JJNY : 5in1 ชี้ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่ง200$│คนใช้เบนซินอ่วม│'วิสุทธิ์'ท้า'ประภัตร'│ก้าวไกลจี้ฟื้นฟูศก.│ไผ่เปรยเชิญ“มิ่งขวัญ”

นักวิเคราะห์ชี้ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งสูงถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ บาร์เรล
https://www.nationtv.tv/news/378864125
 
 
นักวิเคราะห์ World Economic Forum วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังน่าเป็นห่วงจากหลายปัจจัย ชี้ราคายังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หวั่นอาจเห็นราคาระยะสั้นสูงถึง 150 - 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

     ยังคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ที่กำลังฝันผวนอย่างหนัก จากปัจจัยต่าง ๆที่เข้ามามีอิทธิพลต่อทิศทางราคาน้ำมัน โดย Maciej Kolaczkowski ผู้จัดการอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ จากแพลตฟอร์มพลังงาน วัสดุ โครงสร้างพื้นฐานของ World Economic Forum ได้สรุปปัจจัยสำคัญที่กำหนดราคาน้ำมัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และนัยต่อการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า แม้จะไม่มีใครสามารถสรุปภาพรวมที่ชัดเจนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หลัก ๆ เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัยคือ 

1. การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูผลักดันความต้องการน้ำมัน 
 
     โดยเมื่อสองปีที่แล้วเมื่อ COVID-19 เริ่มมีการระบาด กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการน้ำมันที่ลดลง ผู้ผลิตได้ปรับลดระดับการผลิต เนื่องจากความไม่แน่นอนว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะรุนแรงเพียงใด และจะเกิดขึ้นได้นานแค่ไหน ผลักดันราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายทศวรรษ มีแม้กระทั่งช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ราคาน้ำมันตกลงไปอยู่ที่ติดลบ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้กินเวลาหลายเดือน แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างน่าประหลาดใจ ผลักดันความต้องการน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก คาดว่าความต้องการใช้น้ำมัน ปัจจุบันนี้จะกลับมาเท่ากับหรือเกินระดับก่อนเกิดโรคระบาดไปแล้ว 
 
2. อุปทานน้ำมันมีจำกัดเนื่องจากวงจรการลงทุนที่ใช้เวลายาวนานและการจัดสรรทุนอย่างระมัดระวัง
 
     อุปทานน้ำมันในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้  กลุ่ม OPEC ได้ขยายการผลิตน้ำมันอย่างช้าๆ แต่ก็มีกำลังการผลิตสำรองที่จำกัดและอาจระมัดระวังไม่ให้ล้นตลาดอีก นอกเหนือจากกำลังการผลิตสำรองแล้ว การผลิตน้ำมันยังมีวงจรการลงทุนที่ยาวนานมาก อาจใช้เวลาถึง 10 ปีตั้งแต่วินาทีที่บ่อน้ำมันได้รับการยืนยัน จนกว่าจะถึงการผลิตครั้งแรก 
 
     นอกจากนี้ผู้ผลิตทุกรายระมัดระวังในการจัดสรรทุน อย่างแรก พวกเขาเรียนรู้บทเรียนจากตลาดที่มีอุปทานล้นเกินเมื่อราคาน้ำมันตกลงมาอยู่ที่ติดลบ 40 ดอลลาร์ ประการที่สอง ที่สำคัญกว่านั้น อาจมีความกดดันอย่างมากในการรักษาและขยายการผลิต และเปลี่ยนทุนเป็นการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
 
3. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
 
     ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนและความไม่มั่นคงที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางทำให้ตลาดน้ำมันวิตกกังวล
 
     นาย Maciej Kolaczkowski  ย้ำว่า ราคาน้ำมันจะยังคงผันผวนในระยะยาว เป็นการยากมากที่จะทำนายระดับราคาหรือแม้แต่ทิศทางของการเปลี่ยนแปลง แต่คาดว่าราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขึ้นไป แต่ไม่นานและไม่ตลอดไปอย่างแน่นอน เพราะในระยะกลางอุปทานน่าจะทันกับการเติบโตของอุปสงค์ ในขณะที่หวังว่าความตึงเครียดทางการเมืองจะคลี่คลายลง
 
     แต่อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่ราคาจะพุ่งขึ้นสูงเพิ่มขึ้นชั่วคราว ไปจนถึงระดับที่สูงกว่าที่เราเห็นในตอนนี้ อาจอยู่ที่ 150 - 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านอุปสงค์ ตามด้วยการปรับด้านอุปทาน ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นชั่วคราวมีแนวโน้มสูง การบังคับให้ลดอุปทานโดยไม่ปรับอุปสงค์ จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของโครงสร้าง ซึ่งจะแก้ไขได้ยากเนื่องจากวงจรการลงทุนที่ยาวนานมากในการผลิตน้ำมัน 
 
ที่มา  https://www.weforum.org/agenda/2022/02/why-oil-prices-matter-to-global-economy-expert-explains/
 

 
คนใช้เบนซินอ่วม ตั้งแต่ต้นปี ราคาพุ่งไม่หยุด
https://ch3plus.com/news/category/279483
 
คนใช้เบนซินอ่วม ตั้งแต่ต้นปี ราคาพุ่งไม่หยุด
 
การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 3 บาท โดยยังคงยึดเกณฑ์การดูแลราคาน้ำมันดีเซลเป็นหลัก เพราะมีสัดส่วนการใช้ประมาณ 60% ของทั้งประเทศ แต่วันนี้คนใช้น้ำมันเบนซิน ก็เริ่มทนไม่ไหว เพราะราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง เรียกว่าแทบจะทุกสัปดาห์ จนวันนี้ทะลุ 35 บาทไปแล้ว
 
เมื่อย้อนไปดูราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน และแก๊สโซฮอล์กันก่อน ซึ่งพบว่า ตั้งแต่ต้นปี ราคาปรับขึ้นมาแล้วถึง 4 บาท 40 สตางค์ต่อลิตร โดยน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ปลายปีที่แล้ว ลิตรละ 31 บาท 15 สตางค์ มาวันนี้ราคาขึ้นมาอยู่ที่ 35 บาท 55 สตางค์ ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 จากราคา 30 บาท 88 สตางค์ วันนี้ 35 บาท 28 สตางค์ ยิ่งถ้าเป็นเบนซินธรรมดา ปลายปีที่แล้ว 38 บาท
 
ชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/zjiTB_of98Q

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
'วิสุทธิ์' ท้า 'ประภัตร' สาบานวัดพระแก้ว ไม่ปกปิดโรคอหิวาต์หมู จี้นายกฯหาคนผิดมาลงโทษ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3189189
 
‘วิสุทธิ์’ ท้า ‘ประภัตร’ สาบานวัดพระแก้ว ไม่ปกปิดโรคอหิวาต์หมู จี้นายกฯหาคนผิดมาลงโทษ ชี้ทำได้จะเป็นองค์ประชุมให้ตอนถูกซักฟอก ม.151
 
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันแรกนั้น
 
เวลา 18.40 น. นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกขึ้นอภิปรายโจมตี นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งข้อกล่าวหาว่า ปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ตรวจพบเจอตั้งแต่ปี 2562 โดยไม่บอกข้อเท็จจริงกับประชาชนและเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ทำให้เกิดการระบาดหนักจนยากต่อการควบคุม สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก ไม่รู้ว่า นายกฯรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ เพราะ ครม.อนุมัติงบไปถึง 4 ครั้ง รวม 900 กว่าล้านบาท โดยระบุชัดว่าจะนำไปแก้ไขโรคอหิวาต์ในสุกร
 
“ทำไมต้องปกปิด สาบานได้ไหมว่าไม่รู้ กล้าสาบานไหม ไปวัดพระแก้วกันไหม ท่านโกหก หลอกลวง ปกปิด ซ่อนเร้น เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ใครได้เงินบ้าง เรียกว่าการทุจริตทางนโยบาย รู้เห็นเป็นใจปิดบังซ่อนเร้นจงใจ แบบนี้กระทำผิดมาตรา 157 หรือไม่ 
 
“มันน่าเศร้าใจถ้าผู้บริหารประเทศไม่พูดความจริง ผมยังคิดว่านายกฯไม่น่ายุ่งกับเงินหมู มันน้อยเกินไป ถ้าผมเป็นนายกฯจะสั่งให้ตรวจสอบฟาร์มหมูที่เป็นโรค โดยให้อาจารย์ที่สอนมหาวิทยาลัยด้านสัตวแพทย์ขุดซากหมูมาตรวจสอบว่าจริงหรือเท็จ” นายวิสุทธิ์กล่าว
 
นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ขอให้นายกฯเอาจริงเอาจังหาคนผิดมาลงโทษ ถ้าทำได้ ต่อไปตนจะเป็นองค์ประชุมให้ท่านเวลาใครอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ถ้าท่านเอาคนผิดมาลงโทษได้ และขอเสนอให้ตั้งกรรมการตรวจสอบจาก 14 ภาคี เชื่อว่าภายใน 7 วันก็รู้คำตอบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากการจงใจร่วมกันปกปิดโรคระบาดหรือไม่ ยอมรับว่าตนก็เหนื่อยกับท่าน สงสารท่านอยู่ หมูก็ยังมากัดท่านอีก



ก้าวไกลจี้รัฐออกแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว ชี้แจกเงินอย่างเดียวช่วยไม่ได้
https://www.posttoday.com/politic/news/675932

"ศิริกัญญา" ชี้โครงการคนละครึ่งไม่สามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาวได้ ย้ำรัฐบาลต้องมีแผนฟื้นฟูประเทศจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายหลังโควิดเกิดขึ้นได้จริง
 
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยระบุว่า รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการต่อมาตรการโครงการคนละครึ่ง ซึ่งใช้เงินไปแล้วกว่า 2.2 แสนล้านบาท แม้โครงการนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ไม่เหมาะนำมาใช้ในการเยียวยา หรือช่วยเรื่องค่าครองชีพ เพราะเป็นการแจกเงินแบบใครมาก่อนได้ก่อน และประเทศไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาวได้ด้วยโครงการคนละครึ่ง
 
พร้อมเสนอว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมีแผนฟื้นฟูประเทศอย่างจริงจัง และใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้คนที่มีทุนน้อยมีโอกาสได้เติบโต เกิดการจ้างงานที่มีคุณภาพ และทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายหลังโควิดเกิดขึ้นจริงได้ ซึ่งตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด รัฐบาลได้กู้เงินไปแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท ผ่านไปเกือบ 2 ปี อนุมัติเกือบเต็มวงเงิน มีงบสำหรับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจแค่ 7.7 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ถือว่าเป็นงบฯฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีวิกฤติเศรษฐกิจมา
 
ทั้งนี้ เมื่อไปดูเศรษฐกิจรายภูมิภาค ก็ยังไม่ฟื้นกลับมา ด้านอุปโภคบริโภค และรายได้เกษตรติดลบ แสดงว่าแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจใช้ไม่ได้ผล และงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 7.7 หมื่นล้านบาท มีแต่โครงการลักษณะเบี้ยหัวแตก หรือโครงการท่องเที่ยวคุณภาพมีเพียง 3 โครงการ ใช้เงินเพียง 800 ล้านบาท อุตสาหกรรมเพิ่มคุณภาพสูง มีโครงการเพียง 4 โครงการ ใช้เงิน 450 ล้านบาท
 
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยหลังยุคโควิดมองไม่เห็นอนาคตและเดินถอยหลัง ประเทศต่างๆ ใช้ช่วงเวลานี้อัดฉีดเงินลงทุน เพื่อสร้างเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ เช่น เกาหลีใต้ลงทุน 3 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว เป็นต้น แต่รัฐบาลไทยกลับไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียว

การที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า มีคำขอส่งเสริมการลงทุนถึง 6 แสนล้านบาท แต่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใน 7 อุตสาหกรรม เพียง 98,970 ล้านบาท และยังไม่ใช่การลงทุนจริง ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ไทยก็ยังไม่ได้เป็นฐานการผลิต ซึ่งมาตรการส่งเสริมเพิ่งผ่าน ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แต่เวียดนามกลับมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเป็นของตนเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่