== Breathless (1960) เมื่อฉันทำเรื่องร้ายๆกับคุณได้ นั่นหมายความว่าฉันไม่ได้รักคุณ...==



มิเชลอาชญากรหนุ่ม ลักเล็กขโมยน้อย ชิงทรัพย์วิ่งราวทำหมดอะไรก็ได้ที่เป็นมิจฉาชีพเจ้าตัวไม่เลือกทั้งนั้น 
แต่วันนึงหลังขโมยรถยนต์คนอื่นมา มิเชลดันไปสังหารตำรวจที่ติดตามตัวเขา นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องหนีหัวซุกหัวซุน 
แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเข็ดสักเท่าไหร่



มิเชลเข้ามาในปารีสอีกครั้งเพื่อพบกับ แพทริเซีย นักศึกษาสาวอเมริกันที่มาฝึกงานที่ New York Herald Tribune ..
เจ้าตัวพยายามเกลี้ยกล่อมให้แพทริเซียไปใช้ชีวิตกับเขาที่อิตาลี (ก็คือกะจะหนียาวๆไปเลยล่ะ) 
แพทริเซียลังเลอยู่ว่าตัวเองจะเอาอย่างไรต่อไปดี...



Breathless (ในชื่อฝรั่งเศส: À bout de soufflé...) เป็นภาพยนตร์แนวอาชญากรรม 
เขียนบทและกำกับโดย Jean-Luc Godard 1 ในหนังที่สร้างแรงกระเพื่อมและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามมา
เหมือนเป็นแม่แบบให้กับวงการภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน (French New Wave)



French New Wave คือแนวการทำหนังรูปแบบใหม่ ฉีกกฎเดิมๆ ของหนังสมัยก่อน 
มีความกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆมากมาย ในยุค 1950 การรวมกันของคนรักหนังที่ไม่มีทุนมากนัก 
แน่ล่ะทำแบบแหวกแนวสมัยนั้นก็ยากที่จะหานายทุนที่พร้อมจะให้การสนับสนุน 
ซึ่งตัวของ Jean-Luc Godard ผู้กำกับเรื่องนี้ คือ 1 ในผู้ที่เป็นผู้นำของคลื่นลูกนี้



ด้วยการดึงดูดความสนใจอย่างมากด้วยสไตล์ภาพที่โดดเด่น.. การใช้การตัดต่อแบบกระโดด (Jump Cut) ที่ไม่ธรรมดา.. 
การหันหน้ามาคุยกับกล้อง.. รวมถึงการถ่ายแบบ Hand-Held ที่ทำให้คนดูเหมือนได้ติดตามตัวละครตังนั้นแบบใกล้ชิด 
องค์ประกอบต่างๆทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งเงินทั้งกล่อง หลังจากที่ลงทุนไปเพียงแค่ 80,000 เหรียญสหรัฐฯเท่านั้น



แวบนึงผมมีความรู้สึกเข้ามาว่ามีบางอย่างของความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ที่คล้ายๆกับ Bonnie and Clyde มหาโจรยุค 1930 ของสหรัฐฯ 
แต่ก็แค่นั้นล่ะครับ ไม่ได้อะไรหรอก มันคงเป็นชั่วขณะที่การกระทำของแพทริเซีย 
ที่ทำให้ผมนึกไปถึงตัวของบอนนี่ในช่วงเวลาที่คลั่งไคล้ในทุกการกระทำของไคลด์แฟนหนุ่มอย่างมาก 
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องผิดมหันต์ยังไงก็ตามที



ที่สิ่งที่คล้ายและมันทัชใจคนดูก็คือคาแรคเตอร์ครับ หาก Bonnie and Clyde คือตัวแทนของความอิสระเสรี (ในทางร้าย) 
ของคนรุ่นใหม่หลังยุคเศรษฐกิจถดถอยของอเมริกาช่วงปี 1930 
ด้านของ มิเชล กับ แพทริเซีย ก็กลายเป็น Iconic ของวัยรุ่นที่มาได้จังหวะพอเหมาะพอเจาะอย่างยิ่ง
ในยุคบุปผาชนเบ่งบาน (เริ่มทศวรรษที่ 60) ในเรื่องของเสรีภาพในการดำรงชีวิตที่ไม่ยึดติดกับกรอบ ขนบธรรมเนียมประเพณี 
ซึ่งคาแรคเตอร์ที่ว่าของมิเชลนั้น มันโดดเด่นมากในเรื่องความเป็นอิสระ (แต่ไม่เป็นแนวฮิปปี้) 
จนทำให้วัยรุ่นฝรั่งเศสในช่วงนั้นทำท่าทางยียวนคล้ายๆกับมิเชลกันไปหมด (ต้องไปดูเองว่า คาแรคเตอร์ของมิเชลนั้นเป็นยังไง)



เอาจริงตัวมิเชลที่นำแสดงโดย Jean-Paul Belmondo เขาไม่ได้ดูหล่อเลยนะครับ 
แต่เจ้าตัวมีเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี 
ตัวของมิเชลเป็นโจรกระจอกชิงทรัพย์ไม่เลือกไม่ว่าจะอะไร ใช้ชีวิตโดยไม่มีจุดหมาย 
(ซึ่งเราจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรของเขาที่ผ่านมาทั้งสิ้น) จนกระทั่งมาเจอกับแพทริเซียนางเอกของเรา 
อารมณ์มิเชลจึงเหมือนกับว่าอยากหยุดทุกอย่างไว้ที่เธอคนนี้ล่ะ



ขณะที่แพทริเซีย (รับบทโดย Jean Seberg นักแสดงสาวสวยชาวอเมริกันที่จากไปก่อนวัยอันควรในปี 1979 อายุเพียงแค่ 40 เท่านั้น) 
หญิงสาวสวยผู้โดนมิเชลตกเข้าให้ แพทริเซียเป็นนักเขียนสาว (ขายหนังสือพิมพ์ด้วย) ที่มีความฝัน มีความมั่นใจสูง 
เป้าหมายในชีวิตก็แรงกล้า ซึ่งต่างจากมิเชลราวฟ้ากับเหว แพทริเซียมีอนาคตที่ดีรออยู่แน่ ส่วนมิเชลมืดมิดแทบไม่มีอะไรดี



ผมว่าคนที่เรียนทางด้านภาพยนตร์น่าจะได้ชมหนังเรื่องนี้กันทุกคนนะครับ 
เพราะถือว่าเป็น 1 ในภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งเป็นรากฐานของวงการหนังในยุคต่อๆมา 
และที่สำคัญก็คือมันมีนัยยะต่างๆ ซ่อนอยู่ให้ไปขยายความกันอีกเพียบ 
โดยฉากที่ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับผมมีหลายฉากเหลือเกินที่อยากพูดถึง ทั้งการถ่ายทำภาพมุมสูง
ในช่วงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ณ กรุงปารีสเวลานั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับคนนี้ทำได้จริงๆ 
ปัจจุบันนี้ไม่มีทางที่ใครจะทำแบบนั้นได้แน่ เพราะมันเสี่ยงมาก (ไปดูเองว่าเหตุการณ์ที่ว่าคืออะไร)



รวมถึงฉากสนทนาพาทีระหว่างมิเชลกับแพทริเซียในห้องนอนที่ต่างฝ่ายต่างพูดถึงความต้องการ ความสนใจของตน 
ซึ่งมันก็ดูเหมือนประโยคที่คนรักกันพูดกันโดยปกติไม่ได้แปลกอะไร
แต่ที่มันเด็ดก็คือฉากที่ว่านั้น Godard แค่บรีฟกับนักแสดงทั้งสองให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร ..
และที่เหลือคือไม่มีบทครับ!! ทุกอย่างด้นสดและก็ปล่อยให้มันไหลลื่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการเทคเลย
เรียกได้ว่าสวมวิญญาณเป็นคนคนนั้นจริงๆ!! 



นี่ยังไม่นับความดีงามของฉากต่างๆในกรุงปารีสย้อนไปเมื่อ 65 ปีที่แล้ว เราได้เห็นบ้านเมืองของเขาเวลานั้น 
อีกทั้งการแต่งตัว สไตล์ต่างๆที่ดูแล้วมันเท่ห์เหลือเกินสมเป็นเมืองแห่งแฟชั่น 
รวมถึงใบปิดหนังที่อาร์ตและสวยมาก ควรค่าที่คนรักหนังจะเอาไปติดฝาบ้านอย่างยิ่ง.. 
จึงไม่แปลกใจเลยที่ผลการสำรวจคนในยุคหลังจากนั้นไม่ว่าจะสถาบันไหนก็ต่างยกให้ Breathless 
เป็น 1 ในหนังอาชญากรรมที่คลาสสิคและดีที่สุดเรื่องนึงเท่าที่โลกนี้เคยมีมา



อ้อ.. ส่วนประโยคที่ผมใช้บนหัวกระทู้ จริงๆคิดนานนะครับว่าจะเอาความหมายของชื่อเรื่องตรงๆเลยดีมั้ย 
แต่ประโยคนี้มันโดนใจผมเหลือเกิน เลยขอยกไว้เป็นหัวเรื่องเลยล่ะกัน ต้องไปดูเอาว่ามันเป็นอะไรยังไง อยากให้ได้ชมจริงๆ ครับ ^^ 

เพราะหนังมันฝังใจ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่