เส้นทางการรักษาโรคซึมเศร้า....เมื่อกินยาผิด

สวัสดีค่ะ เราเคยเขียนเรื่อง สามีเราเป็นโรคซึมเศร้า และมีคนให้ความสนใจอ่านมากทั้งผู้เป็นโรคซึมเศร้าเอง หรือมีคนที่รักเป็นโรคนี้ วันนี้เราอยากมาเล่าเรื่องการรักษา(ที่ผิดพลาด?) เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องเผชิญกับโรคนี้นะคะ

ก่อนอื่นจะสรุปอาการย่อๆ ของสามีเราตอนที่เริ่มมีอาการซึมเศร้า อาการคือ คิดมากๆ กังวลในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำงาน นอนไม่หลับ กินไม่ค่อยได้ นอนไปแล้วก็ตื่นมาเพราะกังวลในเรื่องเล็กๆน้อยๆทุกอย่าง คิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขา สามีเรามีอาการพารานอยด์ร่วมด้วย กลัวโดนดักฟัง คิดว่าที่ทำงานติดตามพฤติกรรมเขาตลอดเวลา คนที่ทำงานทำงานเป็นกลุ่มลับหลังเขา สามีไม่กล้าไปหาหมอ คือไปแล้ว แต่อายหมอ ไม่กล้าพูด  อาการก็แย่ลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไปทำงานไม่ได้ กินไม่ได้ นอนไม่ได้ น้ำหนักลดลงเกือบ 20 กิโลในเดือนเดียว คิดอะไรไม่ออก ไม่กล้าทำอะไร ก่อนจะถึงจุดนั้นคือ ติดต่อจิตแพทย์แล้ว แต่คิวยาวมากและเจ้าตัวไม่กล้าไป เราเลยคุยกับครอบครัวเขา พบว่าพ่อสามีก็เป็นซึมเศร้ามานานแล้ว และกินยามาโดยตลอด เคยไปหาจิตแพทย์แต่ไม่ได้ไปนานแล้ว แต่ยังกินยาอยู่ แพทย์ประจำตัว (แพทย์ทั่วไป ไม่ใช่จิตแพทย์) สั่งจ่ายยา พอดี เป็นหมอประจำตัวคนเดียวกับสามี เราเลยพาไปหาหมอประจำตัว เล่าให้หมอฟัง ขอปรึกษาว่าใช้ยาตัวเดียวกับพ่อสามีได้ไหม เพราะสามีกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย และมีความคิดจะฆ่าตัวตาย หมอว่าปกติต้องไปหาจิตแพทย์  แต่ทั้งนี้เนื่องจากจิตแพทย์คิวยาวมาก หมอเลยสั่งยาให้มาก่อน แต่อยากให้ไปรักษากับจิตแพทย์ต่อไป ซึ่งที่ทำงานของสามี (ผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพ) อนุญาตให้สามีเราหยุดพักงาน แต่ได้เงินเดือนประมาณเดือนหนึ่ง บริษัทว่าบอกว่าตามนโยบาย  สามีเราต้องไปหานักจิตวิทยาที่บริษัทหาไว้ สามีเราไปหานักจิตวิทยา แต่ไม่กล้าพูดเล่าอะไร เพราะเขากลัวว่าจะมีผลต่อหน้าที่การงานเขา กลัวนักจิตวิทยาเอาไปบอกบริษัท เลยรักษาไม่เต็มที่ นักจิตวิทยาสรุปคร่าวๆว่า สามีเรามีแผลทางใจจากการที่แม่เป็นคนติดการดื่มเหล้า ทำให้ครอบครัวแตกแยก และสามีเราต้องดูแลแม่ตอนแม่ดื่มหนักสมัยเขาเป็นเด็กวัยรุ่น ทำให้สามีเรามีแนวโน้มเป็นซึมเศร้าง่าย ประกอบกับเป็น perfectionist พอที่ทำงานเครียดมาก (งานรับผิดชอบเยอะ และเขาโครงการอบรมเป็นผู้นำ ต้องทำอะไรที่เขาไม่อยากทำเยอะ เช่น public speaker ) เลยเป็นซึมเศร้า  สามีบำบัดอยู่สักพัก กินยาที่หมอประจำตัวให้ประมาณเดือนกว่าๆ ก็ไปทำงานได้ นอนหลับ แต่ยังเครียดมาก ทำงานได้ไม่เต็มที่  คนที่ทำงานมีทั้งคนที่เข้าใจ เห็นใจ และคนที่เหน็บแนมว่าเขาโชคดี นอนอยู่บ้านเฉยๆก็ได้ตังค์ ตอนรักษาตัว 

คุยกับนักจิตวิทยาได้สองสามเดือน นักจิตวิทยาว่าโอเคแล้ว สามีเราก็ปฏิเสธคำร้องของเราที่จะให้ไปหาจิตแพทย์  เขายืนยันว่า ยาที่หมอให้มาได้ผล และจิตบำบัดไม่ช่วยอะไร ระหว่างนี้ก็มีการปรับโดสยาตัวเดิม สองสามครั้ง จนเขาว่าพอดี

ยาที่ทานมา มีผลข้างเคียงบนเตียงคือ ในระยะแรก เขาหลั่งยากมาก ๆ แต่ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ผลข้างเคียงอื่น ไม่ดีขึ้น แต่แย่ไปเรื่อยๆ สามีทานอาหารแบบไม่ยั้ง น้ำหนักกลับคืนมาเป็นปกติ และมากไปเรื่อยๆ จนน้ำหนักเกิน 35 กิโล แต่ที่ยิ่งกว่าคือ เขาเปลี่ยนไปทางจิตใจ จากคนเงียบๆ กลายเป็นคนกล้าพูดมาก จากคนตามระเบียบทุกอย่าง กลายเป็นคนแหกกฎ จากคนตระหนี่ เป็นคนใช้จ่ายเยอะ จากคนคิดมาก กลายเป็นคนไม่คิด  ไม่สนใจครอบครัว สนใจแต่ความสุขตัวเอง มองโลกในแง่ร้าย  ความเปลี่ยนแปลง เป็นทีละเล็กทีละน้อย เราค่อยๆสังเกตเห็น  ตอนแรก เราคิดว่า นี่มันก็ดีกว่าเขาเป็นคนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีความคิดจะฆ่าตัวตายไหม ตัวเขาบอกว่า เขาเปลี่ยนไปเพราะเขามีประสบการณ์แย่ๆในชีวิต  ก็พยายามรักเขาแบบที่เขาเป็นคนใหม่ พยายามให้เวลาเขาปรับตัว  แต่อาการเขาแย่ลงเรื่อยๆ ทำอะไรไม่คิด มีความมั่นใจเหลือล้น จนมีปัญหาในที่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ และมีปัญหากับเราเพราะเขาใช้จ่ายไม่ยั้งคิด เขาปกปิด แอบใช้เงิน แอบใบเสตดเม้นธนาคาร เรามั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าเราไม่ได้คิดไปเอง  นี่ไม่ใช่สามีเรา แต่เป็นยาที่คิด พูด ทำ สิ่งเหล่านี้ เราขอร้องเขา ทะเลาะ ขู่หย่า ทุกอย่างที่เราคิดได้ แต่เขาปฏิเสธ ไม่ยอมไปหาหมอ ระหว่างนี้คือ เขาตีตัวห่างเรามากขึ้นเรื่อยๆ เขายังรักลูก แต่ไม่คิดเก็บเงินให้ลูก แต่กับเรา เหมือนเขาคิดว่าเราเป็นศัตรูต่อความสุขเขา จะจับมือเขายังสะบัดออก ปากบอกว่ายังโอเค แต่เราดูแววตาไม่มีความรักให้เราเลย

 เรารู้การใช้เงินเขาว่าไม่ปกติมาแต่แรก พยายามห้าม ยึดบัตร แต่แอบใช้ โกหก แกล้งโวยวานใส่ ปกปิดตลอด เราให้อภัย คาดโทษ ก็ทำใหม่ วบเวียนเป็นลูปไป จนสุดท้ายความจริงเปิดเผย คือเป็นหนี้เยอะกว่าที่เราคิดมากๆ เราคิดว่าเขาใช้เงินเยอะ แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าใช้เงินเกษียณ หรือแอบใช้บัตรเยอะมาก เราล้มทั้งยืน ร้องไห้ แต่แววตาเขาเหมือนเดิมคือว่างเปล่าสำหรับเรา เขาบอกว่ารู้ว่าเขาผิด เขาจะหย่ากับเรา ให้เรากับลูกไปมีชีวิตใหม่ ไม่ต้องมาใช้หนี้กับเขา เราคิดไปถึงอนาคตเขาได้ว่า มันไม่มีอะไรในอนาคตเขา มันมีแต่จะดิ่งลง สุดท้ายคงต้องไปนอนข้างถนน เราบอกว่าจะไม่หย่าแต่ขอให้เขาไปหาจิตแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา เขายังคงยืนยันคำเดิมว่า ไม่ใช่ยา เขาเปลี่ยนไปเพราะเขามีประสบการณ์ที่เลวร้าย แต่ทนคำรบเร้าของเราไม่ไหว เลยจะยอมไปหาหมอจิตแพทย์ 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็โดนไล่ออกจากงาน ณ ตอนนั้น เราคือปลงค่ะ เราคนเป็นเมีย ยังทนเขาแทบไม่ได้ บริษัทจะทนได้เหรอ โชคดีเราได้งานพอดี (ตอนไม่มีงานประจำทั้งคู่ คือ 1 อาทิตย์ที่ นอนอยู่บ้านสบายๆ แต่ใจทรมานสุดๆ) เลยสามารถพาเขาไปหาจิตแพทย์ได้ เราพยายามเล่าให้หมอฟัง ขอหมอให้เปลี่ยนยา หมอบอกว่า คิดว่าไม่ใช่ยาตัวเดิม คิดว่าเขาต้องการยาเพิ่มตั่งหาก  ผ่านไปแปดเดือน หมอปรับโดส เปลี่ยนยาสาม สี่ตัว บางตัวเลิก บางตัวเริ่มใหม่  แต่ยังคงยาดั้งเดิมตัวแรกไว้ เราก็ว่าเขาดีขึ้น แต่ไม่มาก (มีอาการซึมเศร้ามากขึ้นหลังตกงาน) หมอให้ยาเกี่ยวกับที่เขาชอบพารานอยด์คนด้วย จนมีเหตุที่เราจับได้ว่าเขาแอบใช้เงินก้อนใหญ่ และทิ้งลูกไว้ที่บ้าน (เราไปทำงาน) เราโทรหาพ่อสามี เขามาช่วยดูลูก และตามหาลูกชายเขา พอพ่อสามีพูดกับลูกชาย อีกสักพักกลายเป็นคนผิด คือเราไม่สนับสนุน ไม่เข้าใจสามี คิดมากเกิน เราอึ้งมาก เราบอกพ่อไม่รู้เหรอว่าเขาใช้จ่ายแค่ไหน เขาแอบใช้เงินของครอบครัวนะ ความเปลี่ยนแปลงของสามี เราคิดว่าเขาปกปิดเก่งมาก พ่อเขาดูไม่ออก จิตแพทย์ยังดูเชื่อเขามากกว่าเราอีก

 เราโทรหาจิตแพทย์ ต้องโทรหลายครั้งมาก จิตแพทย์เคยบอกว่า ถ้ามีอาการผิดปกติหลังเริ่มยาตัวใหม่ โทรได้เลย แต่เหตุการณ์จริงคือ หมอไม่ว่างตลอด จนพยาบาลสงสาร เราเลยได้พบหมอด่วน สามีเรายอมไปหาหมอนะ เราพยายามชี้ว่า เขาไม่ปกติจริงๆ ก็ไม่รู้ทำไมเขายอมไป  เราบอกหมอว่า ไม่ไหวแล้ว เราคิดว่ายาตัวใหม่ล่าสุดที่หมอให้ ทำให้เขาคิดโปรเจคใหม่ตลอดเวลา หลับน้อย ใช้เงินมากผิดปกติไปกว่าเดิมอีก ใช้เงินครอบครัว ทั้งที่ตัวเองไม่ทำงาน ไม่จ่ายค่าบ้าน ความคิด ความจำไปหมด ตอนแรกหมอไม่เชื่อเรา จนเราเล่าเหตุการณ์แต่ละอย่าง สุดท้ายหมอบอก เลิกยาตัวแรก เราอึ้งมาก เพราะเคยขอมานาน แต่หมอไม่เชื่อ ตอนนี้อยากเลิกตัวใหม่ หมอบอกให้เลิกยาตัวเดิม

ขบวนการเลิกยา กินเวลาเดือนกว่า เพราะยาตัวนี้มีผลกับร่างกาย จะมีอาการถอนยา เราเลยให้เลิกแบบทีละนิด เดือนหนึ่งหลังเลิกยา สามีร้องไห้ บอกเราว่า เขาผิดไปแล้ว เขาเหมือนตื่นจากฝัน มาเจอความเป็นจริงที่เขาทำร้ายเรากับครอบครัวมาก เราบอกเขาว่า มันเป็นยา สามีว่า แต่เขาเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้เอง จริงๆเราไม่รู้ว่า มันมีตัวจริงเขาอยู่เท่าไหร่ในสามสี่ปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเราไม่โทษยาทั้งหมด เราไม่รู้จะรักเขาได้ยังไง  หลังจากนั้น ถึงวันนี้ ปีกว่าๆ เขากลับไปเป็นผู้ชายคนเดิมที่เราแต่งงานด้วย เป็นผู้ชายเงียบๆ เรียบร้อย ทำงานเก็บเงินเพื่อลูก มีความสุขตามอัถภาพ ไม่มองโลกแง่ร้าย และมีแววตาที่รักเราเหมือนเดิม เขาไม่เคยสักครั้งที่ใช้จ่ายเงินเกินตัว ถึงตอนนี้เราจะยังมีหนี้ก้อนโต แต่เรามีหนทางที่จะปลดหนี้ได้ และส่งเสียลูก ดูแลตัวเองยามเกษียณได้ สามีหายดี และครอบครัวมีความสุข เราก็พอใจแล้วค่ะ

สามีเลิกกินตามใจปาก นนลดลง 10 กิโลกว่า แบบไม่พยายามทำอะไรเลย สามียังคงปรับยาตามหมอ แต่ตอนนี้เหมือนจะลงตัวแล้ว เขากินยาประมาณ 4 ตัว แต่ยังคงไม่ยอมไปหานักจิตบำบัด 

เราขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยซึมเศร้า และคนดูแลผู้ป่วยทุกคนนะคะ บางคนการรักษาอาจจะง่าย อาจจะทานยาตัวเดียวแล้วดีขึ้นเลย แต่ส่วนใหญ่จะต้องลองผิด ลองถูก สังเกตุอาการและปรับยา ผู้ป่วยต้องพบแพทย์ และทานยาสม่ำเสมอ อย่างกรณีเรา สามีไม่ยอมไปพบจิตแพทย์ อาการเลยลากยาวมานานสี่ปี ตอนนี้ปีที่ห้า กว่าจะปรับยาได้ถูกต้อง เส้นทางการรักษายาวนานกว่าคนทั่วๆไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่