เริ่มละสักกายทิฏฐิ เพียงเข้าใจธรรมที่พิจารณา "นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่เป็นตัวตนของเรา" น้อมมาที่กายใจนี้มีสติเป็นปัจจุบันอยู่เนื่องๆ
ก็จะเห็นว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ไม่เป็นตัวตนที่แท้จริงใดๆ เลย เหมือนดังฟองน้ำที่ผุดขึ้นแล้วแตกหายไป เหมือนดังพยับแดดเกิดขึ้นแล้วเลือนหายไป เหมือนดังภาพมายาเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนไป
เพราะ "นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั้นไม่เป็นตัวตนของเรา" คือไม่เป็นตัวตนแท้จริงใดๆ ได้เลย เพียงสักแต่เป็นไปตามเหตุและปัจจัย.
แต่ถ้าเมื่อกิเลสไม่ได้เบาบางลง และยังมีทิฏฐิหนาแน่นเป็นดังป่ารกชัฏ มีอัตตายึดตัวตนเป็นที่ตั้งปล่อยวางได้โดยยาก ก็หมายความว่า ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้นั้นเอง ยังวนเวียนอยู่อย่างนั้นด้วยความไม่รู้
เริ่มละสักกายทิฏฐิ เพียงเข้าใจธรรมที่พิจารณา "นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา" น้อมมาที่กายใจนี้
ก็จะเห็นว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ไม่เป็นตัวตนที่แท้จริงใดๆ เลย เหมือนดังฟองน้ำที่ผุดขึ้นแล้วแตกหายไป เหมือนดังพยับแดดเกิดขึ้นแล้วเลือนหายไป เหมือนดังภาพมายาเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนไป
เพราะ "นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั้นไม่เป็นตัวตนของเรา" คือไม่เป็นตัวตนแท้จริงใดๆ ได้เลย เพียงสักแต่เป็นไปตามเหตุและปัจจัย.
แต่ถ้าเมื่อกิเลสไม่ได้เบาบางลง และยังมีทิฏฐิหนาแน่นเป็นดังป่ารกชัฏ มีอัตตายึดตัวตนเป็นที่ตั้งปล่อยวางได้โดยยาก ก็หมายความว่า ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้นั้นเอง ยังวนเวียนอยู่อย่างนั้นด้วยความไม่รู้