ออกตัวก่อนว่านี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ แต่ก็อยากทราบว่ามีใครคิดเหมือนผมบ้าง
ส่วนตัวเกิดในชนบทเหมือนหลาย ๆ คนครับ ในชนบทผู้คนมีการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันดีตามสภาพความเป็นอยู่
บ้านไหนมีงานก็ช่วย ๆ กัน เช่น บ้านนาย ก มีงานแต่ง บรรดาญาติ ๆ ก็ช่วย ๆ กันเตรียมงาน ช่วยกันฆ่าหมู
บ้านหลังไหนเดือดร้อนก็ช่วย ๆ กัน คนแถวบ้านจะรู้จักกันหมด
แต่การรู้จักกันหมดก็ไม่ได้มีข้อดีอย่างเดียว
มีข้อเสียด้วย คือเวลาจะทำอะไร คนข้างบ้านมักจะถาม และอยากรู้ไปทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี บางทีคนชนบทก็ไม่ค่อยรู้จักเคารพพื้นที่ส่วนตัว
ไม่ค่อยเกรงใจกันเท่าไหร่ ชอบอ้างความเป็นห่วงมาไถ่ถามเรื่องส่วนตัวจนเกินพอดี
หรือถามแบบละลาบละล้วงโดยที่คนถามไม่รู้ว่ามันเป็นมารยาทพื้นฐานที่ไม่ควรถามใคร
เช่น - แฟนเงินเดือนเท่าไหร่ รวยไหม ที่บ้านแฟนทำงานอะไร
- แฟนตัวดำจัง เป็นคนที่ไหน แถวบ้านมีแต่คนผิวดำแบบนี้หรอ
- ทำไมแฟนอ้วนจัง แฟนขาวจังเนอะ เคยโดนแดดไหม
- แฟนเตี้ยจัง
- อื่น ๆ
ถ้าอยู่ในชนบทแบบหมู่บ้าน ถ้าบ้านหลังไหนไม่สุงสิงกับบ้านหลังอื่นก็จะถูกมองว่าแปลก
ถูกมองว่าเข้าถึงยาก คบไม่ได้ หยิ่ง มนุษยสัมพันธ์แย่ และก็จะถูกแบนจากคนในหมู่บ้าน
ซึ่งคนทั่วไปมักลืมไปว่าถึงจะมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านแต่ก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัว หรือยากเงียบสงบบ้างเหมือนกัน
แต่ถ้าใครตั้งใจสร้างบ้านในสวนที่ซึ่งห่างจากหมู่บ้านไกลมาก ๆ อันนี้อีกแบบ
แต่จะมีคนชอบมาถามว่า ไม่เหงาหรอ อยู่ได้ไงบ้านหลังโดด ๆ ไม่กลัวเวลาเป็นอะไรแล้วไม่มีคนเห็นหรอ
ตัวผมเองอยากมีบ้านอยู๋ในชนบทเงียบสงบ แต่ต้องเป็นบ้านสวนเท่านั้น
และต้องห่างไกลจากผู้คน เพราะไม่ชอบความวุ่นวานของคนในหมู่บ้าน
นาน ๆ จะเจอผู้คนที ถ้าใครบังเอิญใครไปไร่ ไปสวนผ่านหน้าบ้านแล้วมาทักทาย แบบนี้โอเค
แต่ถ้ามีบ้านอยู่ในหมู่บ้าน เช่น อยู๋บ้านห้วยจึมจึ๊ บ้านก็สร้างติด ๆ กัน
ทำอะไรคนก็รู้กันทั่วหมู่บ้าน ใครทะเลาะ ใครท้อง ใครมีผัวมีเมีย
ก็ต้องมาคอยตอบคำถามเพื่อนบ้านกันชนเป็นเรื่องปกติ
ทั้งที่บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องบอกใคร หรือคนอื่นก็ไม่ควรมาถามเรา
มีใครรู้สึกว่าอยากมีบ้านอยู่ชนบท แต่ไม่ชอบการใช้ชีวิตแบบนิสัยชาวบ้านชนบทบ้างครับ
ส่วนตัวเกิดในชนบทเหมือนหลาย ๆ คนครับ ในชนบทผู้คนมีการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันดีตามสภาพความเป็นอยู่
บ้านไหนมีงานก็ช่วย ๆ กัน เช่น บ้านนาย ก มีงานแต่ง บรรดาญาติ ๆ ก็ช่วย ๆ กันเตรียมงาน ช่วยกันฆ่าหมู
บ้านหลังไหนเดือดร้อนก็ช่วย ๆ กัน คนแถวบ้านจะรู้จักกันหมด
แต่การรู้จักกันหมดก็ไม่ได้มีข้อดีอย่างเดียว
มีข้อเสียด้วย คือเวลาจะทำอะไร คนข้างบ้านมักจะถาม และอยากรู้ไปทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี บางทีคนชนบทก็ไม่ค่อยรู้จักเคารพพื้นที่ส่วนตัว
ไม่ค่อยเกรงใจกันเท่าไหร่ ชอบอ้างความเป็นห่วงมาไถ่ถามเรื่องส่วนตัวจนเกินพอดี
หรือถามแบบละลาบละล้วงโดยที่คนถามไม่รู้ว่ามันเป็นมารยาทพื้นฐานที่ไม่ควรถามใคร
เช่น - แฟนเงินเดือนเท่าไหร่ รวยไหม ที่บ้านแฟนทำงานอะไร
- แฟนตัวดำจัง เป็นคนที่ไหน แถวบ้านมีแต่คนผิวดำแบบนี้หรอ
- ทำไมแฟนอ้วนจัง แฟนขาวจังเนอะ เคยโดนแดดไหม
- แฟนเตี้ยจัง
- อื่น ๆ
ถ้าอยู่ในชนบทแบบหมู่บ้าน ถ้าบ้านหลังไหนไม่สุงสิงกับบ้านหลังอื่นก็จะถูกมองว่าแปลก
ถูกมองว่าเข้าถึงยาก คบไม่ได้ หยิ่ง มนุษยสัมพันธ์แย่ และก็จะถูกแบนจากคนในหมู่บ้าน
ซึ่งคนทั่วไปมักลืมไปว่าถึงจะมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านแต่ก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัว หรือยากเงียบสงบบ้างเหมือนกัน
แต่ถ้าใครตั้งใจสร้างบ้านในสวนที่ซึ่งห่างจากหมู่บ้านไกลมาก ๆ อันนี้อีกแบบ
แต่จะมีคนชอบมาถามว่า ไม่เหงาหรอ อยู่ได้ไงบ้านหลังโดด ๆ ไม่กลัวเวลาเป็นอะไรแล้วไม่มีคนเห็นหรอ
ตัวผมเองอยากมีบ้านอยู๋ในชนบทเงียบสงบ แต่ต้องเป็นบ้านสวนเท่านั้น
และต้องห่างไกลจากผู้คน เพราะไม่ชอบความวุ่นวานของคนในหมู่บ้าน
นาน ๆ จะเจอผู้คนที ถ้าใครบังเอิญใครไปไร่ ไปสวนผ่านหน้าบ้านแล้วมาทักทาย แบบนี้โอเค
แต่ถ้ามีบ้านอยู่ในหมู่บ้าน เช่น อยู๋บ้านห้วยจึมจึ๊ บ้านก็สร้างติด ๆ กัน
ทำอะไรคนก็รู้กันทั่วหมู่บ้าน ใครทะเลาะ ใครท้อง ใครมีผัวมีเมีย
ก็ต้องมาคอยตอบคำถามเพื่อนบ้านกันชนเป็นเรื่องปกติ
ทั้งที่บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องบอกใคร หรือคนอื่นก็ไม่ควรมาถามเรา