ประสบการณ์ถูกรังแกและดูถูกเหยียดหยามของกะเทยออทิสติกหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ที่แม้จะผ่านไปหลายปี

เราเป็นแค่กะเทยหน้าตาธรรมดาๆคนนึง ที่อาจจะค่อนไปทางขี้เหร่ด้วยซ้ำ แถมยังเป็นออทิสติก แม้จะแค่เล็กน้อยจนใครๆดูไม่ออกแต่ก็เป็นปัญหาในการสื่อสารและเข้าสังคมในระดับนึง ซึ่งในบ้านเราเป็นคนที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ที่สุดในบ้านเลยค่ะ ไม่ว่าจะน้องสาวแท้ หรือจะเป็นลูกพี่ลูกน้องล้วนต่างก็หน้าตาดีกว่าเราทั้งสิ้นจนเรามักจะโดนบูลลี่เรื่องหน้าตามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

นี่คือเรากับน้องสาวแท้ๆ ซึ่งดูแตกต่างกันมากเหมือนไม่ใช่พี่น้องกันเลย
เทียบกับญาติพี่น้องแล้วเราดูกลายเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ เป็นกาในฝูงหงส์ไปในบัดดล

นอกจากเรื่องหน้าตาที่โดนบูลลี่หนักจากคนรอบข้างแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่าคือเรื่องอาการของโรคออทิสติก แม้ว่าเราจะโชคดีที่สามารถบำบัดจนปัจจุบันแทบจะไม่มีใครดูออกเลยว่าเราเป็น แต่สมัยเด็กมันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะทรหดสำหรับเราและพ่อแม่เรามาก สมัยอนุบาล-ประถมเรารับผิดชอบเรื่องการเรียนได้ไม่ดีนักจนพ่อแม่ถึงขั้นต้องไปตามการบ้านเพื่อน อีกทั้งยังโดนกลั่นแกล้งอย่างหนักมาตลอด สมัยประถมอาจจะโชคดีหน่อยที่ยังมีกลุ่มเพื่อนบางคนคอยปกป้องอยู่บ้าง แต่พอจบประถม ช่วง มต้น ถือเป็นช่วงที่ตัวเราเปรียบเสมือนโนบิตะที่ขาดโดเรม่อนเลยก็ว่าได้ เราทั้งดำ ผิวไม่ดี สิวเขรอะ
ด้วยลุคและบุคลิกของเราที่ดูเด๋อๆด๋าๆ เรียบร้อยเกินชาย ทำให้เราถูกเพื่อน รุ่นพี่และรุ่นน้องแทบจะทั้งโรงเรียนรุมทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหนัก หนักยิ่งกว่าสมัยประถมเพราะด้วยความที่เป็นโรงเรียนชายล้วนด้วย ด้วยวิถีของลูกผู้ชายแน่นอนว่าการใช้กำลังอย่างโหดเหี้ยมกับผู้ที่อ่อนแอกว่ามันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว สมัยมต้น บอกได้เลยว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่เจ็บตัวกลับบ้าน ไม่มีวันไหนที่เราไม่นอนร้องไห้ยกเว้นช่วงปิดเทอม การที่เราโดนตบหัว ทุบตีบริเวณร่างกาย โดนจับแก้ผ้า ขโมยหรือพังของใช้ส่วนตัวเป็นเรื่องปกติ เราเป็นกระสอบทรายชั้นดีของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ หนักสุดคือโดนเพื่อนประมาณ 5-6 คนรุมกระทืบ แม้จะไม่ได้ใส่รองเท้าตอนกระทืบเพราะอยู่บนตึกเรียนซึ่งต้องถอดรองเท้า แต่ก็ทำให้เราต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อีกทั้งเพื่อนที่ทำร้ายเรายังเป็นพวกด้านไม้เรียวสุดๆ แม้จะโดนครูตีไปบ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด หลายครั้งที่เราต้องกลับในสภาพสะบักสะบอม ขนาดพ่อแม่เราตามมาเอาเรื่องถึงที่โรงเรียนอยู่หลายครั้งพวกมันก็ยังไม่หยุด แถมยังทำร้ายเราหนักกว่าเดิม พอเราโดนทำร้ายนานๆเข้าก็เกิดความรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเกินที่จะเป็นผู้ชาย ประกอบกับสนิทกับเพื่อนที่เป็นกะเทยซึ่งเป็นกลุ่มเดียวในโรงเรียนที่เข้ากันได้กับเรา (แม้ในภายหลังจะผิดใจกันเพราะความอิจฉาที่เราเห็นว่าเค้าสวยและรวยกว่าก็ตาม) ก็เลยค่อยๆเปลี่ยนเราจนกลายเป็นกะเทยไปในที่สุด (ซึ่งเอาจริงๆเราก็น่าจะเป็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้วเพราะเราสนใจพวกของเล่นเด็กผู้หญิง รองเท้าส้นสูงและเดรสสวยๆ มาตั้งแต่เด็กๆแต่ไม่ได้แสดงออกชัดเจนและไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเป็นยังไงด้วยความเป็นเด็ก) นอกจากนี้การโดนทำร้ายสมัยมต้นทำให้ผลการเรียนเราตกต่ำมากจนเกือบซ้ำชั้นเพราะเอาแต่หมกมุ่นเรื่องเอาตัวรอดจากเพื่อนจนไม่ได้สนใจเรียน อีกทั้งยังไม่มีใครให้เรายืมการบ้านแบบสมัยประถมอีกแล้ว แต่โชคยังดีที่ด้วยความสู้ของเราก็ทำให้เราสามารถจบ ม ต้นมาได้ด้วยเกรดแนวหน้า

หลังจบม ต้นเราก็รู้สึกไม่อยากเครียดกับการเรียนมากจึงเบนเข็มไปสายอาชีพ ช่วงแรกๆ เราก็กลัวเพื่อนๆมากจากประสบการณ์อันเลวร้ายตอน มต้น โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชาย จนกระทั่งเวลาผ่านไป เราก็พยายามปรับตัวจนอยู่ในโรงเรียนได้อย่างมีความสุขกว่าเดิม ได้ทำกิจกรรมของโรงเรียนมากมายแม้หน้าตาเราจะไม่ดีก็ตาม

แต่ การที่เราได้ผ่านกิจกรรมกับทางโรงเรียนมากมายในสมัยปวช-ปวส บวกกับความเจ็บปวดในสมัยมต้นก็แอบสร้างนิสัยเสียๆให้เราอยู่เหมือนกันนะคะ เราทั้งเอาแต่ใจ ขี้เหวี่ยง หิวแสงจนเพื่อนหลายคนต่างก็เอือมระอา บางคนก็แอบแซะว่าหน้าตาขี้เหร่และไม่เจียมกะลาหัว แต่เราก็ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ แต่หลังจากเรียนจบ ปวส ไปกว่า 3 ปี พอนึกย้อนกลับไปก็แอบรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทำนิสัยแย่ๆกับเพื่อนแบบนั้น

หลังจาก จบ ปวส ขึ้น ป ตรี เราก็ปรับปรุงนิสัยใหม่ให้ใจเย็นลง (แต่ก็ยังร้อนอยู่หลายครั้ง) ไม่เหวี่ยงใส่เพื่อนๆและคนใกล้ตัว ด้วยความที่เริ่มทำงานไปด้วยบวกกับวัยที่มากขึ้นแหละค่ะ แม้ว่าอาจจะยังมีคนคอยแซะคอยบูลลี่เรื่องรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวยบ้าง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่นับว่าเราใช้ชีวิตได้คุ้มที่สุดสำหรับเด็กออทิสติกคนนึงซึ่งมีน้อยคนที่สามารถฝ่าฟันมาจนถึงระดับมหาวิทยาลัยได้ เราทั้งได้แต่งตัวไปเรียนตามที่เราอยากจะแต่ง ได้ไปเที่ยวตะลอนๆในที่ๆอยากจะไปอย่างอิสระ โดยเฉพาะในปีสุดท้ายก่อนเรียนจบซึ่งตรงกับช่วงที่ผ่อนคลายโควิดระลอกแรกซึ่งเป็นช่วงที่แม้จะปลอดโควิดแต่ก็ยังมีการเรียนออนไลน์ในบางวิชา การยกคลาสคือสวรรค์ชัดๆ
เราค่อนข้างโชคดีตรงที่เรียนจบก่อนที่โควิดระลอก 3 ซึ่งเป็นสายพันธุ์อังกฤษระบาดในประเทศไทยที่ทำให้ทุกคนตื่นกลัว ก็เลยได้ใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้มค่าสำหรับเด็กออทิสติกคนนึงพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน แล้วก็จบด้วยเกรด 2 ปลายๆแต่ก็ภูมิใจที่ได้ใบปริญญามาประดับฝาบ้าน


ตอนนี้เราก็เรียนจบมาได้เกือบปีแล้ว ถึงแม้ว่าภายนอกเราอาจจะดูเป็นคนโก๊ะๆ น่ารักสดใส แต่ก็มีอยู่แวบหนึ่งเหมือนกันที่ความรู้สึกในสมัยเด็กๆ ที่ไม่ค่อยดีนักเข้ามาในหัวเป็นระยะๆ รวมถึงเรื่องการบูลลี่เรื่องรูปร่างหน้าตาที่ขี้เหร่จากคนในสังคมทุกสังคมที่เราอยู่ทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม แม้เราจะพยายามแต่งตัวแต่งหน้าแบบจัดเต็มเพื่อกลบจุดด้อยที่กลบยังไงก็ไม่มิด พยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่าเราเป็นสาวสองที่สวยมาก แต่ในใจลึกๆเราก็ต้องเตือนตัวเองว่าเรามันก็ขี้เหร่อย่างที่เค้าว่าจริงๆ เราก็พยายามจะลืมมันให้ได้นะ แม้มันจะยากแต่ก็พยายามเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็ลืมไปหมดได้เอง สำหรับเรื่องหน้าที่การงานเราก็ปกติค่ะ ทั้งธุรกิจออนไลน์และธุรกิจของครอบครัว ก็ถือว่ามั่นคงประมาณนึงแต่ก็ไม่ได้หวือหวาอะไร ส่วนเพื่อนๆที่เคยทำร้ายเราน่ะหรอ เราได้ข่าวมาว่าเพื่อนส่วนใหญ่โตขึ้นชีวิตดีกว่าเราอย่างน่าแปลกใจมากๆค่ะ บางคนได้ทำงานบริษัทซึ่งมีรายได้ต่อเดือนมากกว่าเราด้วยซ้ำ บางคนก็ได้เข้าวงการบันเทิง มีอยู่คนนึงตอนนี้เป็นนักแสดงวัยรุ่นค่ายดัง มียอดฟอลไอจีหลักล้านเลย (ขอไม่เปิดเผยชื่อนะคะ) ใจนึงก็แอบคิดว่าทำไมคนพวกนี้ยังไม่ได้รับกรรม แต่อีกใจนึงเราก็คิดว่าจะมาเคียดแค้นทำไมให้มันเผาตัวเราเอง ก็ต้องยินดีกับความสำเร็จของพวกเค้าด้วยเหมือนกัน เพราะเรามั่นใจว่าเค้าก็คงผ่านอะไรมาไม่น้อยถึงได้มาถึงจุดๆนี้ ส่วนชีวิตของเราก็ต้องเดินต่อไปค่ะ life is a runway 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่