีอาการทรมาณอย่างไร สิ่งที่น่าเสียใจคือ จขท.ตั้งความหวังกับการรักษานี้มาก จขท.ยอมจ่ายเงินทั้งๆที่จขท.เองก็แค่คนกินเงินเดือนธรรมดาๆ เพราะจขท.คิดว่าจขท.จะหาย และทั้งๆที่ร่างกายจขท.ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว และน่าจะได้รับการรักษาจนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ คือไม่ตื่นขึ้นมาปวดหัว คอ บ่าไหล่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ จขท.คงต้องไปหาที่รักษาใหม่และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
กระทู้นี้แค่อยากบอกเล่าเรื่องราวของจขท.ให้คนที่มีอาการป่วยเหมือนจขท. ซึ่งในความเห็นของจขท. จขท.คิดว่าต่อไปถ้าจขท.จะรักษา จขท.ควรจะรักษากับโรงพยาบาลที่มีคอร์สรักษาโรคแบบนี้จะดีกว่า อย่าไปตามคลินิกเอกชนที่โฆษณาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีเครื่องมือดีหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะความสำคัญมันอยู่ที่นักกายภาพที่รักษาให้จขท.ว่าเขามีความเอาใจใส่และมุ่งมั่นจะรักษาให้จขท.หรือไม่ ไม่อย่างนั้น ก็คงมาเจอแบบเคสของจขท.นี่เอง