วิกฤติราคาน้ำมัน..



วิกฤติราคาน้ำมัน... เมื่อความวัวยังไม่ทันหาย
9 มี.ค. 63                                                                          ข่าวประชาสัมพันธ์
    ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันร่วงลง​ 30% จากการที่ซาอุดิอาระเบีย ยกเลิกข้อตกลงการคุมกำลังการผลิตน้ำมันกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และรัสเซีย​ โดยจะขยายกำลังการผลิตเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด​ (Market share) ซึ่งซาอุฯ​เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมไปถึงลดราคาน้ำมันดิบลงหลังจากที่การเจรจาของกลุ่มโอเปก ประสบความล้มเหลวในการขยายข้อตกลงกับรัสเซีย สำนักวิจัยฯมองว่า
1. ซาอุฯไม่อยากเห็นสหรัฐฯ​เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่​ ตามมาด้วยรัสเซีย​ ขณะที่ตัวเองเป็นเบอร์สาม​ เลยไม่สนราคาที่ลงเพราะต้นทุนต่ำกว่าพวก​ เรียกว่าลดราคาได้เต็มที่แย่งฐานลูกค้ามาก่อน​ (ปัจจุบันซาอุฯจำกัดการผลิตไม่เกิน10ล้านบาร์เรลต่อวัน)​
2. สหรัฐฯ​ได้รับผลกระทบแน่​ เพราะเป็นผู้ผลิต​ เมื่อราคาลงต่ำกว่าต้นทุน​ บริษัทน้ำมันจะขาดทุน​ ปิดกิจการ​ เลิกจ้าง​ รอดูว่าผลลบจะแรงเหมือนช่วงที่ซาอุฯทำตอนปลายปี​ 15-16​ หรือไม่​ แต่เศรษฐกิจที่ชะลอ​ เฟดอาจลดดอกเบี้ยรอบ​ 17-18 มีนาคมนี้อีก 0.5%
3. เศรษฐกิจโลกผันผวนต่อเนื่อง​หลังไวรัสโควิดกดดันภาพรวม​ ซึ่งนอกจากอุปสงค์จะลดลงจนกระทบการส่งออกแล้ว​ สินค้าส่งออกของไทยยังมีกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน​ เช่น​ เคมี​ ปิโตรเลียม​ ยาง​ และสินค้าเกษตรต่างๆ​ ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกปีนี้ติดลบหนักได้​ ขณะที่การนำเข้าจะกลับติดลบหนักกว่าการส่งออก​ เพราะไทยเป็นผู้นำเข้าสุทธิน้ำมัน​ มากกว่า​ 10% การนำเข้า​ ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันลง​ การนำเข้าโดยรวมก็จะลดลงด้วย​ อีกทั้งเอกชนจะชะลอการลงทุน​ มีผลให้การนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบหดตัวตาม​ โดยสรุป​ การส่งออกสุทธิ ​(ส่งออกหักนำเข้า)​จะเติบโตได้​ ทำให้​ GDP​ไทยไม่ทรุดแรง
4.กลุ่มอุตสาหกรรมที่เสี่ยง​จากราคาน้ำมันที่ลดลงได้แก่​ กลุ่มสำรวจน้ำมัน​ กลุ่มเคมีปิโตรเลียม​ กลุ่มยาง​ ข้าว​ สินค้าเกษตร​ ปั๊มน้ำมัน​ และกลุ่มอื่นๆที่อาจขาดทุนสต๊อกน้ำมันและราคาสินค้าหรือรายได้เคลื่อนไหวตามราคาน้ำมัน
5.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงได้แก่​ กลุ่มที่ได้กำไรจากต้นทุนที่ต่ำลง​ เช่น ขนส่ง​ สายการบิน​ การบริโภคกลุ่มท่องเที่ยว​ แต่น่าเสียดายที่กลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดเสียก่อน​ จนอาจไม่สามารถชดเชยได้
โดยสรุป​ นักเศรษฐศาสตร์อาจต้องออกมาปรับประมาณการเศรษฐกิจ​กันอีกรอบ​ GDP ไทยมีโอกาสโตได้ต่ำกว่า​ 0.5% ช่วงครึ่งปีแรก​ จากไวรัสโควิด​ แต่เมื่อราคาน้ำมันลงหนักเช่นนี้​ เศรษฐกิจไทยอาจดูแย่ลง​ ซบเซาลง​ สินเชื่อโตช้าลง​ แต่จะเกิดการเติบโตทางเทคนิค​ (technical growth) จากการส่งออกสุทธิที่เติบโตหลังการนำเข้าหดตัวแรงกว่าการส่งออกที่ทรุด​ ซึ่งน่าจะพอพยุง​ GDP​ ให้ขยายตัวได้บ้าง​ แต่เมื่อเงินเฟ้อต่ำ​ กำลังซื้อหดหาย​ ก็มีโอกาสที่กนง.จะลดดอกเบี้ยได้ในรอบการประชุมวันที่​ 25 มีนาคมนี้​ สู่ระดับ​ 0.75%ต่อปี​ ด้านค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเพียงระยะสั้นจากความกังวลของนักลงทุนต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ​ แต่ไม่นานจะพลิกมาแข็งค่าเทียบสกุลอื่นรวมทั้งดอลลาร์สหรัฐฯจากการนำเข้าที่หดตัวแรง​ มีโอกาสเห็นเงินบาทลงต่ำกว่าระดับ​ 31.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนนี้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่