(คัดลอกจากบทสัมภาษณ์ในคอลัมน์ จับตาผ่าใจ, ตีพิมพ์ในนิตยสาร "แก้ว" ปีที่ 3 ฉบับที่ 67, มกราคม 2533)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เมื่อ “สรพงศ์” คว้าไมค์อีกคน
ปี 2533..."สรพงศ์ ชาตรี" ก็ยังคงความเป็นดารายอดนิยม เป็นขวัญใจของใครต่อใครมาได้นานถึง 20 ปี
ปี 2533...สรพงศ์ ก็ยังนักแสดงที่มีความสามารถโดดเด่น จนสามารถเล่นบทอะไรก็ได้ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ตามวลีที่ติดปากเขาเสมอ (รวมถึงเล่นหนังให้กรรมการต่างชาติดู)
และปี 2533...สรพงศ์ ชาตรี ยังหวนกลับสู่ถิ่นเก่า ด้วยการก้าวมาเล่นละครอีกครั้ง หลังร้างราจอแก้วไปนาน
และไม่ว่าจะเป็นการตามสมัยนิยมหรือไม่ก็ตาม ในปีนี้อีกเช่นกัน ที่ทำเนียบนักร้องใหม่ ก็...จะมีชื่อของ “สรพงศ์ ชาตรี” ขึ้นทะเบียนไว้...อีกหนึ่งคน
“แก้ว” ก็ได้โอกาสมา “จับตาผ่าใจ” พระเอกยอดนิยมคนนี้ หลังจากที่หมายตาไว้นาน ตั้งแต่มีข่าวนักแสดงเจ้าบทบาทผู้นี้เริ่มเซ็นสัญญา และหนังเรื่อง “คนเลี้ยงช้าง” ก็กำลังเตรียมตัวไปชิงรางวัลออสการ์ ในเดือนมีนาคมนี้...
ใครชักชวนให้มาร้องเพลงคะ?
จริง ๆ พี่ไม่ได้ซีเรียสกับมันมากนักนะเรื่องร้องเพลง ตอนแรกคิดว่าเป็นการพูดกันเล่น ๆ ตัวเองก็ไม่อยากร้อง คิดว่าคุณภาพคงไม่ดีพอ พอดีตอนนั้นพี่ไปถ่ายหนังที่แพร่ แล้วก็เลยไปพะเยา ตอนนั้นพี่อึดอัด ทำหนังไม่จบ คนเลี้ยงช้างก็เลยให้ท่านดู ท่านก็ว่ามันไม่ค่อยสว่าง มันทึบ ๆ ถ้าได้ทำเทปแล้วมันจะเปิด (หัวเราะฮา) เราถามเรื่องหนัง ท่านพูดขึ้นมาเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก ท่านบอก ถ้าสรพงศ์ได้ร้องเพลงดวงจะดีนะ พี่บอกผมร้องไม่ได้หรอก คุณภาพไม่ถึงไปเอาเงินเขา ท่านก็บอกว่า ทำอะไรก็ตามแต่ ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์นะ มันก็น่าจะประสบความสำเร็จ
การเลือกค่ายเทปล่ะคะ?
พี่ก็ได้คุยกับคุณประชา ช่อง 3 แกก็ชวน แต่พี่เห็นว่าพี่เหมาะกับอาร์เอส คือเราดูที่ความสามารถและแฟนเราอยู่ตรงไหน ช่วงนี้ในกรุงเทพฯ การแข่งขันมาก ใคร ๆ ก็ลงกรุงเทพฯ พี่ก็ไปหาแฟนเดิมที่อยู่ต่างจังหวัด ตัวนี้เหมาะกับพี่โดยอาร์เอส
ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นดารา-นักร้องไปแล้ว?
คือตัวนั้นเรา...เราก็ขายความเป็นสรพงศ์ล่ะ คือสรพงศ์นี่มีอยู่แล้ว 50% แต่พวกนักแต่งเพลงเขาจะรวมให้อีก 50% อย่าง ลพ บุรีรัตน์, แอ๊ด คาราบาว, เสก ผจก.วงซูซู มองสรพงศ์ว่าเป็นคนยังไง แล้วเขาเอามาประมวล พี่เอกเป็นคนลักษณะกลาง สามารถเล่นหนังลูกทุ่งก็ได้ สามารถเล่นหนังอาร์ตประกวดให้กรรมการระดับด็อกเตอร์ดูได้ งั้นเพลงของพี่เอกจึงแบ่งเป็นงานอาร์ตบ้าง ระดับชาวบ้านบ้าง คือให้เขาฟังได้ รับได้ ไม่ใช่อาร์ตหมด แล้วคนแต่งเป็นคนต่างจังหวัด เค้าย่อมรู้ใจคนต่างจังหวัดด้วยกัน พี่จะไม่ให้คนกรุงเทพฯ แต่งเพลงให้อะไรอย่างนั้น
ตั้งชื่อชุดหรือยังคะ?
ยังฮะ อันนี้เป็นเรื่องของบริษัท
กำหนดวางล่ะคะ?
มันทำมาตั้ง 6-7 เดือนแล้วนะ ทำดนตรีคือพี่เปลืองห้องอัดบ้าง คนอื่นอาจเข้าไปร้องได้เลย แต่พี่ต้องเข้าถึง 3 ครั้ง คือพี่ไม่สามารถร้องครั้งเดียวได้ เพราะยังไม่ค่อยมีอารมณ์กับเพลง
เตรียมตัวก่อนเข้าห้องอัดอยู่นานมั้ยคะ?
6 เดือน คือพี่โชคดีที่ร้องสตริงก็ได้ ลูกทุ่งก็ได้ กะว่าเดือนมีนาจะต้องออกโปรโมท ไปตามอำเภอแล้วค่อยเข้ามากรุงเทพฯ ทีหลัง
แนวเพลงล่ะคะ เป็นยังไง?
เพลงของพี่ก็ไม่เหมาะที่จะเต้น เพราะพี่ไม่ใช่วัยรุ่นหวือหวา ก็ต้องมาดูว่าเขาอยากดูอะไรจากสรพงศ์ พี่ไว้หนวดไว้เคราได้มั้ย เขาว่าไม่หล่อ ก็ต้องหล่อบ้างเป็นบางครั้ง ข้อสำคัญต้องสนุก
20 ปีที่อยู่ในวงการ เราต้องดูตัวนี้ด้วย ยิ้มหน่อย สรพงศ์ยิ้มหน่อย เอ้า อยากดูก็ยิ้มเท่านั้นเอง ต้องฟังเสียงแฟน ๆ
เพลงพี่ถ้าทำเป็นลูกทุ่งไปเลย โอเค.ถือว่าติดดิน แล้วถ้าเกิดไม่สำเร็จในชุดแรก แล้วชุดที่สองจะหนีไปไหน หนีสูงขึ้นมาได้มั้ย ถ้าเราทำกลาง ๆ ไว้ พอชุดนี้คนวิจารณ์ว่าเฮ้ย มันกลางว่ะ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ อยู่กลาง ๆ ดี เป็นตัวทดลองด้วย
ส่วนด้านสีสันพูดถึงตัวพี่เอกนะ ว่าพี่เอกทำอะไร ลูกทุ่งนี่ส่วนมากเนื้อร้องหรือทำนองจะประยุกต์มาจากลิเก ใช่มั้ย แต่ทำนองของพี่ไม่ใช่ลักษณะนั้น คือมันไม่ใช่ จะว่าลูกทุ่งหรืออะไรพี่ก็ไม่รู้ว่าลูกอะไร เหมือนกับที่หนังสือเค้าบอกว่า การที่พี่มาเล่นละครคือการที่พี่ตกแล้วใช่มั้ย พระเอกหนังสมัยก่อนมาเล่นละคร เพราะไม่มีหนังใหญ่ทำงานแล้ว แล้วพี่ถามว่าเวลานี้ใครดัง เค้าก็บอกฉัตรชัยก็ดัง พงษ์พัฒน์ก็ดัง แสดงว่าพวกนี้ตกมานานแล้วซิ แซมนี่ตกมานานแล้วใช่มั้ย
การเริ่มเป็นนักร้องตอนนี้ไม่ช้ากว่าคนอื่นหรือคะ?
พี่ไม่ได้คิดถึงแง่เงินทอง พี่คิดถึงว่าพี่เสร็จงานคนเลี้ยงช้างที่พี่เครียดแล้ว พี่อยากทำอะไรที่มันสบายใจ อยากจะทำ กว่าพี่จะได้เงินเดือนพฤษภานะ กว่าเทปจะขาย มกรา กุมภา มีนา เมษา แล้วเทปจะขายได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ก็อยากจะทำ อย่างพี่ไปเล่นละครทีวี พี่ก็ไม่ได้เรียกค่าตัว ถ้าผมเรียกแล้วไม่ได้ตามนี้ ก็จะไม่สบายใจกัน เอาเป็นว่าคุณแดงจัดมาให้ก็แล้วกันเพราะพี่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ใช่มั้ย แฟนพี่เค้าก็ทำงาน เค้าก็เลี้ยงพี่ได้ (ฮา) ใช่มั้ย เพียงแต่ทำงานหนักมามาก เครียดมามาก ปีนึงก็อุทิศให้กับงานที่เครียด พี่ก็มาหาจ๊อบเบา ๆ ผ่อนคลาย
ทำไมเพิ่งมาคิดรับละครช่วงนี้ล่ะคะ?
ที่จริงพี่ก็เล่นละครมาตั้งนานแล้วนะ ตั้งแต่ 2511 แต่ช่วงที่พี่เล่นหนังพี่ก็ยังไม่เล่น พี่ยังไม่พร้อม ยังไม่เจอเรื่องที่ถูกใจ สมัยก่อนเห็นว่าละครเป็นเรื่องของผู้หญิงเสนอเรื่อง เพราะว่าไม่ลงทุน พูดกันง่าย ๆ ถ่ายแต่ในบ้าน พอมาระยะหลังละครลงทุนมากขึ้น เหมือนหนัง พี่ก็ติดหนังคือเล่นหนังจะไม่ค่อยพูด พูดอะไรก็คำเดียวรู้เรื่องเลย พี่ก็พยายามเลือกที่เป็นการแสดงล้วน ๆ แล้วพูดน้อยลง ไม่ต้องมานั่งคิด
ไม่จำกัดบทบาทของตัวเองเกินไปหรือคะ?
ก็หมายความว่า พี่ค่อนข้างถนัดด้านนี้ หนังยืนพูดมันธรรมดาสำหรับพี่ พี่เล่นมาก่อน มันเรื่องง่าย แต่มันก็ดูตลาดนะ เล่นทูตมรณะก็ได้แฟนผู้ชายเยอะ แต่ถ้าเล่นหนังแบบผัว ๆ เมีย ๆ เนี่ยะแม่บ้านกับคนใช้จะชอบ เห็นมั้ยเราต้องดูตลาดว่าเราจะเอากลุ่มไหน
จงใจยึดกลุ่มนี้ก่อน?
ช่วงนี้พี่ต้องเอากลุ่มนี้ก่อน เพราะพี่ยังไม่พร้อมที่จะเล่นน้ำเน่า เรื่องหน้าพี่จะลงน้ำเน่าคือพูดง่าย ๆ ตามประสาชาวบ้านว่าน้ำเน่าแล้วจะฮิตนะ ประเภทนางเอกอมสากไม่พูด พระเอกโง่ ตัวอิจฉาอิจฉาลูกเดียว ชาวบ้านชอบ
รู้ว่าน้ำเน่าแล้วทำไมยังมาลงเล่นล่ะคะ?
เออ...เพื่อความสะใจของเขา สังเกตมั้ยว่าบ้านทรายทองเขียนเมื่อ 2492 ปีที่พี่เอกเกิด เอามาเล่นอีกคนดูมั้ย เพราะเขาชอบ เขายังอยากฝัน
ก็แล้วแต่คน มันต้องแยกกลุ่มระดับ พี่ทำหนังมาทุกระดับ เล่นหนังมาทุกระดับ เรื่องชาวบ้านอย่างช่าวเขาเถอะ เก็บรายได้ 9 ล้าน แต่หนังท่านมุ้ยดี ๆ เนี่ย ยังไม่เคยได้ 9 ล้านเลย แล้วว่าคนดูอะไรล่ะ แหม บางคนพูด ทำไมน้ำเน่า ทำไมศิลปะ อย่างโง้นอย่างงี้ ก็ลองมาทำซิ พี่น่ะลองมาแล้วทุกอย่าง ทุกด้าน
อยู่ในวงการมาตั้งนานนี่ มีวิธีรักษาระดับตัวเองยังไงเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?
ก็ไม่มีนะ มันเป็นธรรมดาแหละ เออ...อยู่ที่จังหวะชีวิต ไม่มีใครเก่งตลอดหรอก ไม่ใครทำหนังได้เงินสิบล้านทุกเรื่อง พี่ว่ามันเป็นโอกาสใครโอกาสมัน แบบ...สมบัติผลัดกันชมนะ
แต่พี่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเพราะพี่ไม่ใช่ดาราหน้าปกหรือดาราสังคม พี่อยากให้คนพูดถึงช่วงที่พี่ทำงานแล้วเขาไปดู แล้ววิจารณ์ตรงนั้นดีไม่ดี อย่างคนเลี้ยงช้าง พี่ตั้งใจทำหนึ่งปีเท่าที่โอกาสจะอำนวย คนถามว่าดีมั้ย ผมบอกผมก็ชอบนะ แต่คุณดูคุณอาจไม่ชอบก็ได้ คือเรามาพูดถึงตัวงานกันดีกว่า
ตั้งแต่เล่นหนังมาเจอเรื่องที่ถูกใจหรือยังคะ?
ก็ยังนะ ยังไม่ที่สุด ยังไม่เจอด้วย คิดว่ามัน...อู๊ย ใครคงนึกพี่เล่นหนังมา 21 ปี คงสบายไม่ต้องซ้อมแล้ว ไม่จริง บางเที่ยวพี่ก็ต้องซ้อมกว่า 50 ครั้ง เล่นจริงอีก 15 ครั้ง อยากให้มันดีเข้าใจมั้ย คือความรับผิดชอบของพี่จะสูงขึ้น ต้องระวังตัว หัวหงอกแล้วต้องทำได้ดีกว่านี้
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป สวัสดี.)
เชิญอ่าน...เจาะเส้นทางนักร้อง นักแสดง และความรักของ "สรพงศ์ ชาตรี" (ตอนแรก)
ปี 2533..."สรพงศ์ ชาตรี" ก็ยังคงความเป็นดารายอดนิยม เป็นขวัญใจของใครต่อใครมาได้นานถึง 20 ปี
ปี 2533...สรพงศ์ ก็ยังนักแสดงที่มีความสามารถโดดเด่น จนสามารถเล่นบทอะไรก็ได้ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ตามวลีที่ติดปากเขาเสมอ (รวมถึงเล่นหนังให้กรรมการต่างชาติดู)
และปี 2533...สรพงศ์ ชาตรี ยังหวนกลับสู่ถิ่นเก่า ด้วยการก้าวมาเล่นละครอีกครั้ง หลังร้างราจอแก้วไปนาน
และไม่ว่าจะเป็นการตามสมัยนิยมหรือไม่ก็ตาม ในปีนี้อีกเช่นกัน ที่ทำเนียบนักร้องใหม่ ก็...จะมีชื่อของ “สรพงศ์ ชาตรี” ขึ้นทะเบียนไว้...อีกหนึ่งคน
“แก้ว” ก็ได้โอกาสมา “จับตาผ่าใจ” พระเอกยอดนิยมคนนี้ หลังจากที่หมายตาไว้นาน ตั้งแต่มีข่าวนักแสดงเจ้าบทบาทผู้นี้เริ่มเซ็นสัญญา และหนังเรื่อง “คนเลี้ยงช้าง” ก็กำลังเตรียมตัวไปชิงรางวัลออสการ์ ในเดือนมีนาคมนี้...
จริง ๆ พี่ไม่ได้ซีเรียสกับมันมากนักนะเรื่องร้องเพลง ตอนแรกคิดว่าเป็นการพูดกันเล่น ๆ ตัวเองก็ไม่อยากร้อง คิดว่าคุณภาพคงไม่ดีพอ พอดีตอนนั้นพี่ไปถ่ายหนังที่แพร่ แล้วก็เลยไปพะเยา ตอนนั้นพี่อึดอัด ทำหนังไม่จบ คนเลี้ยงช้างก็เลยให้ท่านดู ท่านก็ว่ามันไม่ค่อยสว่าง มันทึบ ๆ ถ้าได้ทำเทปแล้วมันจะเปิด (หัวเราะฮา) เราถามเรื่องหนัง ท่านพูดขึ้นมาเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก ท่านบอก ถ้าสรพงศ์ได้ร้องเพลงดวงจะดีนะ พี่บอกผมร้องไม่ได้หรอก คุณภาพไม่ถึงไปเอาเงินเขา ท่านก็บอกว่า ทำอะไรก็ตามแต่ ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์นะ มันก็น่าจะประสบความสำเร็จ
การเลือกค่ายเทปล่ะคะ?
พี่ก็ได้คุยกับคุณประชา ช่อง 3 แกก็ชวน แต่พี่เห็นว่าพี่เหมาะกับอาร์เอส คือเราดูที่ความสามารถและแฟนเราอยู่ตรงไหน ช่วงนี้ในกรุงเทพฯ การแข่งขันมาก ใคร ๆ ก็ลงกรุงเทพฯ พี่ก็ไปหาแฟนเดิมที่อยู่ต่างจังหวัด ตัวนี้เหมาะกับพี่โดยอาร์เอส
ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นดารา-นักร้องไปแล้ว?
คือตัวนั้นเรา...เราก็ขายความเป็นสรพงศ์ล่ะ คือสรพงศ์นี่มีอยู่แล้ว 50% แต่พวกนักแต่งเพลงเขาจะรวมให้อีก 50% อย่าง ลพ บุรีรัตน์, แอ๊ด คาราบาว, เสก ผจก.วงซูซู มองสรพงศ์ว่าเป็นคนยังไง แล้วเขาเอามาประมวล พี่เอกเป็นคนลักษณะกลาง สามารถเล่นหนังลูกทุ่งก็ได้ สามารถเล่นหนังอาร์ตประกวดให้กรรมการระดับด็อกเตอร์ดูได้ งั้นเพลงของพี่เอกจึงแบ่งเป็นงานอาร์ตบ้าง ระดับชาวบ้านบ้าง คือให้เขาฟังได้ รับได้ ไม่ใช่อาร์ตหมด แล้วคนแต่งเป็นคนต่างจังหวัด เค้าย่อมรู้ใจคนต่างจังหวัดด้วยกัน พี่จะไม่ให้คนกรุงเทพฯ แต่งเพลงให้อะไรอย่างนั้น
ตั้งชื่อชุดหรือยังคะ?
ยังฮะ อันนี้เป็นเรื่องของบริษัท
กำหนดวางล่ะคะ?
มันทำมาตั้ง 6-7 เดือนแล้วนะ ทำดนตรีคือพี่เปลืองห้องอัดบ้าง คนอื่นอาจเข้าไปร้องได้เลย แต่พี่ต้องเข้าถึง 3 ครั้ง คือพี่ไม่สามารถร้องครั้งเดียวได้ เพราะยังไม่ค่อยมีอารมณ์กับเพลง
เตรียมตัวก่อนเข้าห้องอัดอยู่นานมั้ยคะ?
6 เดือน คือพี่โชคดีที่ร้องสตริงก็ได้ ลูกทุ่งก็ได้ กะว่าเดือนมีนาจะต้องออกโปรโมท ไปตามอำเภอแล้วค่อยเข้ามากรุงเทพฯ ทีหลัง
แนวเพลงล่ะคะ เป็นยังไง?
เพลงของพี่ก็ไม่เหมาะที่จะเต้น เพราะพี่ไม่ใช่วัยรุ่นหวือหวา ก็ต้องมาดูว่าเขาอยากดูอะไรจากสรพงศ์ พี่ไว้หนวดไว้เคราได้มั้ย เขาว่าไม่หล่อ ก็ต้องหล่อบ้างเป็นบางครั้ง ข้อสำคัญต้องสนุก
20 ปีที่อยู่ในวงการ เราต้องดูตัวนี้ด้วย ยิ้มหน่อย สรพงศ์ยิ้มหน่อย เอ้า อยากดูก็ยิ้มเท่านั้นเอง ต้องฟังเสียงแฟน ๆ
เพลงพี่ถ้าทำเป็นลูกทุ่งไปเลย โอเค.ถือว่าติดดิน แล้วถ้าเกิดไม่สำเร็จในชุดแรก แล้วชุดที่สองจะหนีไปไหน หนีสูงขึ้นมาได้มั้ย ถ้าเราทำกลาง ๆ ไว้ พอชุดนี้คนวิจารณ์ว่าเฮ้ย มันกลางว่ะ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ อยู่กลาง ๆ ดี เป็นตัวทดลองด้วย
ส่วนด้านสีสันพูดถึงตัวพี่เอกนะ ว่าพี่เอกทำอะไร ลูกทุ่งนี่ส่วนมากเนื้อร้องหรือทำนองจะประยุกต์มาจากลิเก ใช่มั้ย แต่ทำนองของพี่ไม่ใช่ลักษณะนั้น คือมันไม่ใช่ จะว่าลูกทุ่งหรืออะไรพี่ก็ไม่รู้ว่าลูกอะไร เหมือนกับที่หนังสือเค้าบอกว่า การที่พี่มาเล่นละครคือการที่พี่ตกแล้วใช่มั้ย พระเอกหนังสมัยก่อนมาเล่นละคร เพราะไม่มีหนังใหญ่ทำงานแล้ว แล้วพี่ถามว่าเวลานี้ใครดัง เค้าก็บอกฉัตรชัยก็ดัง พงษ์พัฒน์ก็ดัง แสดงว่าพวกนี้ตกมานานแล้วซิ แซมนี่ตกมานานแล้วใช่มั้ย
การเริ่มเป็นนักร้องตอนนี้ไม่ช้ากว่าคนอื่นหรือคะ?
พี่ไม่ได้คิดถึงแง่เงินทอง พี่คิดถึงว่าพี่เสร็จงานคนเลี้ยงช้างที่พี่เครียดแล้ว พี่อยากทำอะไรที่มันสบายใจ อยากจะทำ กว่าพี่จะได้เงินเดือนพฤษภานะ กว่าเทปจะขาย มกรา กุมภา มีนา เมษา แล้วเทปจะขายได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ก็อยากจะทำ อย่างพี่ไปเล่นละครทีวี พี่ก็ไม่ได้เรียกค่าตัว ถ้าผมเรียกแล้วไม่ได้ตามนี้ ก็จะไม่สบายใจกัน เอาเป็นว่าคุณแดงจัดมาให้ก็แล้วกันเพราะพี่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ใช่มั้ย แฟนพี่เค้าก็ทำงาน เค้าก็เลี้ยงพี่ได้ (ฮา) ใช่มั้ย เพียงแต่ทำงานหนักมามาก เครียดมามาก ปีนึงก็อุทิศให้กับงานที่เครียด พี่ก็มาหาจ๊อบเบา ๆ ผ่อนคลาย
ทำไมเพิ่งมาคิดรับละครช่วงนี้ล่ะคะ?
ที่จริงพี่ก็เล่นละครมาตั้งนานแล้วนะ ตั้งแต่ 2511 แต่ช่วงที่พี่เล่นหนังพี่ก็ยังไม่เล่น พี่ยังไม่พร้อม ยังไม่เจอเรื่องที่ถูกใจ สมัยก่อนเห็นว่าละครเป็นเรื่องของผู้หญิงเสนอเรื่อง เพราะว่าไม่ลงทุน พูดกันง่าย ๆ ถ่ายแต่ในบ้าน พอมาระยะหลังละครลงทุนมากขึ้น เหมือนหนัง พี่ก็ติดหนังคือเล่นหนังจะไม่ค่อยพูด พูดอะไรก็คำเดียวรู้เรื่องเลย พี่ก็พยายามเลือกที่เป็นการแสดงล้วน ๆ แล้วพูดน้อยลง ไม่ต้องมานั่งคิด
ไม่จำกัดบทบาทของตัวเองเกินไปหรือคะ?
ก็หมายความว่า พี่ค่อนข้างถนัดด้านนี้ หนังยืนพูดมันธรรมดาสำหรับพี่ พี่เล่นมาก่อน มันเรื่องง่าย แต่มันก็ดูตลาดนะ เล่นทูตมรณะก็ได้แฟนผู้ชายเยอะ แต่ถ้าเล่นหนังแบบผัว ๆ เมีย ๆ เนี่ยะแม่บ้านกับคนใช้จะชอบ เห็นมั้ยเราต้องดูตลาดว่าเราจะเอากลุ่มไหน
จงใจยึดกลุ่มนี้ก่อน?
ช่วงนี้พี่ต้องเอากลุ่มนี้ก่อน เพราะพี่ยังไม่พร้อมที่จะเล่นน้ำเน่า เรื่องหน้าพี่จะลงน้ำเน่าคือพูดง่าย ๆ ตามประสาชาวบ้านว่าน้ำเน่าแล้วจะฮิตนะ ประเภทนางเอกอมสากไม่พูด พระเอกโง่ ตัวอิจฉาอิจฉาลูกเดียว ชาวบ้านชอบ
รู้ว่าน้ำเน่าแล้วทำไมยังมาลงเล่นล่ะคะ?
เออ...เพื่อความสะใจของเขา สังเกตมั้ยว่าบ้านทรายทองเขียนเมื่อ 2492 ปีที่พี่เอกเกิด เอามาเล่นอีกคนดูมั้ย เพราะเขาชอบ เขายังอยากฝัน
ก็แล้วแต่คน มันต้องแยกกลุ่มระดับ พี่ทำหนังมาทุกระดับ เล่นหนังมาทุกระดับ เรื่องชาวบ้านอย่างช่าวเขาเถอะ เก็บรายได้ 9 ล้าน แต่หนังท่านมุ้ยดี ๆ เนี่ย ยังไม่เคยได้ 9 ล้านเลย แล้วว่าคนดูอะไรล่ะ แหม บางคนพูด ทำไมน้ำเน่า ทำไมศิลปะ อย่างโง้นอย่างงี้ ก็ลองมาทำซิ พี่น่ะลองมาแล้วทุกอย่าง ทุกด้าน
อยู่ในวงการมาตั้งนานนี่ มีวิธีรักษาระดับตัวเองยังไงเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?
ก็ไม่มีนะ มันเป็นธรรมดาแหละ เออ...อยู่ที่จังหวะชีวิต ไม่มีใครเก่งตลอดหรอก ไม่ใครทำหนังได้เงินสิบล้านทุกเรื่อง พี่ว่ามันเป็นโอกาสใครโอกาสมัน แบบ...สมบัติผลัดกันชมนะ
แต่พี่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเพราะพี่ไม่ใช่ดาราหน้าปกหรือดาราสังคม พี่อยากให้คนพูดถึงช่วงที่พี่ทำงานแล้วเขาไปดู แล้ววิจารณ์ตรงนั้นดีไม่ดี อย่างคนเลี้ยงช้าง พี่ตั้งใจทำหนึ่งปีเท่าที่โอกาสจะอำนวย คนถามว่าดีมั้ย ผมบอกผมก็ชอบนะ แต่คุณดูคุณอาจไม่ชอบก็ได้ คือเรามาพูดถึงตัวงานกันดีกว่า
ตั้งแต่เล่นหนังมาเจอเรื่องที่ถูกใจหรือยังคะ?
ก็ยังนะ ยังไม่ที่สุด ยังไม่เจอด้วย คิดว่ามัน...อู๊ย ใครคงนึกพี่เล่นหนังมา 21 ปี คงสบายไม่ต้องซ้อมแล้ว ไม่จริง บางเที่ยวพี่ก็ต้องซ้อมกว่า 50 ครั้ง เล่นจริงอีก 15 ครั้ง อยากให้มันดีเข้าใจมั้ย คือความรับผิดชอบของพี่จะสูงขึ้น ต้องระวังตัว หัวหงอกแล้วต้องทำได้ดีกว่านี้