JJNY : ป่วย-ดับนิวไฮ ติดเชื้อ16,330 เสียชีวิต25│หมอธีระห่วงติดเชื้อพุ่ง│ส.อ.ท.จี้ปรับTest&Go│สงขลา เตรียมเปิดรพ.สนาม

ยอดป่วย-ดับ นิวไฮอีกวัน ไทยติดเชื้อใหม่ 16,330 ราย เสียชีวิต 25 คน ATK 8,354 คน
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3180258
 
 
ยอดป่วย-ดับ นิวไฮอีกวัน ไทยติดเชื้อใหม่ 16,330 ราย เสียชีวิต 25 คน ATK อีก 8,354 คน
 
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ศูนย์ข้อมูลโควิด 19 เผยแพร่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565
รวม 16,330 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 16,180 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 150 ราย ผู้ป่วยสะสม 354,010 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 9,205 ราย หายป่วยสะสม 268,046 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 118,493 รายเสียชีวิต 25 ราย
  
ทั้งนี้ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่และยอดผู้เสียชีวิต ทำ นิวไฮในรอบ 43 วัน โดยมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด ATK อีก 8,354 คน ปอดอักเสบ 610 คน และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 128 คน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ยังคงเป็นกรุงเทพมหานคร ที่ 3,244 ราย รองลงมาคือ สมุทรปราการ 949 ราย นนทบี 841 ราย และ ชลบุรี 823 ราย
  

  
หมอธีระ ห่วงติดเชื้อพุ่ง 24,684 ราย เผยเด็กเล็กป่วยเข้ารพ.เท่าระลอกเดลตา
https://www.nationtv.tv/news/378863586

หมอธีระ ระบุอัตราการติดเชื้อพุ่ง 15.8 % เผยผลงานวิชาการพบ "โอมิครอน" ส่งผลเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี มีอัตราการป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลไม่แตกต่างจากระลอกเดลตา ผู้ปกครองควรตระหนัก หากสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยต้องเฝ้าระวังอย่างน้อย 10 วัน

12 กุมภาพันธ์ 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” เผยข้อมูลการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มาจาก โอมิครอน เข้าสู่การระบาดในอัตราเร่ง ล่าสดไทยพบผู้ป่วยรวมการตรวจ ATK สูงถึง 24,684 ราย มีเนื้อหาดังนี้..
 
○ ผู้ป่วย 16,330  ATK 8,354 รวม 24,684 อัตราการตรวจพบผลบวก 15.8% (เดิม 14.68%)
○ กรุงเทพฯ 3,244 (เดิม 3,052) อัตราการตรวจพบผลบวก 27.75% (เดิม 26.74%)
○ นนทบุรี 841 (เดิม 615) อัตราการตรวจพบผลบวก 28% (เดิม 27.67%)

อัพเดตความรู้ Omicron 
 
UK HSA ออกรายงานวิชาการ SARS-CoV-2 variants of concern and variants under investigation in England ฉบับที่ 36 ล่าสุดเมื่อวานนี้ 11 กุมภาพันธ์ 2565 สาระสำคัญที่ควรรู้มีดังนี้..
  
หนึ่ง การติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron แม้ในผู้ใหญ่จะพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดลงราว 50% และความเสี่ยงในการเสียชีวิตลดลงราว 60% เมื่อเทียบกับระลอกเดลตา แต่กลับพบว่า “เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี” นั้นมีอัตราการป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไม่แตกต่างจากระลอกเดลตา 
 
 เรื่องนี้จึงสำคัญมาก และเน้นย้ำให้ผู้ปกครองดูแลลูกหลานให้ดี 

สอง Omicron สายพันธุ์ BA.2 ที่ระบาดต่อจากสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 ซึ่งครองโลกอยู่ในปัจจุบันนั้น พบว่ามีอัตราการแพร่ระบาดได้เร็วกว่า BA.1

ที่น่าสนใจคือ ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาตั้งแต่คนแพร่เชื้อเริ่มมีอาการ จนถึงคนที่รับเชื้อเริ่มมีอาการ (serial interval) ของเชื้อสายพันธุ์ BA.2 นั้นสั้นกว่า BA.1 โดย BA.2 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.27 วัน (ช่วงความเชื่อมั่น 3.09-3.46 วัน) และ BA.1 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.72 วัน (ช่วงความเชื่อมั่น: 3.62-3.80 วัน)
 
สรุปคือ เชื้อสายพันธุ์ Omicron นั้น หากคนแพร่เชื้อเริ่มมีอาการ แล้วแพร่ให้คนอื่นๆ โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่รับเชื้อมามักจะเริ่มมีอาการหลังจากนั้นประมาณ 3-4 วัน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาอาจยาวไปได้ถึง 9 วัน (ดังรูป) 

ข้อมูลข้างต้นเป็นประโยชน์สำหรับเราทุกคน เวลามีประวัติไปสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 สามารถใช้เฝ้าระวัง และสังเกตอาการตนเองไปนานราว 10 วันก็จะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น
 
สำหรับไทยเรา การระบาดยังรุนแรง กระจายไปทั่ว และเป็นขาขึ้น ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างเป็นกิจวัตร ใส่หน้ากากเสมอ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า พบปะคนเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น
 
หากไม่สบาย แม้จะอาการเล็กน้อย ควรบอกคนใกล้ชิดและที่ทำงาน หยุดเรียนหยุดงาน ไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
 
“ ถัดจากนี้ไปจำนวนคนติดเชื้อที่มากขึ้น ทั้งที่ตรวจ ไม่ได้ตรวจ และไม่อยากตรวจ อาจทำให้เราเห็นปัญหาด้านสังคมมากขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงแง่เศรษฐกิจเท่านั้น ดังนั้นหากพอช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบได้ ปัญหาก็น่าจะพอบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย ” หมอธีระ ระบุในตอนท้าย

https://www.facebook.com/thiraw/posts/10223879403325467
 

 
ส.อ.ท.จี้ปรับTest&Goเข้มเกินไปกระทบนทท.
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_290614/
 
ประธาน สภาอุตสาหกรรมฯ จี้ ปรับ Test&Go เข้มเกินไปกระทบนักท่องเที่ยวไม่เพิ่มตามคาด ห่วงนักลงทุนตัดสินใจใหม่
  
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ว่า ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐ อำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศ โดยการปรับระบบ Test&Go ลดจำนวนครั้งของการตรวจ RT-PCR ลง เพื่อทำให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวที่จะเข้าประเทศสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะเวลานี้ เงื่อนไขที่ต้องมีการ ทำ RT-PCR จำนวน 2 ครั้งทำให้การตัดสินใจเดินทางยากขึ้น เพราะมีค่าใช้จ่ายด้านที่พักเพิ่มขึ้น
 
โดยภาคเอกชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องรอให้จำนวนตัวเลขการเดินทางลดลงอย่างชัดเจน หรือต้องรอเวลาพิจารณา3หรือ6เดือนจึงค่อยเปลี่ยนระบบ เพราะเวลานี้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถรอได้ หากเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องของการตรวจสอบแบบไม่มีเหตุผล มีโอกาสที่จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปไม่เป็นไปตามที่คาด รวมถึงผู้ที่เดินทางเข้ามาประกอบธุรกิจและนักลงทุนอาจต้องมีการตัดสินใจใหม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่