พอดีอ่านเจอบทความ ก็เลยนำมาแชร์ให้คนในpantip และจะได้เก็บเป็นกระทู้ของตัวเองครับ
ในตอนที่3 ได้เขียนเกี่ยวกับสมองด้วย จึงของแท็ก โรคเกี่ยวกับสมองครับ
การออกฤทธิ์ของกัญชา และประโยชน์ (ตอนที่ 1)
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1675871
ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา
หมอดื้อ
6 ตุลาคม 2562
หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีการเดินหน้าทางด้านกัญชาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านตำรับแผนไทยและของอาจารย์เดชาเอง อีกทั้งทั่วทั้งโลกก็มีความสนใจในเรื่องนี้และทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความแตกต่างในความคิดเห็น
กลายเป็นหมอยังไม่มีความรู้ทางด้านกัญชา แต่คนไข้ใช้กันเยอะแล้ว โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง หนักกว่าคือคนไข้ไม่กล้าบอกหมอ ถ้าไม่ถามโดยตรงจะไม่บอกเพราะกลัวโดนหมอดุ ก็กลายเป็นว่าใช้ไปโดยที่หมอเจ้าของไข้ไม่ได้รู้ เช่นในโรงพยาบาลที่ลูกชายหมอทำงานอยู่ คนไข้มะเร็งขั้นสุดท้ายนั้นได้เข้ามานอนโรงพยาบาลอีกรอบหลังจากเข้ามาติดๆ กันหลายครั้ง เพราะใช้มอร์ฟีนในขนาดที่น่าตกใจเพื่อบรรเทาอาการปวด จึงไม่สามารถถ่ายได้เพราะมอร์ฟีนไปหยุดการขยับเขยื้อนของลำไส้ อุจจาระเต็มท้องและปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกชายหมอจึงถามว่าเคยใช้กัญชาไหม ถึงได้คำตอบว่าใช้มานานแล้ว แต่ไม่เคยบอกหมอ จากนั้นสิ่งที่สำคัญการซักประวัติ เช่น ต้องถามว่าใช้เป็นกัญชาอะไร (สกัดรวม, THC CBD แบบเดี่ยวหรือรวม, หรือครึ่งต่อครึ่ง) และใช้เท่าไหร่ คนไข้รายนี้ใช้สกัดรวม เข้มข้น 3 หยด ก่อนนอนเพราะช่วยบรรเทาเจ็บและทำให้หลับได้สบายขึ้น
แต่ช่วงเช้าก็จะปวดอีกเพราะใช้แค่ก่อนนอน หมอจึงแนะนำเปลี่ยนการใช้เป็น 1 หยดเช้า 3 หยดเย็น ถ้าไม่ง่วงไม่มึนเมา ก็เพิ่มเป็น 1 เช้า 1 เที่ยง 3 เย็น แล้วก็เพิ่มไปได้เรื่อยๆ ถ้าผลข้างเคียงไม่มากเกินไป
ผลคือ โดนหยุดการใช้หลังจากจดลงไปในประวัติเพราะเป็นเรื่องห้ามการใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ และอีกไม่นานก็มีหมอท่านอื่นที่ยังไม่คุ้นกับการใช้กัญชา บอกคนไข้ว่าอย่าใช้เลยลูกหมอจึงได้แต่เงียบ
การที่สังคมเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วแต่แพทย์ยังต่อต้าน ปัญหาอาจจะอยู่ที่กัญชาเป็นน้ำมันสกัด แล้วไม่คุ้น จึงไม่อยากใช้หรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวก็มีเป็นแบบเม็ดออกมา หรือเพราะว่าได้รับการสั่งสอนมาตลอดว่ามันเป็นยาเสพติดแล้วไม่ดี หรือว่าขาดความรู้จึงต่อต้าน
หมอจึงพยายามให้ความรู้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงคนไข้ การตอบรับของพยาบาลนั้นดีมากเพราะรู้สึกว่าเป็นยาที่ปลอดภัย แต่การตอบรับในหมู่แพทย์นั้น บ้างก็ว่าไม่สมควร บ้างก็ว่าให้ได้หรือ
ในความเห็นของหมอ ถ้าเราทำเพื่อคนไข้ เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้คนไข้ดีขึ้น โดยที่ถึงจุดนั้นได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยบรรเทาอาการเจ็บในคนไข้ที่กินยาแก้ปวดอยู่แล้วไม่รู้กี่ตัว ควรเป็นหน้าที่ ของพวกเราในระบบสาธารณสุขครับ ขอให้คิดว่ามันคือยาอีกตัวหนึ่ง ก็จะทำให้สามารถ แนะนำคนไข้ให้ใช้ ได้อย่างชาญฉลาด
กล่าวคือการเข้าใจโรคว่าโรคที่รักษานั้นๆเกิดขึ้นจากอะไร (pathophysio– logy) และเข้าใจว่ากัญชาออกฤทธิ์อย่างไรคอยสอดส่องผลข้างเคียง การตีกับยาอื่นที่ใช้อยู่ก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถ กัญชาจริงๆแล้วได้ถูกใช้ทางการแพทย์มาเกือบ 200 ปีแล้ว ในการรักษาลมชัก แก้ปวดจากโรคไขข้อ และปวดเส้นประสาท ในการแก้ปวด กลไกการแก้ปวดของมันเกิดขึ้นได้จากการออกฤทธิ์ที่ตัวรับสัญญาณในสมอง ไขสันหลัง และในร่างกาย ควบคู่ไปด้วยกัน คอยทำงานผ่านตัวรับสัญญาณ CB ซึ่งเป็นจำพวก G-protein coupled receptor
และตัวรับสัญญาณอื่นๆ มากมาย และทั้งนี้เป็นกัญชาที่ผลิตในร่างกายของตนเองที่ได้รับการกระตุ้นเตือนจากกัญชาภายนอกที่เป็นตัวออกฤทธิ์ที่สำคัญ
ในเรื่องของโรคสมองนั้น วิธีรักษาหยุดอยู่กับที่มานานมากแล้ว มีแต่การรักษาบรรเทาอาการ มิได้ช่วยในการหยุดยั้งโรคแต่อย่างใด ยาต่างๆที่ออกมาก็แค่ทำให้สบายขึ้นก่อนจะตาย กัญชาจึงเป็นที่สนใจของหมอสมองอย่างมากหลังจากได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการรักษาอาการแข็งเกร็งในโรคปลอกประสาทอักเสบ (multiple sclerosis) กับโรคลมชักรุนแรงดื้อยาทุกชนิดในเด็ก (Dravet และ Lennox-Gastaut Syndromes) แต่ก็ใช้ได้ในโรคกลุ่มอื่นและอาจจะใช้ในโรคสมองอื่นๆที่ขยายขอบเขตไปอีกด้วย
บทความนี้จะเล่าถึงกัญชากับโรคทางสมองห้าโรคที่ไม่มีวิธีรักษา กับสารกัญชาหลายต่อหลายชนิด (THC, CBD, THCA, CBDA and terpenoids) ซึ่งออกฤทธิ์กับระบบกัญชาในร่างกาย (endocannabinoid mechanism) ผ่านตัวรับสัญญาณต่างๆ เช่น THC ออกฤทธิ์กับ CB1 และ CB2 จากนั้น THCA ออกฤทธิ์กับ PPAR-gamma และ CBD กับ CBDA ออกฤทธิ์กับตัวรับสัญญาณ Serotonin (5-HT1A)
ส่วนในร่างกายเราเองนั้นมีระบบกัญชาอยู่แล้วไม่ได้เป็นของใหม่ ความเก่งกาจของระบบนี้คือมันสามารถสั่งการได้ทั้งส่งสัญญาณไปปลายทาง (anterograde) และส่งสัญญาณกลับไปยังต้นทาง (retrograde) เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนสมดุลระบบกัญชาในร่างกาย (feed– back mechanism)
แต่เราก็เชื่อว่าเมื่อมีการกระทบกระเทือนในระบบไม่ว่าจะเป็นจากสารเคมี หรือจากการกระทบกระทั่งนั้น จะทำให้ระบบกัญชาใน ร่างกายและในสมองไม่สมดุลและจึงเป็นที่มาของการใช้กัญชาเพื่อไปปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งระบบนี้ก็ไม่ได้ใช้สารกัญชาสกัดตัวเดี่ยวๆ
แต่ใช้สารหลายต่อหลายชนิดที่พบในกัญชามาปรับเปลี่ยนควบคุมสมดุลที่น่าสนใจคือถ้าใช้แบบรวมไม่ได้สกัดแยกเป็นตัวๆจะดีมากกว่า เก่งกว่า ในโรคหลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคทางสมอง เพราะโรคทางสมองนั้นมีความซับซ้อนมาก และแต่ละสารเมื่อใช้รวมๆกันเริ่มพบว่ามีฤทธิ์ในการเกื้อกูลกัน (synergistic effect) โดยการออกฤทธิ์ในหลายระบบพร้อมๆกัน
ขณะนี้ความรู้ยังจำกัดเพราะเป็นของใหม่ แต่ในอนาคตถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น ไม่แน่อาจจะมีโอกาสที่จะพลิกโฉมการวิจัย การรักษาในโรคทางสมองเลยก็ได้ และอาจจะสามารถใช้ในการป้องกันหลายต่อหลายโรคก่อนจะเกิดโดยเฉพาะโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาได้อีกด้วย.
กัญชา การออกฤทธิ์และประโยชน์ (ตอนที่ 2)
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/1680980
กัญชา การออกฤทธิ์และประโยชน์ (ตอนที่ 3)
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1685718
หมอดื้อ
ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา
30 ตุลาคม 2562
ตอนสุดท้ายของการออกฤทธิ์ของกัญชาและประโยชน์ซึ่งเรียบเรียงมาจาก “Cannabis Therapeutics and the Future of Neurology” ใน frontiers in Integrative Neuroscience
โรคต่อไปที่กล่าวถึงจะเป็นกันเกลื่อนทั่วโลกคือ โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ถ้าไม่หาวิธีป้องกันให้ได้ในเร็ววันนี้ เป็นโรคที่น่ากลัว เพราะเมื่อโรคดำเนินไปจะมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น กระวนกระวาย นอนไม่เป็นเวลา อารมณ์แปรปรวน ทำให้การดูแลที่ยากอยู่แล้วยากขึ้นไปอีก
ปัญหาคือจะป้องกันหรือรักษาอย่างไร เมื่อตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าอัลไซเมอร์เกิดขึ้นเพราะว่าอะไร ความคิดที่ว่าเป็นจากโปรตีนผิดปกติ (beta amyloid) ก็ไม่รู้ว่าเป็นต้นเหตุหรือปลายเหตุกันแน่
แต่ที่รู้แน่ๆ คือหลังจากเริ่มมีโปรตีนผิดปกติเกาะตัวในเนื้อสมอง คาดว่าจะสายเกินไปแล้วที่จะรักษา เพราะการก่อตัวของโปรตีนผิดปกติทำให้แหล่งผลิตพลังงานในเซลล์ (mitochondria) ด้อยประสิทธิภาพ มีสารอนุมูลเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติจนเป็นพิษต่อเซลล์สมอง จนการทำงาน เช่น การ ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์เสียหาย ที่กล่าวมาเป็นวงจรที่จะทำให้การทำงานของสมองแย่ลงเรื่อยๆ
ฉะนั้นจะรักษาจะป้องกันก็ควรจะเริ่มแต่เนิ่นๆ ที่ตื่นเต้นเพราะระบบ endocannabinoid อาจจะเป็นระบบที่เราหาอยู่ในการหยุดการดำเนินต่อของโรคสมองเสื่อม การกระตุ้นระบบนี้อาจจะทำให้สมดุลของระบบและสมดุลของสมองกลับมาเป็นปกติ ช่วยให้สมองกำจัดโปรตีนผิดปกติได้เร็วขึ้น และตัวระบบกัญชาเองมีฤทธิ์ลดสารอนุมูลผิดปกติ และลดเซลล์สมองเสียหายจากระบบทำลายตัวเอง (glutamate excitotoxicity) ได้อย่างดี
ส่วนตัว CBD เองช่วยลดการอักเสบได้โดยลดการผลิตสารกระตุ้นการอักเสบ (inducible nitric oxide, TNF-alpha and IL-1B expression and release) และยังช่วยบำรุง เซลล์สมองอีกด้วย เริ่มมีการใช้ในปี 1997 กับคนไข้อัลไซเมอร์ที่ไม่ค่อยอยากอาหาร พบว่ากินข้าว และเพิ่มสารอาหาร น้ำหนักขึ้นได้ดี การใช้ในคนไข้สมองเสื่อมอีกกลุ่มก็พบว่าเมื่อใช้กัญชาจะสามารถลดยากดประสาทและทำให้นอนได้ดีขึ้น นอกจากที่กล่าวมายังอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย เยี่ยมไปเลย
และส่วนตัวที่หมอมีประสบการณ์ในการแนะนำการรักษา พบว่าคนป่วยแม้ว่าจะมีอาการมากจนดูแล ตนเองไม่ได้ ต้องการคนช่วยดูแล 24 ชั่วโมง ติดต่อสื่อสารทางภาษาไม่ได้ กลับดีขึ้นเรื่อยๆ จนช่วยตนเองได้เมื่อเริ่มใช้กัญชาจนปัจจุบันผ่านไป 9 เดือนแล้ว (ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2562) และคนป่วยอีกหลายรายรวมทั้งคนป่วยพาร์กินสัน
เรื่องสำคัญเรื่องต่อมา น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ มากสุดๆของประเทศไทยที่มีอัตราการตาย พิการ จากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงที่สุดในภูมิภาคหรือประมาณ 20,000 คน พิการ อีกเกิน 60,000 คน สูญเสียเงินไปกับสิ่งนี้ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท นึกว่าสงคราม
ทำอย่างไรดี ยังดีที่การลดอุบัติเหตุกำลังจะไม่ถูกละเลยเพราะกำลังจะเป็นวาระแห่งชาติ
แต่จะทำอย่างไรให้ลดได้จริง และลดได้อย่างยั่งยืน ใครคิดออกช่วยเสนอหน่อย
ตอนนี้หมอแสวงหาวิธีลดการเกิดความพิการหลังสมองกระทบกระเทือนก่อนแล้วกัน พ่อแม่จะได้เลี้ยงดูลูกที่พิการหลังกะโหลกยุบ เลือดออกในสมอง ได้ง่ายหน่อย
โดยเฉพาะที่ไม่ใส่หมวกกันกระแทก
แล้วกัญชามาช่วยในจุดนี้ได้อย่างไร กลไกเดียวกับที่กล่าวด้านบนในการลดสารอนุมูลผิดปกติและลดเซลล์สมองเสียหายจากระบบทำลายตัวเอง (glutamate excitotoxicity) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากการกระทบกระเทือนและเป็นเหมือนชนวนให้เซลล์ตายไปตามๆกัน เพราะเกิดการอักเสบรุนแรง เราหวังว่ากัญชาจะไปหยุดวงจรที่วนเวียนนี้และลดการอักเสบต่อเนื่องที่ไม่ใช่ผลดีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เมื่อผ่านจุดอันตรายต่อชีวิตไปแล้ว ในผู้ป่วยสมองพิการหลายคนจะได้รับผลกระทบในระยะยาวเพราะส่วนของสมองได้ทำงานผิดปกติไปแล้วและยังไม่สามารถหาจุดสมดุลใหม่ได้ (chronic traumatic encephalopathy)
และที่พบได้บ่อย คืออาการ เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย และประสาทหลอน และกัญชาสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ ยังไม่จบที่อุบัติเหตุเท่านั้น แต่อาจจะยังครอบคลุมไปถึงเส้นเลือดตีบตันในสมอง (ischaemic stroke) และเส้นเลือดแตกด้วย (haemorrhagic stroke)
เพราะสองสิ่งนี้ก็คือการกระทบกระเทือนของสมองเฉกเช่นเดียวกับที่เกิดจากอุบัติเหตุและมีเซลล์ตายต่อเนื่องหลังจากเกิดเหตุแบบเดียวกันจึงน่าจะสามารถใช้ได้เหมือนกัน
สุดท้ายแล้ว เคยบอกเรื่องความเกี่ยวข้องของอาหารการกิน กับจำพวกของแบคทีเรียในลำไส้ โยงไปถึงสุขภาพของหัวใจ โอกาสเป็นมะเร็ง รวมไปถึงสิวอีกด้วย คราวนี้มาถึงลำไส้ สมอง (Gut brain axis) และกัญชากันบ้าง แบคทีเรียในลำไส้มันสำคัญยังไง ก็ต้องอึออกมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียวเพราะแบคทีเรียจำนวนมากอาศัยอยู่ในลำไส้เรา ที่จริงแล้วมันอาศัยอยู่มากกว่า 100 ล้าน ล้านตัว (microbiome)
เยอะกว่าชุดดีเอ็นเอ (genome) ทั้งหมดของเรารวมกันสัก 100 เท่าเห็นจะได้
การศึกษาพบว่าในคนน้ำหนักเกินจะมีแบคทีเรียดีน้อยกว่า (Bacteroides) และมีแบคทีเรียไม่ดีมาแทน (Firmicutes) แต่มันเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับสมอง เริ่มจากการปลูกถ่ายอุจจาระที่มีแบคทีเรียจำพวกดีในหนูจำลองโรคพาร์กินสัน พบว่าหนูขยับได้ดีขึ้น และมีการสันนิษฐานว่าการอักเสบจากลำไส้เป็นเพราะเศษแบคทีเรีย (lipopolysaccharide) ที่หลุดรอดผ่านผนังเส้นเลือดเข้าไปในเลือด ต่อมาก็มีการสังเกตว่าการกินอยู่และใช้ชีวิตแบบยุโรปนั้นจะทำให้เกิดสิวมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนป่านั้นไม่มีสิวเลย คนป่าก็ไม่มีโรคเบาหวานอีกด้วย
จนมาถึงในช่วง 5 ปีหลังนี้ ที่มีการให้ความสำคัญในเรื่องการอักเสบเรื้อรังในร่างกายกับเนื้อสมองนั้นเป็นตัวกระตุ้นของสมองเสื่อม จึงสำรวจจำนวนของแบคทีเรียก่อสิว (Propionibacterium acnes) ในคนเป็นอัลไซเมอร์และพบว่ามีจำนวนแบคทีเรียกลุ่มนี้ในช่องปากและลำไส้มากกว่าคนที่ไม่ได้เป็น 5-10 เท่าเลยทีเดียว
แต่กัญชาและพี่น้องของมันมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโปรตีนบิดเกลียวผิดปรกติได้ และยังมีฤทธิ์ป้องกันการโตของแบค
กัญชา การออกฤทธิ์และประโยชน์ บทความจาก ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ
ในตอนที่3 ได้เขียนเกี่ยวกับสมองด้วย จึงของแท็ก โรคเกี่ยวกับสมองครับ
การออกฤทธิ์ของกัญชา และประโยชน์ (ตอนที่ 1)
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1675871
ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา
หมอดื้อ
6 ตุลาคม 2562
หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีการเดินหน้าทางด้านกัญชาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านตำรับแผนไทยและของอาจารย์เดชาเอง อีกทั้งทั่วทั้งโลกก็มีความสนใจในเรื่องนี้และทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความแตกต่างในความคิดเห็น
กลายเป็นหมอยังไม่มีความรู้ทางด้านกัญชา แต่คนไข้ใช้กันเยอะแล้ว โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง หนักกว่าคือคนไข้ไม่กล้าบอกหมอ ถ้าไม่ถามโดยตรงจะไม่บอกเพราะกลัวโดนหมอดุ ก็กลายเป็นว่าใช้ไปโดยที่หมอเจ้าของไข้ไม่ได้รู้ เช่นในโรงพยาบาลที่ลูกชายหมอทำงานอยู่ คนไข้มะเร็งขั้นสุดท้ายนั้นได้เข้ามานอนโรงพยาบาลอีกรอบหลังจากเข้ามาติดๆ กันหลายครั้ง เพราะใช้มอร์ฟีนในขนาดที่น่าตกใจเพื่อบรรเทาอาการปวด จึงไม่สามารถถ่ายได้เพราะมอร์ฟีนไปหยุดการขยับเขยื้อนของลำไส้ อุจจาระเต็มท้องและปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกชายหมอจึงถามว่าเคยใช้กัญชาไหม ถึงได้คำตอบว่าใช้มานานแล้ว แต่ไม่เคยบอกหมอ จากนั้นสิ่งที่สำคัญการซักประวัติ เช่น ต้องถามว่าใช้เป็นกัญชาอะไร (สกัดรวม, THC CBD แบบเดี่ยวหรือรวม, หรือครึ่งต่อครึ่ง) และใช้เท่าไหร่ คนไข้รายนี้ใช้สกัดรวม เข้มข้น 3 หยด ก่อนนอนเพราะช่วยบรรเทาเจ็บและทำให้หลับได้สบายขึ้น
แต่ช่วงเช้าก็จะปวดอีกเพราะใช้แค่ก่อนนอน หมอจึงแนะนำเปลี่ยนการใช้เป็น 1 หยดเช้า 3 หยดเย็น ถ้าไม่ง่วงไม่มึนเมา ก็เพิ่มเป็น 1 เช้า 1 เที่ยง 3 เย็น แล้วก็เพิ่มไปได้เรื่อยๆ ถ้าผลข้างเคียงไม่มากเกินไป
ผลคือ โดนหยุดการใช้หลังจากจดลงไปในประวัติเพราะเป็นเรื่องห้ามการใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ และอีกไม่นานก็มีหมอท่านอื่นที่ยังไม่คุ้นกับการใช้กัญชา บอกคนไข้ว่าอย่าใช้เลยลูกหมอจึงได้แต่เงียบ
การที่สังคมเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วแต่แพทย์ยังต่อต้าน ปัญหาอาจจะอยู่ที่กัญชาเป็นน้ำมันสกัด แล้วไม่คุ้น จึงไม่อยากใช้หรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวก็มีเป็นแบบเม็ดออกมา หรือเพราะว่าได้รับการสั่งสอนมาตลอดว่ามันเป็นยาเสพติดแล้วไม่ดี หรือว่าขาดความรู้จึงต่อต้าน
หมอจึงพยายามให้ความรู้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงคนไข้ การตอบรับของพยาบาลนั้นดีมากเพราะรู้สึกว่าเป็นยาที่ปลอดภัย แต่การตอบรับในหมู่แพทย์นั้น บ้างก็ว่าไม่สมควร บ้างก็ว่าให้ได้หรือ
ในความเห็นของหมอ ถ้าเราทำเพื่อคนไข้ เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้คนไข้ดีขึ้น โดยที่ถึงจุดนั้นได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยบรรเทาอาการเจ็บในคนไข้ที่กินยาแก้ปวดอยู่แล้วไม่รู้กี่ตัว ควรเป็นหน้าที่ ของพวกเราในระบบสาธารณสุขครับ ขอให้คิดว่ามันคือยาอีกตัวหนึ่ง ก็จะทำให้สามารถ แนะนำคนไข้ให้ใช้ ได้อย่างชาญฉลาด
กล่าวคือการเข้าใจโรคว่าโรคที่รักษานั้นๆเกิดขึ้นจากอะไร (pathophysio– logy) และเข้าใจว่ากัญชาออกฤทธิ์อย่างไรคอยสอดส่องผลข้างเคียง การตีกับยาอื่นที่ใช้อยู่ก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถ กัญชาจริงๆแล้วได้ถูกใช้ทางการแพทย์มาเกือบ 200 ปีแล้ว ในการรักษาลมชัก แก้ปวดจากโรคไขข้อ และปวดเส้นประสาท ในการแก้ปวด กลไกการแก้ปวดของมันเกิดขึ้นได้จากการออกฤทธิ์ที่ตัวรับสัญญาณในสมอง ไขสันหลัง และในร่างกาย ควบคู่ไปด้วยกัน คอยทำงานผ่านตัวรับสัญญาณ CB ซึ่งเป็นจำพวก G-protein coupled receptor
และตัวรับสัญญาณอื่นๆ มากมาย และทั้งนี้เป็นกัญชาที่ผลิตในร่างกายของตนเองที่ได้รับการกระตุ้นเตือนจากกัญชาภายนอกที่เป็นตัวออกฤทธิ์ที่สำคัญ
ในเรื่องของโรคสมองนั้น วิธีรักษาหยุดอยู่กับที่มานานมากแล้ว มีแต่การรักษาบรรเทาอาการ มิได้ช่วยในการหยุดยั้งโรคแต่อย่างใด ยาต่างๆที่ออกมาก็แค่ทำให้สบายขึ้นก่อนจะตาย กัญชาจึงเป็นที่สนใจของหมอสมองอย่างมากหลังจากได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการรักษาอาการแข็งเกร็งในโรคปลอกประสาทอักเสบ (multiple sclerosis) กับโรคลมชักรุนแรงดื้อยาทุกชนิดในเด็ก (Dravet และ Lennox-Gastaut Syndromes) แต่ก็ใช้ได้ในโรคกลุ่มอื่นและอาจจะใช้ในโรคสมองอื่นๆที่ขยายขอบเขตไปอีกด้วย
บทความนี้จะเล่าถึงกัญชากับโรคทางสมองห้าโรคที่ไม่มีวิธีรักษา กับสารกัญชาหลายต่อหลายชนิด (THC, CBD, THCA, CBDA and terpenoids) ซึ่งออกฤทธิ์กับระบบกัญชาในร่างกาย (endocannabinoid mechanism) ผ่านตัวรับสัญญาณต่างๆ เช่น THC ออกฤทธิ์กับ CB1 และ CB2 จากนั้น THCA ออกฤทธิ์กับ PPAR-gamma และ CBD กับ CBDA ออกฤทธิ์กับตัวรับสัญญาณ Serotonin (5-HT1A)
ส่วนในร่างกายเราเองนั้นมีระบบกัญชาอยู่แล้วไม่ได้เป็นของใหม่ ความเก่งกาจของระบบนี้คือมันสามารถสั่งการได้ทั้งส่งสัญญาณไปปลายทาง (anterograde) และส่งสัญญาณกลับไปยังต้นทาง (retrograde) เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนสมดุลระบบกัญชาในร่างกาย (feed– back mechanism)
แต่เราก็เชื่อว่าเมื่อมีการกระทบกระเทือนในระบบไม่ว่าจะเป็นจากสารเคมี หรือจากการกระทบกระทั่งนั้น จะทำให้ระบบกัญชาใน ร่างกายและในสมองไม่สมดุลและจึงเป็นที่มาของการใช้กัญชาเพื่อไปปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งระบบนี้ก็ไม่ได้ใช้สารกัญชาสกัดตัวเดี่ยวๆ
แต่ใช้สารหลายต่อหลายชนิดที่พบในกัญชามาปรับเปลี่ยนควบคุมสมดุลที่น่าสนใจคือถ้าใช้แบบรวมไม่ได้สกัดแยกเป็นตัวๆจะดีมากกว่า เก่งกว่า ในโรคหลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคทางสมอง เพราะโรคทางสมองนั้นมีความซับซ้อนมาก และแต่ละสารเมื่อใช้รวมๆกันเริ่มพบว่ามีฤทธิ์ในการเกื้อกูลกัน (synergistic effect) โดยการออกฤทธิ์ในหลายระบบพร้อมๆกัน
ขณะนี้ความรู้ยังจำกัดเพราะเป็นของใหม่ แต่ในอนาคตถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น ไม่แน่อาจจะมีโอกาสที่จะพลิกโฉมการวิจัย การรักษาในโรคทางสมองเลยก็ได้ และอาจจะสามารถใช้ในการป้องกันหลายต่อหลายโรคก่อนจะเกิดโดยเฉพาะโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาได้อีกด้วย.
กัญชา การออกฤทธิ์และประโยชน์ (ตอนที่ 2)
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/1680980
กัญชา การออกฤทธิ์และประโยชน์ (ตอนที่ 3)
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1685718
หมอดื้อ
ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา
30 ตุลาคม 2562
ตอนสุดท้ายของการออกฤทธิ์ของกัญชาและประโยชน์ซึ่งเรียบเรียงมาจาก “Cannabis Therapeutics and the Future of Neurology” ใน frontiers in Integrative Neuroscience
โรคต่อไปที่กล่าวถึงจะเป็นกันเกลื่อนทั่วโลกคือ โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ถ้าไม่หาวิธีป้องกันให้ได้ในเร็ววันนี้ เป็นโรคที่น่ากลัว เพราะเมื่อโรคดำเนินไปจะมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น กระวนกระวาย นอนไม่เป็นเวลา อารมณ์แปรปรวน ทำให้การดูแลที่ยากอยู่แล้วยากขึ้นไปอีก
ปัญหาคือจะป้องกันหรือรักษาอย่างไร เมื่อตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าอัลไซเมอร์เกิดขึ้นเพราะว่าอะไร ความคิดที่ว่าเป็นจากโปรตีนผิดปกติ (beta amyloid) ก็ไม่รู้ว่าเป็นต้นเหตุหรือปลายเหตุกันแน่
แต่ที่รู้แน่ๆ คือหลังจากเริ่มมีโปรตีนผิดปกติเกาะตัวในเนื้อสมอง คาดว่าจะสายเกินไปแล้วที่จะรักษา เพราะการก่อตัวของโปรตีนผิดปกติทำให้แหล่งผลิตพลังงานในเซลล์ (mitochondria) ด้อยประสิทธิภาพ มีสารอนุมูลเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติจนเป็นพิษต่อเซลล์สมอง จนการทำงาน เช่น การ ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์เสียหาย ที่กล่าวมาเป็นวงจรที่จะทำให้การทำงานของสมองแย่ลงเรื่อยๆ
ฉะนั้นจะรักษาจะป้องกันก็ควรจะเริ่มแต่เนิ่นๆ ที่ตื่นเต้นเพราะระบบ endocannabinoid อาจจะเป็นระบบที่เราหาอยู่ในการหยุดการดำเนินต่อของโรคสมองเสื่อม การกระตุ้นระบบนี้อาจจะทำให้สมดุลของระบบและสมดุลของสมองกลับมาเป็นปกติ ช่วยให้สมองกำจัดโปรตีนผิดปกติได้เร็วขึ้น และตัวระบบกัญชาเองมีฤทธิ์ลดสารอนุมูลผิดปกติ และลดเซลล์สมองเสียหายจากระบบทำลายตัวเอง (glutamate excitotoxicity) ได้อย่างดี
ส่วนตัว CBD เองช่วยลดการอักเสบได้โดยลดการผลิตสารกระตุ้นการอักเสบ (inducible nitric oxide, TNF-alpha and IL-1B expression and release) และยังช่วยบำรุง เซลล์สมองอีกด้วย เริ่มมีการใช้ในปี 1997 กับคนไข้อัลไซเมอร์ที่ไม่ค่อยอยากอาหาร พบว่ากินข้าว และเพิ่มสารอาหาร น้ำหนักขึ้นได้ดี การใช้ในคนไข้สมองเสื่อมอีกกลุ่มก็พบว่าเมื่อใช้กัญชาจะสามารถลดยากดประสาทและทำให้นอนได้ดีขึ้น นอกจากที่กล่าวมายังอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย เยี่ยมไปเลย
และส่วนตัวที่หมอมีประสบการณ์ในการแนะนำการรักษา พบว่าคนป่วยแม้ว่าจะมีอาการมากจนดูแล ตนเองไม่ได้ ต้องการคนช่วยดูแล 24 ชั่วโมง ติดต่อสื่อสารทางภาษาไม่ได้ กลับดีขึ้นเรื่อยๆ จนช่วยตนเองได้เมื่อเริ่มใช้กัญชาจนปัจจุบันผ่านไป 9 เดือนแล้ว (ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2562) และคนป่วยอีกหลายรายรวมทั้งคนป่วยพาร์กินสัน
เรื่องสำคัญเรื่องต่อมา น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ มากสุดๆของประเทศไทยที่มีอัตราการตาย พิการ จากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงที่สุดในภูมิภาคหรือประมาณ 20,000 คน พิการ อีกเกิน 60,000 คน สูญเสียเงินไปกับสิ่งนี้ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท นึกว่าสงคราม
ทำอย่างไรดี ยังดีที่การลดอุบัติเหตุกำลังจะไม่ถูกละเลยเพราะกำลังจะเป็นวาระแห่งชาติ
แต่จะทำอย่างไรให้ลดได้จริง และลดได้อย่างยั่งยืน ใครคิดออกช่วยเสนอหน่อย
ตอนนี้หมอแสวงหาวิธีลดการเกิดความพิการหลังสมองกระทบกระเทือนก่อนแล้วกัน พ่อแม่จะได้เลี้ยงดูลูกที่พิการหลังกะโหลกยุบ เลือดออกในสมอง ได้ง่ายหน่อย
โดยเฉพาะที่ไม่ใส่หมวกกันกระแทก
แล้วกัญชามาช่วยในจุดนี้ได้อย่างไร กลไกเดียวกับที่กล่าวด้านบนในการลดสารอนุมูลผิดปกติและลดเซลล์สมองเสียหายจากระบบทำลายตัวเอง (glutamate excitotoxicity) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากการกระทบกระเทือนและเป็นเหมือนชนวนให้เซลล์ตายไปตามๆกัน เพราะเกิดการอักเสบรุนแรง เราหวังว่ากัญชาจะไปหยุดวงจรที่วนเวียนนี้และลดการอักเสบต่อเนื่องที่ไม่ใช่ผลดีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เมื่อผ่านจุดอันตรายต่อชีวิตไปแล้ว ในผู้ป่วยสมองพิการหลายคนจะได้รับผลกระทบในระยะยาวเพราะส่วนของสมองได้ทำงานผิดปกติไปแล้วและยังไม่สามารถหาจุดสมดุลใหม่ได้ (chronic traumatic encephalopathy)
และที่พบได้บ่อย คืออาการ เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย และประสาทหลอน และกัญชาสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ ยังไม่จบที่อุบัติเหตุเท่านั้น แต่อาจจะยังครอบคลุมไปถึงเส้นเลือดตีบตันในสมอง (ischaemic stroke) และเส้นเลือดแตกด้วย (haemorrhagic stroke)
เพราะสองสิ่งนี้ก็คือการกระทบกระเทือนของสมองเฉกเช่นเดียวกับที่เกิดจากอุบัติเหตุและมีเซลล์ตายต่อเนื่องหลังจากเกิดเหตุแบบเดียวกันจึงน่าจะสามารถใช้ได้เหมือนกัน
สุดท้ายแล้ว เคยบอกเรื่องความเกี่ยวข้องของอาหารการกิน กับจำพวกของแบคทีเรียในลำไส้ โยงไปถึงสุขภาพของหัวใจ โอกาสเป็นมะเร็ง รวมไปถึงสิวอีกด้วย คราวนี้มาถึงลำไส้ สมอง (Gut brain axis) และกัญชากันบ้าง แบคทีเรียในลำไส้มันสำคัญยังไง ก็ต้องอึออกมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียวเพราะแบคทีเรียจำนวนมากอาศัยอยู่ในลำไส้เรา ที่จริงแล้วมันอาศัยอยู่มากกว่า 100 ล้าน ล้านตัว (microbiome)
เยอะกว่าชุดดีเอ็นเอ (genome) ทั้งหมดของเรารวมกันสัก 100 เท่าเห็นจะได้
การศึกษาพบว่าในคนน้ำหนักเกินจะมีแบคทีเรียดีน้อยกว่า (Bacteroides) และมีแบคทีเรียไม่ดีมาแทน (Firmicutes) แต่มันเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับสมอง เริ่มจากการปลูกถ่ายอุจจาระที่มีแบคทีเรียจำพวกดีในหนูจำลองโรคพาร์กินสัน พบว่าหนูขยับได้ดีขึ้น และมีการสันนิษฐานว่าการอักเสบจากลำไส้เป็นเพราะเศษแบคทีเรีย (lipopolysaccharide) ที่หลุดรอดผ่านผนังเส้นเลือดเข้าไปในเลือด ต่อมาก็มีการสังเกตว่าการกินอยู่และใช้ชีวิตแบบยุโรปนั้นจะทำให้เกิดสิวมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนป่านั้นไม่มีสิวเลย คนป่าก็ไม่มีโรคเบาหวานอีกด้วย
จนมาถึงในช่วง 5 ปีหลังนี้ ที่มีการให้ความสำคัญในเรื่องการอักเสบเรื้อรังในร่างกายกับเนื้อสมองนั้นเป็นตัวกระตุ้นของสมองเสื่อม จึงสำรวจจำนวนของแบคทีเรียก่อสิว (Propionibacterium acnes) ในคนเป็นอัลไซเมอร์และพบว่ามีจำนวนแบคทีเรียกลุ่มนี้ในช่องปากและลำไส้มากกว่าคนที่ไม่ได้เป็น 5-10 เท่าเลยทีเดียว
แต่กัญชาและพี่น้องของมันมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโปรตีนบิดเกลียวผิดปรกติได้ และยังมีฤทธิ์ป้องกันการโตของแบค