คุณพ่อท่านหนึ่งเขียนว่า เขาขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิตให้ลูกชายเมื่อ 11 ปีที่แล้ว
ลูกถูกวินิจฉัยเป็นออทิสติกแบบแอสเพอร์เกอร์ ซึ่งเพียงแค่ปีแรกที่พวกเขาขับสารปรอทไป
ศาสตาจารย์ที่โรงพยาบาลเด็กบอกกับพวกเขาว่าลูกน่าจะเข้าสู่เกณฑ์หายจากโรคออทิซึมแล้ว
ในตอนแรกที่ลูกชายถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก มันเหมือนเขาติดอยู่ข้างในสมองของตัวเอง
ซึ่งตอนนั้นเขาเตรียมใจไว้แล้วว่าเขาจะต้องดูแลลูกชายไปตลอดชีวิต แต่ในตอนนี้ลูกชายเขาอายุ 20 แล้ว
ออกไปเรียนที่วิทยาลัยที่ห่างไกลจากบ้าน 700 ไมล์เหมือนกับเด็กทั่วไปได้
เคสที่สามนี้เป็นเรื่องราวสั้น ๆ นะครับ ไม่ได้อธิบายยืดยาวเหมือน 2 คนก่อนหน้านี้
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ตัวพ่อแม่เองควรอ่านหนังสือให้ละเอียดก่อนที่จะเริ่มต้นรักษา
เป็นเพราะเราจะได้รู้ข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ว่าที่ทำไปทำเพราะอะไร
และเพราะตัวพ่อแม่เองไม่ได้รักษาแบบเดียวกับของแพทย์ จึงต้องอ่านให้รู้ว่าเหตุผลเพราะอะไร
มีคำเตือน หรือสิ่งที่ต้องระวังอะไรบ้าง ทำให้ปลอดภัยไม่มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นครับ
ตัวผมเองก็ต้องอ่านและเช็คข้อมูลก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะปลอดภัย
เนื่องจากมันเป็นทฤษฎีที่ขัดแย้งกับการรักษาแบบเมนสตรีม
เราจึงจำเป็นต้องเน้นดูที่เหตุผลและคำอธิบายหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงประกอบ
ซึ่งนั่นทำให้ตัวผมเองมั่นใจได้ว่า สาเหตุของโรคเกิดจากสารพิษโลหะหนักปรอทและยีสต์แคนดิด้า
พ่อแม่แต่ละคนจึงควรอ่านเพื่อให้รู้ว่ามันน่าจะใช่จริงหรือไม่ สมเหตุสมผลหรือไม่
และตัดสินใจด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่เพราะมีคนอื่นมาบอกให้เราฟังแล้วเชื่อตาม
เรื่องราวความสำเร็จของพ่อแม่คนอื่น อาจช่วยให้เรามาสนใจในวิธีนี้
แต่อย่างไรก็ดี เราก็ควรศึกษาว่าที่ทำ ทำไปเพื่ออะไร มันมีกลไกอย่างไร
มันสมเหตุสมผลหรือไม่ มันมีข้อมูลอ้างอิงอย่างไร มาจากใครบ้าง
เพราะส่วนใหญ่ที่เราไปรักษา อย่างผมเมื่อสมัยก่อนก็จะไป รพ.ใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ
เพราะมีหมอเก่ง ๆ หรือ ถ้าหาหมอทางเลือกอื่น ๆ เช่น อยากไปฝังเข็ม ก็จะไปตามที่ ๆ เขาแนะนำ
ว่าหมอมีความน่าเชื่อถือ หรือ ถ้าไปสะกดจิต เพราะตอนนั้นเชื่อว่าการสะกดจิตจะช่วยรักษาโรคติกส์ได้
เราก็ไปรักษากับหมอที่ดูน่าเชื่อถือและมีชื่อเสียง และมีตัวอย่างของคนที่หาย
แต่สุดท้ายแล้ว หมอที่น่าเชื่อถือเหล่านั้น ก็รักษาลูกของเราไม่ได้
(ซึ่งเราก็เสียดายเงินอยู่ครับ เพราะเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร)
สุดท้ายแล้ว เพื่อให้ตัวเราแน่ใจมากขึ้นว่ามันจะไม่เปล่าประโยชน์ที่จะทำ
ไม่ทำไปแล้วเปลืองเงินโดยไม่ได้อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ทำไปแล้วเสี่ยงกับลูก
ผมก็ต้องหันมาอ่านหนังสือ อ่านงานวิจัยต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
และคอยเช็คข้อมูลที่คนอื่นแนะนำหรือที่หมอพูดอยู่เสมอ
การรักษาด้วยการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต
และการรักษาไมโครไบโอมเพื่อป้องกันร่างกายจากยีสต์
สำหรับผมเป็นวิธีที่อ่อนโยนกับร่างกายมากที่สุด และช่วยให้ร่างกายเข้มแข็งขึ้น
เพราะระบบต่าง ๆ ในร่างกายสามารถกลับมาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตามกลไกต่าง ๆ ที่มันเคยเสียหายหรือใช้ไม่ได้ ระดับการติดเชื้อลดลงหรือแทบไม่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มรักษาแรก ๆ
จนตอนนี้บ้านเราไม่ได้ป่วยมานานมากแล้วครับ ทั้งลูกชายที่อายุจะสิบขวบแล้ว กับลูกสาวคนเล็กที่อายุ 6 ขวบ
อย่างไรก็ดี เราจะไม่เข้าใจเลยว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร เรื่องของระดับการอักเสบและระดับการติดเชื้อ
กลไกการขับสารพิษในร่างกาย สารตัวไหนที่เหมือนร่างกายขาด หรือนำเข้าไปแล้วใช้ไม่ได้
อาหารอะไรที่คนปกติกินได้ แต่ลูกเราจะแพ้ ภูมิต้านตนเอง (อันนี้สำคัญมาก)
และเรื่องอื่น ๆ ที่มีความสัมพันกันทั้งหมด
มันจะไม่ได้แยกเป็นส่วน ๆ แยกขาดจากกันเหมือนกับการรักษาของแพทย์
มันมีข้อมูลในงานวิจัยเรื่องสมองและลำไส้กับการเกิดโรคเยอะมาก แต่ยังไม่ได้ถูกเอามาใช้ในการรักษาเลย
เพราะมันเป็นลักษณะแบบองค์รวม ไม่ได้เป็นลักษณะแบบกินยารักษาตามอาการ
บวกกับการเป็นโรคที่มีรายละเอียดเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและสุขภาพทางกาย
ที่คนเลี้ยงจะสังเกตเห็นได้มากที่สุด
มันจึงเหมาะกว่าสำหรับพ่อแม่ที่จะรักษาลูกเองครับ
ไปดูกันว่าเขาหายจาก [โรคออทิสติก] ได้ยังไง ? 3
ลูกถูกวินิจฉัยเป็นออทิสติกแบบแอสเพอร์เกอร์ ซึ่งเพียงแค่ปีแรกที่พวกเขาขับสารปรอทไป
ศาสตาจารย์ที่โรงพยาบาลเด็กบอกกับพวกเขาว่าลูกน่าจะเข้าสู่เกณฑ์หายจากโรคออทิซึมแล้ว
ในตอนแรกที่ลูกชายถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก มันเหมือนเขาติดอยู่ข้างในสมองของตัวเอง
ซึ่งตอนนั้นเขาเตรียมใจไว้แล้วว่าเขาจะต้องดูแลลูกชายไปตลอดชีวิต แต่ในตอนนี้ลูกชายเขาอายุ 20 แล้ว
ออกไปเรียนที่วิทยาลัยที่ห่างไกลจากบ้าน 700 ไมล์เหมือนกับเด็กทั่วไปได้
เคสที่สามนี้เป็นเรื่องราวสั้น ๆ นะครับ ไม่ได้อธิบายยืดยาวเหมือน 2 คนก่อนหน้านี้
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ตัวพ่อแม่เองควรอ่านหนังสือให้ละเอียดก่อนที่จะเริ่มต้นรักษา
เป็นเพราะเราจะได้รู้ข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ว่าที่ทำไปทำเพราะอะไร
และเพราะตัวพ่อแม่เองไม่ได้รักษาแบบเดียวกับของแพทย์ จึงต้องอ่านให้รู้ว่าเหตุผลเพราะอะไร
มีคำเตือน หรือสิ่งที่ต้องระวังอะไรบ้าง ทำให้ปลอดภัยไม่มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นครับ
ตัวผมเองก็ต้องอ่านและเช็คข้อมูลก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะปลอดภัย
เนื่องจากมันเป็นทฤษฎีที่ขัดแย้งกับการรักษาแบบเมนสตรีม
เราจึงจำเป็นต้องเน้นดูที่เหตุผลและคำอธิบายหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงประกอบ
ซึ่งนั่นทำให้ตัวผมเองมั่นใจได้ว่า สาเหตุของโรคเกิดจากสารพิษโลหะหนักปรอทและยีสต์แคนดิด้า
พ่อแม่แต่ละคนจึงควรอ่านเพื่อให้รู้ว่ามันน่าจะใช่จริงหรือไม่ สมเหตุสมผลหรือไม่
และตัดสินใจด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่เพราะมีคนอื่นมาบอกให้เราฟังแล้วเชื่อตาม
เรื่องราวความสำเร็จของพ่อแม่คนอื่น อาจช่วยให้เรามาสนใจในวิธีนี้
แต่อย่างไรก็ดี เราก็ควรศึกษาว่าที่ทำ ทำไปเพื่ออะไร มันมีกลไกอย่างไร
มันสมเหตุสมผลหรือไม่ มันมีข้อมูลอ้างอิงอย่างไร มาจากใครบ้าง
เพราะส่วนใหญ่ที่เราไปรักษา อย่างผมเมื่อสมัยก่อนก็จะไป รพ.ใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ
เพราะมีหมอเก่ง ๆ หรือ ถ้าหาหมอทางเลือกอื่น ๆ เช่น อยากไปฝังเข็ม ก็จะไปตามที่ ๆ เขาแนะนำ
ว่าหมอมีความน่าเชื่อถือ หรือ ถ้าไปสะกดจิต เพราะตอนนั้นเชื่อว่าการสะกดจิตจะช่วยรักษาโรคติกส์ได้
เราก็ไปรักษากับหมอที่ดูน่าเชื่อถือและมีชื่อเสียง และมีตัวอย่างของคนที่หาย
แต่สุดท้ายแล้ว หมอที่น่าเชื่อถือเหล่านั้น ก็รักษาลูกของเราไม่ได้
(ซึ่งเราก็เสียดายเงินอยู่ครับ เพราะเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร)
สุดท้ายแล้ว เพื่อให้ตัวเราแน่ใจมากขึ้นว่ามันจะไม่เปล่าประโยชน์ที่จะทำ
ไม่ทำไปแล้วเปลืองเงินโดยไม่ได้อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ทำไปแล้วเสี่ยงกับลูก
ผมก็ต้องหันมาอ่านหนังสือ อ่านงานวิจัยต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
และคอยเช็คข้อมูลที่คนอื่นแนะนำหรือที่หมอพูดอยู่เสมอ
การรักษาด้วยการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต
และการรักษาไมโครไบโอมเพื่อป้องกันร่างกายจากยีสต์
สำหรับผมเป็นวิธีที่อ่อนโยนกับร่างกายมากที่สุด และช่วยให้ร่างกายเข้มแข็งขึ้น
เพราะระบบต่าง ๆ ในร่างกายสามารถกลับมาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตามกลไกต่าง ๆ ที่มันเคยเสียหายหรือใช้ไม่ได้ ระดับการติดเชื้อลดลงหรือแทบไม่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มรักษาแรก ๆ
จนตอนนี้บ้านเราไม่ได้ป่วยมานานมากแล้วครับ ทั้งลูกชายที่อายุจะสิบขวบแล้ว กับลูกสาวคนเล็กที่อายุ 6 ขวบ
อย่างไรก็ดี เราจะไม่เข้าใจเลยว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร เรื่องของระดับการอักเสบและระดับการติดเชื้อ
กลไกการขับสารพิษในร่างกาย สารตัวไหนที่เหมือนร่างกายขาด หรือนำเข้าไปแล้วใช้ไม่ได้
อาหารอะไรที่คนปกติกินได้ แต่ลูกเราจะแพ้ ภูมิต้านตนเอง (อันนี้สำคัญมาก)
และเรื่องอื่น ๆ ที่มีความสัมพันกันทั้งหมด
มันจะไม่ได้แยกเป็นส่วน ๆ แยกขาดจากกันเหมือนกับการรักษาของแพทย์
มันมีข้อมูลในงานวิจัยเรื่องสมองและลำไส้กับการเกิดโรคเยอะมาก แต่ยังไม่ได้ถูกเอามาใช้ในการรักษาเลย
เพราะมันเป็นลักษณะแบบองค์รวม ไม่ได้เป็นลักษณะแบบกินยารักษาตามอาการ
บวกกับการเป็นโรคที่มีรายละเอียดเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและสุขภาพทางกาย
ที่คนเลี้ยงจะสังเกตเห็นได้มากที่สุด
มันจึงเหมาะกว่าสำหรับพ่อแม่ที่จะรักษาลูกเองครับ