เชิญอ่าน...เจาะเส้นทางนักร้อง นักแสดง และความรักของ "สรพงศ์ ชาตรี" (ตอนจบ)

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

ไม่ค่อยเห็นพี่เล่นหนังตลก?
ก็ส่วนมากคนเค้าไม่จ้าง หน้าพี่คงไม่ตลกมั้ง

ใจจริงเคยคิดจะเล่นมั้ยคะ?
ก้อ...ไม่ค่อยคิดนะ น้องเคยดูหนังของบัณฑิต(ฤทธิ์ถกล)มั้ย คาดเชือก ด้วยเกล้า เค้าทำดีมาก แล้วประสบผลสำเร็จมั้ย แต่เขามาประสบความสำเร็จในกลุ่มบุญชู คนทำดีแล้วไม่ได้ดีหยั่งเงี้ยะ รู้สึกยังไง

ก็เสียดายแทน
แล้วเป็นเพราะอะไร ความผิดของเค้าหรือความผิดของคนดู บางคนชอบว่าผู้กำกับหนังไทยชอบทำอะไรไร้สาระ แต่ความไร้สาระนำมาซึ่งเงินทองที่เขาจะอยู่ได้ ถ้าเขาทำหนังดีแล้วเจ๊งจะทำยังไง

พี่ว่าคนในสังคมบ้านเรายังต่างระดับกันมาก พี่ว่าการศึกษามันต่างกัน ความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม มันเลยทำให้หนังไทยยุ่งไปหมด เอาใจทางไหนก็ไม่ได้

เหตุนี้พี่จึงลงไปเล่นหนังบู๊ระดับชาวบ้าน?
ก็เอาใจกลางแปลง แต่ในเมืองเค้าไม่ดูว่าเป็นหนังห่วย แล้วผู้สร้างหนังรายใหญ่ที่ทำหนังอาร์ตก็หยุดตัว กลุ่มซูโม่เต็มเมือง นี่ยอมรับพี่สู้พวกนี้ไม่ได้ เพราะคาแรกเตอร์พี่ไม่ใช่ พี่อยู่ในกลุ่มบู๊ แอ็คชั่น หรือหนังอาร์ต อยู่ในกลุ่มท่านมุ้ย-สุรสีห์(ผาธรรม) พูดง่าย ๆ ท่านมุ้ยเจ๊ง สุรสีห์เจ๊ง พี่ก็เจ๊งไปด้วย

ไม่คิดสร้างคาแรกเตอร์ขึ้นมาเสริม?
เออ น้องจะเอาพวกมาลอน แบรนโดมาเป็นหนังตลกอเมริกัน มันไม่ใช่นะ พี่มันฝังลึกน่ะ ถึงจะยอมรับว่า โอ๊ย ศิลปินต้องทำได้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง แต่จะทำดีทุกอย่างหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่มั้ย มีความรู้สึกอย่าง ทำได้ อยากให้ทำอะไรก็ทำได้ สากกะเบือยันเรือรบ แต่มันจะดีอยู่อย่างเดียว พี่ว่าอย่างนั้นนะ

ถ้าหมดยุคผู้สร้างแนวนี้แล้ว จะทำยังไงล่ะคะ?
ก้อ เราคงเป็นผู้สร้างที่เราชอบ แบบของเรา

หมายความว่าจะลงมาสร้างเอง?
ก็ไม่แน่นะ ไม่แน่ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากสร้าง ไม่อยากคิดทำอะไรแล้ว อยู่เฉย ๆ เคยสร้างเรื่องมือปืน ด้วยเงินตัวเอง คือมีผู้สร้างก่อน เอาเงินเขามาสองล้าน พี่กะว่าจบ แต่มันไม่จบ พี่เลยลงไปอีก 2 ล้าน แต่กำกับนี่ไม่เคย ช่วงจังหวะเราไม่ดี พอเราอยากเป็นผู้กำกับ เศรษฐกิจหนังไทยมันก็ตก แล้วถ้าพี่ออกไปกำกับตอนนี้ พี่คงทำได้แบบห่วย ๆ เพราะมันไม่มีเงินน่ะ กำกับหนังก็ต้องมีเงิน ไม่มีเงิน ต่อให้มีสมองก็ทำไม่ได้ ถ้าเราทำตามนโยบายนายทุนที่เขาอยากให้ทำ มันก็ทำไม่ได้ ถ้าทำหนังดีไม่ได้ ไม่ทำดีกว่า อยู่เฉย ๆ ไม่เปลืองตัว ใครล่ะจะไปยอมยืนบอกหน้าโรง ผมทำหนังห่วยเพราะไม่มีเงิน ใครเขาจะเชื่อ


เออ...เคยได้ยินบ้างมั้ยคะ มีคนบอกว่าพี่เจ้าชู้?
ก็ไม่รู้ พี่ก็ไม่เคยนี่ เคยเห็นพี่ไปจีบใครมั้ย ก็แล้วคนที่บอกว่าพี่เจ้าชู้ ไปถามหน่อยว่าพี่เคยจีบเค้ามั้ย พี่ก็ไม่รู้ว่าคนเจ้าชู้คือคนยังไง คิดดู คนอย่างพี่มีลูกมีเมียแล้ว จะไปบอกพี่ยังไม่มี เขาจะเชื่อมั้ย ทุกคนต้องใช้สมองของตัวเอง เขาจะชอบเราก็ต้องมีจุดว่าชอบเพราะอะไร ใช่มั้ย?

เรื่องที่มีข่าวกับนางเอกต่าง ๆ ล่ะคะ?
ก็คนข่าวเขาเขียนข่าว แต่พี่ไม่เคยให้ข่าว พี่ก็ไม่รู้ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นนะ พี่ทอดผ้าป่าทอดกฐินก็ไม่เห็นเป็นข่าว แต่เวลาพี่ไปกินข้าวกับผู้หญิง ซึ่งคนอื่นก็ไปกินกันเยอะแยะไปนะ พี่ไปมีอะไรกับผู้หญิง คนอื่นเขาก็มี แต่ที่พี่เป็นข่าวก็เพราะเขาคงพอขายข่าวได้มั้ง เรียกร้องความสนใจ คนอื่นเขาอาจมีอะไรกับนางเอกอื่น เขาก็เป็นข่าวเหมือนกัน ก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่ บางคนบอกทำไมพี่ไม่แก้ข่าว ก็พี่ไม่ได้ให้ข่าว พี่จะไปแก้ทำไม

พี่ก็ไม่ได้ทำอะไรแปลกกว่าคนอื่น หรือปกปิด ไม่มีใครเคยเห็นเลยว่าสรพงศ์ไปนอนกับผู้หญิงคนนั้นเห็น ๆ เลย ไม่มีใครยืนยัน ถึงนอนมันก็เรื่องของเรา โอเค. เราก็ไม่ได้ไปปล้ำ ไปข่มขืนคนอื่นเขาก็นอนกันเยอะแยะไป ก็ไม่ผิดอีก ไม่เห็นมีอะไรน่าซีเรียสเลย จริงมั้ย

แล้วเคยมีสาวมาติดบ้างมั้ยคะ?
ไม่มี พี่ไม่ใช่คนที่หล่อเหลาเอาการประเภทนั้น พี่ไม่ใช่พระเอกหนังที่ขายความหล่อ พี่ขายความจริง ขายความเป็นอาร์ต ส่วนมากคนที่ชื่นชมพี่ จริง ๆ แล้วเค้าก็มีสมองนะ คนที่ดูหนังพี่เขาจะมี ไม่ชอบตัวบุคคล เขาจะชอบหนัง แฟนสรพงศ์เป็นอย่างนั้น

งั้นมีงานเยอะ ๆ แบบนี้ พี่แบ่งเวลาให้ครอบครัวยังไงคะ?
ส่วนมากจะเอาไปเลยนะ จะเอาไปกองถ่ายด้วย

ขอโทษนะคะ ถ้าจะถามว่าพี่มีสองบ้าน...
ไม่มีนะ พี่มีบ้านเดียว อยู่บ้านเดียว นอนบ้านเดียว ตั้งแต่ไหน ๆ มาก็ไม่เคยไปนอนบ้านใคร มีบ้านเดียว...

คือจะถามว่าพี่มีเมียสองคนแล้วไปนอนสองบ้านใช่มั้ย ไม่นะ ตอนนั้นกับพี่โยน่ะ ก็มีลูกด้วยกัน แต่พี่ก็ไม่ได้ไปอยู่ ตอนหลังก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย ไม่เคยอยู่บ้านเดียวกัน พี่อยู่บ้านนี้ตลอด ถือว่ามีบ้านนี้บ้านเดียว

แล้วน้องขวัญล่ะคะ?
ก็เจอนะ พี่ไม่ได้เลี้ยง พี่สาวพี่เป็นคนเลี้ยง เอาไปอยู่ด้วย...

เค้าก็รักพี่ บางทีนาน ๆ เจอกันที เพราะพี่ไม่ได้อยู่กับเขา เออ...มีป้าเค้าเป็นตัวแทนอย่างวันเกิดพี่ก็ไม่ค่อยได้ไปร่วม มาไม่ทันบ้าง ถ่ายหนังอยู่ต่างจังหวัดบ้าง

แล้วมีหลักในการดำเนินชีวิตยังไงบ้างคะ?
ก็ไม่มีหลักอะไรนี่ ไม่ค่อยมีหลักการอะไร ถ้ามีงานก็ทำไป สบายใจ อยากทำอะไรก็ทำ วันไหนอยากวิ่งก็วิ่ง วันไหนเหนื่อยก็ไม่ฝืน เพราะเราไม่ใช่นักแข่งมาราธอน

ตอนนี้ทุกอย่างก็อยู่ตัวแล้ว ก็พยายามรักษาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้เหลือไว้ เพื่อเป็นดอกเป็นผลให้ลูกหลานได้เรียนต่อ แล้วก็มาหาบ้าง ถ้ามีโอกาส ไม่ใช่ปล่อยโอกาส ได้มาก็แบ่งเป็นสามส่วนเพื่อครอบครัว เลี้ยงตัวเอง แล้วก็ทำบุญทำกุศลบ้าง

หลักในการทำงานล่ะคะ?
คือถ้าพี่จะทำอะไรแล้ว ต้องชอบ (เน้นคำ) แล้วจะต้องศึกษาพอสมควร แล้วก็มักจะทำจริง พี่มักทำจริงเพราะว่าพี่ไม่ได้ทำหลายอย่าง จะสังเกตว่าพี่เล่นหนังตั้งแต่อายุ 20 มีอยู่อาชีพเดียวจะเจ็บปวด เจ็บแค้นยังไง แดดจะร้อนจะอยู่ในเลนอยู่ในโคลน อยู่ในป่าเงี่ยะ รักที่จะให้ออกมาดี อาจเป็นเพราะชอบ เหมือนนักมวย จะโดนเตะ โดนต่อย โดนซ้อม เขาก็รัก เพราะเราชอบ เขาทนได้ ถ้าให้พี่นั่งเฉย ๆ แล้วให้เอาเงินเดือนไปเดือนละหมื่นสองหมื่น ก็ไม่เอา

ถ้ามีเวลาว่างแล้ว ส่วนมากจะทำอะไรคะ?
เวลาว่างเย็น ๆ จะวิ่ง อยู่บ้าน เล่นกับลูก ๆ 3-4 ทุ่มก็ขึ้นนอน ดูทีวี อ่านหนังสือ พี่ไม่เที่ยว เจอควันไม่ได้เป็นโรคแสบตา

แต่ถ้าว่างแทนที่พี่จะเข้าเมือง พี่จะออกข้างนอกเพราะชีวิตพี่ตั้งแต่ 20 ก็ถ่ายหนังอยู่ต่างจังหวัดตลอด ก็ติด ถ้าพี่เข้าเมือง พี่อาจต้องทำเก๊ก ต้องทำตัวหล่อ ถ้าไม่หล่อแล้วคนโน้นว่างั้นว่างี้ แต่พี่เข้าไร่ไปถึงนุ่งกางเกงขาก๊วย ใส่รองเท้าเดินไปในไร่ ใส่หมวกหรือเอาผ้าขาวม้าคลุมหัว ไม่ต้องไปทำหล่อให้ใครดู นอนตรงไหนก็ได้ นั่นล่ะคือพี่

พี่เชื่อเรื่องดวงบ้างมั้ยคะ?
ไม่เชื่อนะ เพราะว่าไม่เคยมีใครมาดูดวงว่าเราจะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เชื่อจังหวะชีวิต เชื่อกรรมมากกว่า

เคยมีหมอดูนะบอกว่าพี่ 44 แล้วจะสบาย ปัจจุบัน 40 แล้ว แต่ยังมองไม่เห็นทางเลย

ถ้ารวยขึ้นมาจริง ๆ อย่างคำหมอดู จะทำยังไงต่อไปล่ะคะ?
ถ้ารวยก็จะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวัดเยอะ ๆ เพราะว่าช่วง 40 ปีที่อยู่มาพี่ไม่ค่อยได้ทำบุญ จากนี้ไปอีก 40 ปี พี่จะมีอายุถึง 83 ปี คือเคยเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิชชั่น ถ้าไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ หมอว่าพี่จะมีอายุถึง 83 ก็ตีซะ 75 55 คงบวชแล้ว คือให้ลูกเรียนจบหมดก่อน พี่อยากบวช หรืออาจจะก่อน 60 คิดว่าช่วงนั้น ลูกคงไม่ได้อยู่กับเราแล้วล่ะ เขาต้องมีครอบครัว จะไปหวังพึ่งเขาตอนนั้นก็ไม่ได้ ช่วงนั้นเราต้องช่วยตัวเอง

พี่มีทุกอย่างแล้ว ชื่อเสียงเงินทอง ตุ๊กตาทองก็ได้ ตอนนี้ก็มีแต่ทรงกับทรุด แล้วจะเอาอะไรดีไปกว่านี้ เราก็คงไม่ได้หวังไปถึงขนาดนั้น โอกาสไม่อำนวยด้วย ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็เล่นมาหมดแล้วนี่ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

“นั่นนะซิ แม้แต่เทปเพลงของตัวเองก็ยังมีเลย...ก็ขอเอาใจช่วยให้โชคดีนะคะ”

(คัดลอกจากบทสัมภาษณ์ในคอลัมน์ จับตาผ่าใจ, ตีพิมพ์ในนิตยสาร "แก้ว" ปีที่ 3 ฉบับที่ 67, มกราคม 2533)

- - - - - - - - - - สวัสดี. - - - - - - - - - -
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่