รู้จักกับ "การสเตอริไลซ์" พร้อมแนะนำวิธีการ สเตอริไลซ์ขวดและโหลสำหรับถนอมอาหาร
ก่อนอื่นเลย มารู้จัก การสเตอริไลซ์ (Sterilization) กันก่อน 👌🏻
เป็นการใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 100°C ภายใต้ความดัน ในกรณีของเครื่องฆ่าเชื้อภายใต้ความดันที่ใช้ไอน้ำเป็นตัวกลางในการให้ความร้อนที่ 121.1°C มีค่าความดันประมาณ 15 psi (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และ จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสีย ซึ่งโดยทั่วไปการใช้อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ๆ ย่อมสามารถทำลายจุลินทรีย์ได้มาก สำหรับอาหารนั้นเราไม่สามารถใช้ความร้อนปริมาณสูงมาก ๆ ได้ เนื่องจากจะทำให้สูญเสียคุณภาพของผลิตภัณฑ์
👉🏻 การฆ่าเชื้อแบบสเตอริไลซ์ (Sterilization) เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และทำให้อาหารเน่าเสีย ซึ่งปริมาณความร้อนที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารจะอยู่ในระดับที่เรียกว่า การฆ่าเชื้อเชิงการค้า (Commercial sterilization) หลักการของการฆ่าเชื้อแบบการค้า คือ การให้ความร้อนแก่อาหารในปริมาณเพียงพอที่จะทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และยับยั้งไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียเจริญได้ เนื่องจากไม่ได้ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดแบบที่ใช้ในการฆ่าเชื้อทางการแพทย์ อาหารที่ผ่านการแปรรูปในระดับการฆ่าเชื้อเชิงการค้าอาจยังมีแบคทีเรียทนร้อน (Thermophiles) หลงเหลืออยู่ แต่ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากอาหารถูกเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องหรือต่ำกว่า 45°C แบคทีเรียทนร้อนจึงไม่งอก และไม่เพิ่มจำนวนที่ทำให้อาหารเน่าเสีย
❝ การใช้ความร้อน เป็นกระบวนการหนึ่งที่นำความร้อน ณ อุณหภูมิหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง ที่สามารถฆ่าและทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการเน่าเสียของอาหาร จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค สารพิษ พยาธิ แมลงและเอ็นไซม์ต่าง ๆ ในการแปรรูปและถนอมรักษาอาหาร ❞
▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾
แนะนำวิธีการ สเตอริไลซ์ขวดและโหลสำหรับถนอมอาหารกันดีกว่า!
ผลไม้ ผัก และเนื้อสามารถเก็บได้นานหากมีการเตรียมและบรรจุเก็บอย่างถูกวิธี การฆ่าเชื้อด้วยวิธีการสเตอริไลซ์โหลและขวดก่อนบรรจุอาหารเป็นสิ่งสำคัญเพื่อไม่ให้อาหารปนเปื้อนแบคทีเรีย ทำได้ดังนี้
👉🏻 ส่วนที่ 1 การเตอริไลซ์ขวดและโหล
1.) เลือกโหลแก้วและขวดแก้วที่เหมาะสม ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้วนิรภัยและปราศจากรอยแตกร้าว และเช็คแน่ใจว่าฝาของแต่ละขวดปิดได้สนิทดี
▸ โหลที่ใช้ควรมีฝาปิดชนิดเป็นเกลียว มีแผ่นรองฝาเรียบแบนพร้อมปะเก็นยางกันรั่ว ตัวฝาเกลียวสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้แต่แผ่นรองฝาต้องเปลี่ยนใหม่
▸ ขวดควรมีวงแหวนยางกันรั่วที่อยู่ในสภาพดี
2.) ล้างโหล และขวดใช้น้ำร้อน และน้ำยาล้างจานล้างบรรจุภัณฑ์ที่จะนำมาสเตอริไลซ์ให้สะอาดจนทั่ว ให้แน่ใจว่าไม่มีเศษอาหารหรือสิ่งใด ๆ แห้งติดอยู่ และต้องล้างฝาด้วย
3.) วางบรรจุภัณฑ์ลงในหม้อก้นลึก วางโหลและขวดตั้งตรงลงในหม้อ วางวงแหวนยางของฝาปิดลงรอบ ๆ โหลและขวด เทน้ำลงในหม้อจนน้ำท่วมบรรจุภัณฑ์สัก 1 นิ้ว (2.5 ซม.)
4.) ต้มโหลและขวดต้มน้ำให้เดือดจัด ปล่อยให้น้ำเดือดสัก 10 นาที และค่อย ๆ เพิ่มน้ำขึ้นเรื่อย ๆ ทุก 1 นาที
5.) ใช้ที่คีบ คีบบรรจุภัณฑ์ขึ้นจากหม้อต้ม คีบโหลหรือขวด และฝาขึ้นทีละชิ้น และวางลงบนกระดาษเช็ดมือ ระวังอย่าให้ของที่ผ่านการสเตอริไลซ์สัมผัสกับสิ่งใดนอกจากกระดาษเช็ดมือที่สะอาด
👉🏻 ส่วนที่ 2 บรรจุอาหารและปิดโหลและขวด
1.) นำอาหารที่ต้องการใส่โหลและขวด ให้บรรจุอาหารเมื่อบรรจุภัณฑ์และอาหารยังร้อนอยู่ การบรรจุอาหารลงบรรจุภัณฑ์ที่เย็นแล้วจะทำให้ขวดโหลแตกได้
▸ เหลือช่องว่างจากฝาและตัวขวดสัก ¼ นิ้ว (0.6 ซม.)
▸ เช็ดขอบโหลและขวดเพื่อไม่ให้อาหารทำปฏิกิริยากับส่วนที่ปิดผนึกบรรจุภัณฑ์
2.) ปิดฝาโหลและขวด โดยการหมุนฝาปิดและเช็คให้แน่ใจว่าปิดแน่นสนิท
3.) วางโหลลงบนรางในหม้อ รางลวดจะป้องกันไม่ให้ขวดโหลสัมผัสก้นหม้อ ช่วยให้อาหารในบรรจุภัณฑ์สุกทั่วกัน และให้แน่ใจว่าโหลปิดสนิทแล้ว ใช้ที่คีบ คีบโหลและวางโหลลงบนราง
4.) ต้มโหล เทน้ำให้ท่วมโหลประมาณ 2 นิ้ว (5.1 ซม.) ต้มเดือดสัก 10นาที จากนั้นให้เอาที่หนีบโหลหยิบโหลออกและวางลงบนกระดาษเช็ดมือ
▸ รอสัก 24 ชั่วโมงก่อนจัดเก็บ ขวดโหลควรจะหายร้อนก่อนที่จะนำไปเก็บเข้าที่
▸ เช็กฝาโหล รอยบุ๋มเล็กน้อยที่ฝาแสดงว่าฝาปิดสนิทดี หากฝาขวดไม่บุ๋มลง ให้เปิดฝาขวดและนำไปบริโภคแทนที่จะเก็บถนอมอาหารนั้น
▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾
📣
เคล็ดลับดีดีอยากบอกต่อ!
👍 สามารถสเตอริไลซ์ขวดและโหล ด้วยน้ำยาสเตอริไลซ์ที่หาซื้อได้จากร้านขายยา
👍 การล้างด้วยน้ำร้อนด้วยเครื่องล้างจานอย่างรวดเร็ว อาจจะใช้ได้ผลดีในการทำความสะอาดอาหารที่ค้างอยู่ในโหล ต้องแน่ใจว่าคุณได้สเตอริไลซ์ด้วยน้ำเดือด หรือใช้สารละลายสำหรับสเตอริไลซ์ที่ขายตามท้องตลาด ตามที่ได้บรรยายไว้แล้ว เพราะเครื่องล้างจานไม่สามารถทำอุณหภูมิได้สูงขนาดที่จะฆ่าเชื้อโรคที่จะทำให้คุณป่วยได้นั่นเอง
รู้จักกับ "การสเตอริไลซ์" พร้อมแนะนำวิธีการ สเตอริไลซ์ขวดและโหลสำหรับถนอมอาหาร
👉🏻 ส่วนที่ 1 การเตอริไลซ์ขวดและโหล
1.) เลือกโหลแก้วและขวดแก้วที่เหมาะสม ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้วนิรภัยและปราศจากรอยแตกร้าว และเช็คแน่ใจว่าฝาของแต่ละขวดปิดได้สนิทดี
▸ โหลที่ใช้ควรมีฝาปิดชนิดเป็นเกลียว มีแผ่นรองฝาเรียบแบนพร้อมปะเก็นยางกันรั่ว ตัวฝาเกลียวสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้แต่แผ่นรองฝาต้องเปลี่ยนใหม่
▸ ขวดควรมีวงแหวนยางกันรั่วที่อยู่ในสภาพดี
2.) ล้างโหล และขวดใช้น้ำร้อน และน้ำยาล้างจานล้างบรรจุภัณฑ์ที่จะนำมาสเตอริไลซ์ให้สะอาดจนทั่ว ให้แน่ใจว่าไม่มีเศษอาหารหรือสิ่งใด ๆ แห้งติดอยู่ และต้องล้างฝาด้วย
3.) วางบรรจุภัณฑ์ลงในหม้อก้นลึก วางโหลและขวดตั้งตรงลงในหม้อ วางวงแหวนยางของฝาปิดลงรอบ ๆ โหลและขวด เทน้ำลงในหม้อจนน้ำท่วมบรรจุภัณฑ์สัก 1 นิ้ว (2.5 ซม.)
4.) ต้มโหลและขวดต้มน้ำให้เดือดจัด ปล่อยให้น้ำเดือดสัก 10 นาที และค่อย ๆ เพิ่มน้ำขึ้นเรื่อย ๆ ทุก 1 นาที
5.) ใช้ที่คีบ คีบบรรจุภัณฑ์ขึ้นจากหม้อต้ม คีบโหลหรือขวด และฝาขึ้นทีละชิ้น และวางลงบนกระดาษเช็ดมือ ระวังอย่าให้ของที่ผ่านการสเตอริไลซ์สัมผัสกับสิ่งใดนอกจากกระดาษเช็ดมือที่สะอาด
1.) นำอาหารที่ต้องการใส่โหลและขวด ให้บรรจุอาหารเมื่อบรรจุภัณฑ์และอาหารยังร้อนอยู่ การบรรจุอาหารลงบรรจุภัณฑ์ที่เย็นแล้วจะทำให้ขวดโหลแตกได้
▸ เหลือช่องว่างจากฝาและตัวขวดสัก ¼ นิ้ว (0.6 ซม.)
▸ เช็ดขอบโหลและขวดเพื่อไม่ให้อาหารทำปฏิกิริยากับส่วนที่ปิดผนึกบรรจุภัณฑ์
2.) ปิดฝาโหลและขวด โดยการหมุนฝาปิดและเช็คให้แน่ใจว่าปิดแน่นสนิท
3.) วางโหลลงบนรางในหม้อ รางลวดจะป้องกันไม่ให้ขวดโหลสัมผัสก้นหม้อ ช่วยให้อาหารในบรรจุภัณฑ์สุกทั่วกัน และให้แน่ใจว่าโหลปิดสนิทแล้ว ใช้ที่คีบ คีบโหลและวางโหลลงบนราง
4.) ต้มโหล เทน้ำให้ท่วมโหลประมาณ 2 นิ้ว (5.1 ซม.) ต้มเดือดสัก 10นาที จากนั้นให้เอาที่หนีบโหลหยิบโหลออกและวางลงบนกระดาษเช็ดมือ
▸ รอสัก 24 ชั่วโมงก่อนจัดเก็บ ขวดโหลควรจะหายร้อนก่อนที่จะนำไปเก็บเข้าที่
▸ เช็กฝาโหล รอยบุ๋มเล็กน้อยที่ฝาแสดงว่าฝาปิดสนิทดี หากฝาขวดไม่บุ๋มลง ให้เปิดฝาขวดและนำไปบริโภคแทนที่จะเก็บถนอมอาหารนั้น
👍 สามารถสเตอริไลซ์ขวดและโหล ด้วยน้ำยาสเตอริไลซ์ที่หาซื้อได้จากร้านขายยา
👍 การล้างด้วยน้ำร้อนด้วยเครื่องล้างจานอย่างรวดเร็ว อาจจะใช้ได้ผลดีในการทำความสะอาดอาหารที่ค้างอยู่ในโหล ต้องแน่ใจว่าคุณได้สเตอริไลซ์ด้วยน้ำเดือด หรือใช้สารละลายสำหรับสเตอริไลซ์ที่ขายตามท้องตลาด ตามที่ได้บรรยายไว้แล้ว เพราะเครื่องล้างจานไม่สามารถทำอุณหภูมิได้สูงขนาดที่จะฆ่าเชื้อโรคที่จะทำให้คุณป่วยได้นั่นเอง