Joe Rogan ผู้สร้างหรือเหยื่อของความขัดแย้งบนโซเชียลแพลตฟอร์ม



โจ โรแกน นักจัดรายการสนทนาทางพ็อดแคสต์ ที่กำลังเป็นศูนย์กลางของประเด็นขัดแย้งและเป็นที่สนใจมากที่สุดในขณะนี้ ล่าสุด โรแกน ได้ออกมาขอโทษ หลังมีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์จำนวนหนึ่ง กล่าวหาว่า รายการสนทนาที่ได้รับความนิยมอย่างมากของเขา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวาง โรแกนได้โพสต์คลิปวีดิโอความยาว 10 นาทีลงในอินสตาร์แกรมส่วนตัว เพื่อแสดงท่าทีต่อประเด็นข้อกล่าวหาดังกล่าว ก่อนที่เราจะไปฟังคำพูดของเขาคำต่อคำ ผมขอนำเสนอมุมมองของสื่อกระแสหลักต่อประเด็นนี้

ค่าย The New York Times ออกมาจั่วหัวในบทความว่า “ปัญหาของ Spotify ในประเด็นโจ โรแกน จะไม่หายไปไหน” โดยพยายามตอกย้ำว่าปัญหาแท้จริงคือปัญหาระหว่างตัวโจ ที่เป็นเหมือนแม่เหล็กสร้างเรตติ้ง กับ Spotify เอง โดยตอกย้ำว่า แม้บริษัทจะมีกฎปฏิบัติในเรื่องห้ามการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน แต่กลับปล่อยให้มีการกระทำผิดกฎเสียเอง และแถมยังเลือกที่จะรักษาโจ แทนที่จะลงโทษโดยการขับออก โดย Daniel Ek ซีอีโอของ Spotify กลับออกมาย้ำถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพของการพูด แม้จะบอกว่าต่อไปนี้จะมีฟีเจอร์ที่เป็นมาตรการป้องกันการบิดเบือนข้อมูลก็ตาม ในขณะที่ยอมปล่อยให้ศิลปินใหญ่ที่เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กอย่าง นีล ยัง ให้ถอดเพลงออก ซึ่งคาดว่าจะทำให้แพลตฟอร์มที่เป็นสตรีมมิงเซอร์วิสโปรไวเดอร์แห่งนี้ ต้องสูญรายได้นับพันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ NYT ยังบอกว่า ความเสียหายยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะว่าหลายองค์กรจะร่วมกันบอยคอต Spotify รวมถึง การแห่ถอดโฆษณาอีกหลายเจ้า แน่นอนว่า ข้อกล่าวหาหลักที่มีต่อ โจ โรแกน คือ นำเสนอเนื้อหาที่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับโควิด 19 รวมทั้งการเชิญผู้เชี่ยวชาญที่ถูกแบนโดย Twitter มาออกรายการ

ขณะเดียวกันผมพยายามหาสื่อที่ยืนฝั่งเดียวกับโจ โรแกน หาแทบไม่เจอ จะมีก็แต่ช่อง Fox News ที่เดียว ซึ่งก็เป็นที่รับทราบว่า สื่อที่เป็น mainstream media อย่างทีวีเน็ตเวิร์คแทบทุกช่อง ทั้ง CNN ABC MSNBC CBS PBS รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่า Big Tech อย่าง กูเกิล อะเมซอน ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค ไมโครซอฟต์ ต่างก็ยืนฝั่งตรงข้ามกับโรแกนทั้งนั้น

ในความเห็นส่วนตัวมองว่า การที่พ็อดแคสต์ของโจได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยรายการ The Joe Rogan Experience มียอดผู้ฟังมากกว่า 11 ล้านคนทั่วโลก ซึ่ งผมเองก็เคยรับฟังประจำก่อนที่รายการของเขาจะย้ายแพลตฟอร์มไปอยู่กับ Spotify และพบว่าคนฟังส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน อายุ 30-60 ปี มีทั้งวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ คนทำงานสายคอมพิวเตอร์ เป็นหลัก ยิ่งได้อ่านคอมเมนต์ต่างๆ ของคนฟัง พบว่าส่วนใหญ่จะเบื่อกับสื่อกระแสหลักที่ส่วนใหญ่ยึดโยงกับฝ่ายการเมือง หรือไม่ก็องค์กรธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติ ฉะนั้นจึงอาจมองได้ว่าพ็อดแคสต์ของ โจ โรแกน เป็นเหมือนอีกหนึ่งทางเลือกของพวกเขา ที่มีความ “อิสระ” มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ในยุคนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่