เจ้าของกระทู้เป็นผู้หญิง อายุ28 มีเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตอยู่ 2 คน ที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
คนที่ 1 นามสมมุติว่า เอ เรารู้จัก เอมาประมาน 8 ปี เอเป็นแฟนของเพื่อนเราสมัยเรียนมอปลาย ( เอเป็นผญ เพื่อนเราผช ) สนิทกันเพราะเราโดนแฟนเก่าที่เป็นเพื่อนกับแฟนเอ ทิ้งเรา เอและแฟนเอสงสารเราก็มาอยู่ฝั่งเรา เลิกเป็นเพื่อนและตัดขาดกับทางแฟนเก่าไป ตอนนั้นเราอยู่คอนโดเราก็เหงาที่อยู่คนเดียวเราก็จะให้เอและแฟนเอมาอยู่ด้วยกินๆนอนๆอยู่ด้วย ให้อยู่ฟรี แถมเลี้ยงข้าวด้วยตลอด 55555 ( เพราะเอกับแฟนเอไม่ค่อยมีเงิน แต่ตอนนั้นเราได้เงินจากคุณพ่อเยอะเดือนนึง 5-6 หมื่น ) เป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นเราก็กลับไปอยู่บ้านตัวเองแต่เวลามีอะไรเราจะคุยกับเอตลอด คุยกันได้ทุกเรื่อง เอมีเรื่องอะไรเดือดร้อนเรื่องเงินเราช่วยได้หมด แต่น้อยครั้งมากที่เอจะมารบกวน เพราะเอเกรงใจจนบางทีเอเครียดก็ไม่เคยบอกเรา แต่เราเป็นฝ่ายถามเอง และเสนอช่วยทุกอย่าง
คนที่ 2 นามสมมุติว่า บี ( เป็นผู้หญิง ) เป็นเพื่อนในหมู่บ้านตั้งแต่สมัยเรียนประถมเรียน รร เดียวกัน นั่งรถตู้คันเดียวกัน เล่นด้วยกันทุกวันโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ยันมัธยม แล้วบีก็มีแฟนก็ชวนแฟนมาที่หมู่บ้าน แล้วชวนเราออกไปนั่งเล่นสนามเด็กเล่นด้วยกัน ก็มีเรา บี และแฟนบี จนพ่อของบีขับรถผ่านและมาเห็นว่ามีผู้ชาย เลยเรียกบีขึ้นรถแล้วกับบ้านไป สักพักแฟนบีก็กับบ้านส่วนเราก็กับบ้าน บ้านเราอยู่หมู่บ้านเดียวกันแต่คนละซอยกับบี สักพักพ่อของบีกับบีก็ขับรถมาหน้าบ้านเรา แล้วก็มาเรียกแม่เราออกไป แล้วพ่อของบีก็เข้าใจผิด หาว่าเราพาผู้ชายมาเจอลูกเขา ตั้งแต่นั้นแม่เราให้เลิกยุ่งกับบีไปอีกเลย จนมาสมัยมหาลัยก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย เพราะบีไปอยู่หอ จนเมื่อ 4 ปีที่เรากลับจากคอนโดมาอยู่บ้าน เราก็ได้ไปงานวัดแถวบ้านแล้วก็เจอบีกับลูกบีมาเดินงานวัด บีก็ทักเราเราก็เลยทักบี สรุปหลังจากนั้นก็ขอเบอร์กันและนัดกันเจอที่บ้านก็ได้กับมาคุยเรื่องวันวาน สารทุกข์สุขดิบ และสนิทกันอีกครั้ง
แต่ปัจจุบันพ่อและแม่ของเจ้าของกระทู้เลิกกัน พ่อไม่ได้ให้เงินเราอีก เราเป็นเสาร์หลักของบ้านที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงแม่และน้อง เราขายของออนไลน์มาระยะเวลา 3-4 ปี จนปัจจุบันการขายของๆเราเริ่มมีปัญหา ( เราขายของพรีออเดอร์จากจีน ด่านเริ่มปิด เพราะโควิดทำให้สินค้าเข้าช้า และลูกค้ายกเลิกเป็นจำนวนมาก ) จนทำให้เราหาเงินมาคืนลูกค้าแทบไม่ทันเพราะเวลาสั่งเราจะเก็บมัดจำลูกค้า 50% ของยอด เราสำรองเงินจนหมดตัว แถมยังไม่พอ การเงินเริ่มติดขัด ยอดทั้งหมดที่ลูกค้ายกเลิกและต้องคืนเงินเป็นจำนวน 350,000 เราก็ได้หาหยิบยืมทั้งญาติและเพื่อน เรื่องที่เราจะมาตั้งนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เราจะหาเงินรวบรวมครบเคลียให้ลูกค้า เราก็ได้ยืมทั้งญาติ และเพื่อน เราได้ยืมเอ เอก็ช่วยเราเต็มที่ทั้งเงินเอ ทั้งเอไปกู้มาให้ ( เอรับหน้ากู้ ) ส่วนบี เราได้ขอความช่วยจากบี แต่บีช่วยเราไม่ได้เพราะ บีไม่ได้ทำงานบีแตกต่างจากเราก็คือ บีไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เพราะพ่อบีเขาให้เงินเดือนใช้ทุกเดือนๆละ 20,000 แถมเลี้ยงลูกของบีให้อีกค่าใช้จ่ายต่างๆ ( บีเลิกกับพ่อของลูก ) ชีวิตบีกับเราเลยแตกต่างกัน บีแค่อยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้านก็ได้เดือน แต่เราต้องหาเงินเลี้ยงแม่และน้อง แถมตอนนี้ต้องหาเงินเคลียลูกค้าอีก ทำให้เครียดนอนแทบไม่หลับ แต่เราเคยเจอพ่อของบีหลังจากที่เรากับมาสนิทกัน พ่อของบีก็ได้รับรู้เรื่องปัญหาที่บ้านของเราว่า พ่อกับแม่เราเลิกกันและพ่อไม่ส่งเสียเงินให้ เพราะบีไปเล่าให้พ่อเขาฟัง พ่อของบีก็สงสารเรา และพูดกับเราว่า ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้บอกพ่อได้เลย พ่อยินดีช่วยเต็มที่ ( เราก็แอบดีใจว่าที่ผ่านมาแต่ก่อนที่เขาเคยมาว่าแม่เราว่าหาว่าเราพาผชมาเจอลูกค้า ตอนนี้เขาคงรู้พฤติกรรมของลูกเขาแล้ว 😅 ) ช่วงระหว่างที่เรากับไปสนิทกับบี บีได้มีแฟนใหม่และติดแฟนมา เวลาจะไปหาแฟนใหม่ทีนึงก็เอาลูกมาฝากไว้กับเรา ลูกบีอายุ 2 ขวบ บางทีมาฝากเป็นอาทิตย์ แต่พ่อบีไม่รู้นะคะเพราะบีอยุ่คนละบ้านกับพ่อของเขา บีชอบเอาลูกมาฝากเราเลี้ยงมานอนด้วย อาทิตย์นึง 3-4 วัน แต่ไม่เคยทิ้งเงินไว้ให้ เราก็ไม่เคยว่า บางทีใช้ให้เราไปรับไปส่ง ลูกบี ที่ รร เด็กมันก็ต้องกินขนมซื้อของเล่น แต่ก็ไม่เคยทิ้งเงินไว้สักบาท เราก็เอ็นดูลูกบี เลยไม่ได้คิดอะไร เงิน 20,000 ที่พ่อบีให้บี ต่อเดือนนึงบีไม่เคยใช้พอ จะหมดไปกับค่าน่ำมันที่ไปหาแฟน ค่ากินข้าวหรูๆ ค่าใช้ของแต่งตัว บีจะมายืมเราตลอด บางทีบีเงินหมด ก็จะมาอาศัยกินข้าวเย็นบ้านเราตลอดบางทีก็โทรมาใช้แม่เราทำธุระให้ไปเอาของที่ไปรษณี ให้ไปจ่ายค่าบัตรรถที่สโมสรของหมู่บ้าน แต่แม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนะเพราะแม่เราใจดี จนมากระทั่งตอนนี้ที่เราเดือดร้อน เราได้บอกบีจะขอยืมเงินบี แต่บีบอกว่าไม่มี เราเลยนึกถึงคำพูดที่พ่อของบีเคยพูด เราเลยบอกว่า บีพอจะยืมพ่อบีให้เราได้ไหม 10,000 บาท เพราะเราเห็นพ่อบีเคยพูดกับเราในตอนนั้น แต่บีก็ปฎิเศษเราคะ บอกว่าไม่สะดวก เราก็ไม่ได้ตื้อถามอะไรอีก หลังจากนั้นเราเปียแชร์ได้ ( เรามีเงินเราส่งเงินเล่นแชร์ไว้ ) เราเปียแชร์ได้ 50,000 บาท แต่ก่อนรับเงินก็จะต้องเซ็นเอกสาร รับเงิน แล้วจะต้องมี พยาน 1 คนเราก็ถามบีว่า เราใส่ชื่อบีได้ไหม บีบอกว่าได้เราก็ใส่ไป แล้วพอมาอีกวันบีโทรมาหาเราบอกว่า ให้ลบชื่อออกนะเพราะบีไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อว่าบีว่าอย่าไปเซ็นให้ใคร เราก็เลยตกลง แต่ก็คิดในใจว่าแบบ เรื่องบางเรื่องเราโตแล้วควรตัดสินใจเองได้ก็ไม่เห็นต้องไปบอก แต่ก็แล้วแต่สิทธิ์ของเขา เสร็จแล้วเราก็นึกย้อนไปก่อนหน้านี้ บีเคยให้เราเล่นแชร์ให้ เพราะตอนนั้นบีเดือดร้อนต้องการใช้เงิน คือให้เราเล่นรับหน้าเพราะเราอยู่ในกลุ่มบ้านแชร์นี้เคยมีเครดิต บีเคยให้เราเล่นแล้วเปียแชร์ออกมาได้เงินบีเอาไปใช้ แล้วบีเป็นคนผ่อน แต่ใช้ชื่อเรา ตอนนั้นเราก็ยอมไม่เคยปฎิเสธเพราะเราไว้ใจ เชื่อใจ คิดว่าคงไม่มาทำให้เราเสีย อีกอย่างบ้านก็ใกล้กันคงไม่หนีไปไหน แต่พอมาตอนนี้รู้แล้วคะ ว่าการที่เราให้ใจใครทุกคน มันไม่ได้คืนกับมาทุกคน เราทนไม่ไหวเพราะเราขอการช่วยเหลือจากบี แต่เรากับโดนปฎิเสธแทบทุกอย่าง เลยมีปากเสียงกัน เราเลยพูดออกไปทั้งหมดว่าแต่ก่อนที่เราเลี้ยงลูกให้ สารพัดไปรับไปส่งเงินไม่เคยให้เราไม่เคยว่า ไม่มีเงินมากินข้าวบ้านเราเราไม่เคยพูด ใช้แม่เราทำนั้นนี่ เราก็ไม่เคยพูดเพราะเห็นเป็นเพื่อนสนิทที่สุดโตมาด้วยกัน แต่พอตอนนี้เราขอความช่วยเหลือกับโดนปฎิเสธทุกอย่าง บีได้ตอบกับเรามาว่า ถ้าวันหลังไม่เต็มใจช่วย ก็ไม่ต้องช่วยถ้าจะเอามาพูดทวงบุญคุณทีหลัง ( เราเลยคิดว่านี่คือการทวงบุญคุณหรอคะ มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของคนไหม? )
บีพูดกับเราว่า ที่เราให้บีไปขอยืมเงินพ่อเพราะพ่อเคยบอกว่า มีอะไรเดือดร้อนให้บอกพ่อๆยินดีช่วย ว่าๆเราทำไมถึงคิดว่า ต้องเป็นเรื่องเงิน ทำไมไม่คิดเป็นเรื่องอื่น บีบอกว่าบีเกรงใจพ่อ เรานี่ งงเลยคะ แล้วเราก็นึกย้อนไป ตอนนั้นที่บีเคยเอาลูกมาฝากไว้บ้านเรา มีอยู่วันนึงเราไม่อยู่บ้านไปหาแฟน แต่แม่เราอยู่บ้านแต่แม่เราจะออกไปทำธุระข้างนอก บีรู้ว่าเราไม่อยู่บ้านก็เลยโทรหาแม่เรา แล้วบอกว่างไหมพอดีจะเอาลูกไปฝาก แต่แม่เราบอกว่าไม่ว่าง พอดีจะไปธุระข้างนอก แต่บีพูดกับแม่เราว่า เอาลูกของบีไปธุระกับแม่เราด้วยไหม แม่เรานี่งงเลยคะ แต่ก็ไม่กล้าปฎิเสธเพราะเห็นบีเป็นเพื่อนเรา วันนั้นแม่เราก็เอาลูกบีไปทำธุระกับแม่เราด้วย ส่วนบีก็ไปหาแฟนเขาที่คอนโด ตั้งแต่วันนั้นก็เลยเถียงกันไม่คุย แต่กับเอ ช่วยเหลือเราทุกอย่าง จนหมดตัวแบกหน้าไปกู้คนอื่นให้ซัพพอตเราตลอดทั้งๆที่ไม่เคยมาให้เราช่วยเหลืออะไร เอช่วยด้วยความเต็มใจล้วนๆ เรื่องเซ็นพยานเราก็เล่าให้เอฟัง ว่าบียกเลิกไม่ให้ใช้ชื่อ แต่เอกับพูดกับเราว่า เขียนชื่อกูไปเลย
แล้วก็มีเพื่อนของบี 2 คน ที่ช่วยเราพึ่งรู้จักกันได้ 1 ปีกว่า รู้จักผ่านบีนี่แหละคะไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
คนแรกก็รู้ว่าเราลำบาค ก็ยื่นมือมาช่วย ให้ยืม 15,000 แต่ด้วยความที่เราเกรงใจ บอกไม่อยากยืมฟรี เราขอกู้ก็ได้เรามีปัญญาหาจ่าย ตอนแรกเพื่อนก็จะไม่ไปไปๆมาก็บอก 15,000 2 เดือน คิดดอกเดือนละ 2,000 ละกัน เราก็ตกลง
คนที่สอง เราเป็นคนยืมเอง 5,000 แต่เราบอกให้คิดค่ายืมด้วยนะ เรายืมแค่ 2 อาทิตย์ ตอนแรกเราคิดในใจว่าแบบคิดค่าขนม 4-5 ร้อย แต่เพื่อนคนนี่บอก ส่งดอกวันละ 100 🤣 เราก็ส่งไปประมาน 3-4 วัน แล้วหาเงินได้ 3,000 เลยคืนไปก่อน จนเหลือยอด 2,000 เราก็ถามว่าคิดดอกเท่าไหร่ เพื่อนบอกคิดเท่าเดิม ก็คือ 100 🤣 แต่เราก็ไม่ได้อะไรนะคะ ก็แล้วแต่เพื่อนจะคิดเงินเขาๆก็มีสิทธิ์
เราเลยอยากขอความเห็นจากเพื่อนๆว่า เพื่อนของเราแต่ละคน ใครเป็นอย่างไรบ้างในสายตาคนอื่นๆ เพราะตอนนี้เราเริ่มรู้สึกไม่ดี กับบีสะส่วนใหญ่ ส่วนเพื่อนของบีเราก็คิดว่าแบบ ง้กไปนิด หรือเราคิดมากไปเองคะ แล้วเราควรทำอย่างไรต่อกับบีเพราะตั้งแต่เถียงกันวันนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย
มีปัญหากับเพื่อนจนไม่รู้ว่าคิดมากไปเองไหม ช่วยเข้ามาแสดงความเห็นทีคะ
คนที่ 1 นามสมมุติว่า เอ เรารู้จัก เอมาประมาน 8 ปี เอเป็นแฟนของเพื่อนเราสมัยเรียนมอปลาย ( เอเป็นผญ เพื่อนเราผช ) สนิทกันเพราะเราโดนแฟนเก่าที่เป็นเพื่อนกับแฟนเอ ทิ้งเรา เอและแฟนเอสงสารเราก็มาอยู่ฝั่งเรา เลิกเป็นเพื่อนและตัดขาดกับทางแฟนเก่าไป ตอนนั้นเราอยู่คอนโดเราก็เหงาที่อยู่คนเดียวเราก็จะให้เอและแฟนเอมาอยู่ด้วยกินๆนอนๆอยู่ด้วย ให้อยู่ฟรี แถมเลี้ยงข้าวด้วยตลอด 55555 ( เพราะเอกับแฟนเอไม่ค่อยมีเงิน แต่ตอนนั้นเราได้เงินจากคุณพ่อเยอะเดือนนึง 5-6 หมื่น ) เป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นเราก็กลับไปอยู่บ้านตัวเองแต่เวลามีอะไรเราจะคุยกับเอตลอด คุยกันได้ทุกเรื่อง เอมีเรื่องอะไรเดือดร้อนเรื่องเงินเราช่วยได้หมด แต่น้อยครั้งมากที่เอจะมารบกวน เพราะเอเกรงใจจนบางทีเอเครียดก็ไม่เคยบอกเรา แต่เราเป็นฝ่ายถามเอง และเสนอช่วยทุกอย่าง
คนที่ 2 นามสมมุติว่า บี ( เป็นผู้หญิง ) เป็นเพื่อนในหมู่บ้านตั้งแต่สมัยเรียนประถมเรียน รร เดียวกัน นั่งรถตู้คันเดียวกัน เล่นด้วยกันทุกวันโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ยันมัธยม แล้วบีก็มีแฟนก็ชวนแฟนมาที่หมู่บ้าน แล้วชวนเราออกไปนั่งเล่นสนามเด็กเล่นด้วยกัน ก็มีเรา บี และแฟนบี จนพ่อของบีขับรถผ่านและมาเห็นว่ามีผู้ชาย เลยเรียกบีขึ้นรถแล้วกับบ้านไป สักพักแฟนบีก็กับบ้านส่วนเราก็กับบ้าน บ้านเราอยู่หมู่บ้านเดียวกันแต่คนละซอยกับบี สักพักพ่อของบีกับบีก็ขับรถมาหน้าบ้านเรา แล้วก็มาเรียกแม่เราออกไป แล้วพ่อของบีก็เข้าใจผิด หาว่าเราพาผู้ชายมาเจอลูกเขา ตั้งแต่นั้นแม่เราให้เลิกยุ่งกับบีไปอีกเลย จนมาสมัยมหาลัยก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย เพราะบีไปอยู่หอ จนเมื่อ 4 ปีที่เรากลับจากคอนโดมาอยู่บ้าน เราก็ได้ไปงานวัดแถวบ้านแล้วก็เจอบีกับลูกบีมาเดินงานวัด บีก็ทักเราเราก็เลยทักบี สรุปหลังจากนั้นก็ขอเบอร์กันและนัดกันเจอที่บ้านก็ได้กับมาคุยเรื่องวันวาน สารทุกข์สุขดิบ และสนิทกันอีกครั้ง
แต่ปัจจุบันพ่อและแม่ของเจ้าของกระทู้เลิกกัน พ่อไม่ได้ให้เงินเราอีก เราเป็นเสาร์หลักของบ้านที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงแม่และน้อง เราขายของออนไลน์มาระยะเวลา 3-4 ปี จนปัจจุบันการขายของๆเราเริ่มมีปัญหา ( เราขายของพรีออเดอร์จากจีน ด่านเริ่มปิด เพราะโควิดทำให้สินค้าเข้าช้า และลูกค้ายกเลิกเป็นจำนวนมาก ) จนทำให้เราหาเงินมาคืนลูกค้าแทบไม่ทันเพราะเวลาสั่งเราจะเก็บมัดจำลูกค้า 50% ของยอด เราสำรองเงินจนหมดตัว แถมยังไม่พอ การเงินเริ่มติดขัด ยอดทั้งหมดที่ลูกค้ายกเลิกและต้องคืนเงินเป็นจำนวน 350,000 เราก็ได้หาหยิบยืมทั้งญาติและเพื่อน เรื่องที่เราจะมาตั้งนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เราจะหาเงินรวบรวมครบเคลียให้ลูกค้า เราก็ได้ยืมทั้งญาติ และเพื่อน เราได้ยืมเอ เอก็ช่วยเราเต็มที่ทั้งเงินเอ ทั้งเอไปกู้มาให้ ( เอรับหน้ากู้ ) ส่วนบี เราได้ขอความช่วยจากบี แต่บีช่วยเราไม่ได้เพราะ บีไม่ได้ทำงานบีแตกต่างจากเราก็คือ บีไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เพราะพ่อบีเขาให้เงินเดือนใช้ทุกเดือนๆละ 20,000 แถมเลี้ยงลูกของบีให้อีกค่าใช้จ่ายต่างๆ ( บีเลิกกับพ่อของลูก ) ชีวิตบีกับเราเลยแตกต่างกัน บีแค่อยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้านก็ได้เดือน แต่เราต้องหาเงินเลี้ยงแม่และน้อง แถมตอนนี้ต้องหาเงินเคลียลูกค้าอีก ทำให้เครียดนอนแทบไม่หลับ แต่เราเคยเจอพ่อของบีหลังจากที่เรากับมาสนิทกัน พ่อของบีก็ได้รับรู้เรื่องปัญหาที่บ้านของเราว่า พ่อกับแม่เราเลิกกันและพ่อไม่ส่งเสียเงินให้ เพราะบีไปเล่าให้พ่อเขาฟัง พ่อของบีก็สงสารเรา และพูดกับเราว่า ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้บอกพ่อได้เลย พ่อยินดีช่วยเต็มที่ ( เราก็แอบดีใจว่าที่ผ่านมาแต่ก่อนที่เขาเคยมาว่าแม่เราว่าหาว่าเราพาผชมาเจอลูกค้า ตอนนี้เขาคงรู้พฤติกรรมของลูกเขาแล้ว 😅 ) ช่วงระหว่างที่เรากับไปสนิทกับบี บีได้มีแฟนใหม่และติดแฟนมา เวลาจะไปหาแฟนใหม่ทีนึงก็เอาลูกมาฝากไว้กับเรา ลูกบีอายุ 2 ขวบ บางทีมาฝากเป็นอาทิตย์ แต่พ่อบีไม่รู้นะคะเพราะบีอยุ่คนละบ้านกับพ่อของเขา บีชอบเอาลูกมาฝากเราเลี้ยงมานอนด้วย อาทิตย์นึง 3-4 วัน แต่ไม่เคยทิ้งเงินไว้ให้ เราก็ไม่เคยว่า บางทีใช้ให้เราไปรับไปส่ง ลูกบี ที่ รร เด็กมันก็ต้องกินขนมซื้อของเล่น แต่ก็ไม่เคยทิ้งเงินไว้สักบาท เราก็เอ็นดูลูกบี เลยไม่ได้คิดอะไร เงิน 20,000 ที่พ่อบีให้บี ต่อเดือนนึงบีไม่เคยใช้พอ จะหมดไปกับค่าน่ำมันที่ไปหาแฟน ค่ากินข้าวหรูๆ ค่าใช้ของแต่งตัว บีจะมายืมเราตลอด บางทีบีเงินหมด ก็จะมาอาศัยกินข้าวเย็นบ้านเราตลอดบางทีก็โทรมาใช้แม่เราทำธุระให้ไปเอาของที่ไปรษณี ให้ไปจ่ายค่าบัตรรถที่สโมสรของหมู่บ้าน แต่แม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนะเพราะแม่เราใจดี จนมากระทั่งตอนนี้ที่เราเดือดร้อน เราได้บอกบีจะขอยืมเงินบี แต่บีบอกว่าไม่มี เราเลยนึกถึงคำพูดที่พ่อของบีเคยพูด เราเลยบอกว่า บีพอจะยืมพ่อบีให้เราได้ไหม 10,000 บาท เพราะเราเห็นพ่อบีเคยพูดกับเราในตอนนั้น แต่บีก็ปฎิเศษเราคะ บอกว่าไม่สะดวก เราก็ไม่ได้ตื้อถามอะไรอีก หลังจากนั้นเราเปียแชร์ได้ ( เรามีเงินเราส่งเงินเล่นแชร์ไว้ ) เราเปียแชร์ได้ 50,000 บาท แต่ก่อนรับเงินก็จะต้องเซ็นเอกสาร รับเงิน แล้วจะต้องมี พยาน 1 คนเราก็ถามบีว่า เราใส่ชื่อบีได้ไหม บีบอกว่าได้เราก็ใส่ไป แล้วพอมาอีกวันบีโทรมาหาเราบอกว่า ให้ลบชื่อออกนะเพราะบีไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อว่าบีว่าอย่าไปเซ็นให้ใคร เราก็เลยตกลง แต่ก็คิดในใจว่าแบบ เรื่องบางเรื่องเราโตแล้วควรตัดสินใจเองได้ก็ไม่เห็นต้องไปบอก แต่ก็แล้วแต่สิทธิ์ของเขา เสร็จแล้วเราก็นึกย้อนไปก่อนหน้านี้ บีเคยให้เราเล่นแชร์ให้ เพราะตอนนั้นบีเดือดร้อนต้องการใช้เงิน คือให้เราเล่นรับหน้าเพราะเราอยู่ในกลุ่มบ้านแชร์นี้เคยมีเครดิต บีเคยให้เราเล่นแล้วเปียแชร์ออกมาได้เงินบีเอาไปใช้ แล้วบีเป็นคนผ่อน แต่ใช้ชื่อเรา ตอนนั้นเราก็ยอมไม่เคยปฎิเสธเพราะเราไว้ใจ เชื่อใจ คิดว่าคงไม่มาทำให้เราเสีย อีกอย่างบ้านก็ใกล้กันคงไม่หนีไปไหน แต่พอมาตอนนี้รู้แล้วคะ ว่าการที่เราให้ใจใครทุกคน มันไม่ได้คืนกับมาทุกคน เราทนไม่ไหวเพราะเราขอการช่วยเหลือจากบี แต่เรากับโดนปฎิเสธแทบทุกอย่าง เลยมีปากเสียงกัน เราเลยพูดออกไปทั้งหมดว่าแต่ก่อนที่เราเลี้ยงลูกให้ สารพัดไปรับไปส่งเงินไม่เคยให้เราไม่เคยว่า ไม่มีเงินมากินข้าวบ้านเราเราไม่เคยพูด ใช้แม่เราทำนั้นนี่ เราก็ไม่เคยพูดเพราะเห็นเป็นเพื่อนสนิทที่สุดโตมาด้วยกัน แต่พอตอนนี้เราขอความช่วยเหลือกับโดนปฎิเสธทุกอย่าง บีได้ตอบกับเรามาว่า ถ้าวันหลังไม่เต็มใจช่วย ก็ไม่ต้องช่วยถ้าจะเอามาพูดทวงบุญคุณทีหลัง ( เราเลยคิดว่านี่คือการทวงบุญคุณหรอคะ มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของคนไหม? )
บีพูดกับเราว่า ที่เราให้บีไปขอยืมเงินพ่อเพราะพ่อเคยบอกว่า มีอะไรเดือดร้อนให้บอกพ่อๆยินดีช่วย ว่าๆเราทำไมถึงคิดว่า ต้องเป็นเรื่องเงิน ทำไมไม่คิดเป็นเรื่องอื่น บีบอกว่าบีเกรงใจพ่อ เรานี่ งงเลยคะ แล้วเราก็นึกย้อนไป ตอนนั้นที่บีเคยเอาลูกมาฝากไว้บ้านเรา มีอยู่วันนึงเราไม่อยู่บ้านไปหาแฟน แต่แม่เราอยู่บ้านแต่แม่เราจะออกไปทำธุระข้างนอก บีรู้ว่าเราไม่อยู่บ้านก็เลยโทรหาแม่เรา แล้วบอกว่างไหมพอดีจะเอาลูกไปฝาก แต่แม่เราบอกว่าไม่ว่าง พอดีจะไปธุระข้างนอก แต่บีพูดกับแม่เราว่า เอาลูกของบีไปธุระกับแม่เราด้วยไหม แม่เรานี่งงเลยคะ แต่ก็ไม่กล้าปฎิเสธเพราะเห็นบีเป็นเพื่อนเรา วันนั้นแม่เราก็เอาลูกบีไปทำธุระกับแม่เราด้วย ส่วนบีก็ไปหาแฟนเขาที่คอนโด ตั้งแต่วันนั้นก็เลยเถียงกันไม่คุย แต่กับเอ ช่วยเหลือเราทุกอย่าง จนหมดตัวแบกหน้าไปกู้คนอื่นให้ซัพพอตเราตลอดทั้งๆที่ไม่เคยมาให้เราช่วยเหลืออะไร เอช่วยด้วยความเต็มใจล้วนๆ เรื่องเซ็นพยานเราก็เล่าให้เอฟัง ว่าบียกเลิกไม่ให้ใช้ชื่อ แต่เอกับพูดกับเราว่า เขียนชื่อกูไปเลย
แล้วก็มีเพื่อนของบี 2 คน ที่ช่วยเราพึ่งรู้จักกันได้ 1 ปีกว่า รู้จักผ่านบีนี่แหละคะไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
คนแรกก็รู้ว่าเราลำบาค ก็ยื่นมือมาช่วย ให้ยืม 15,000 แต่ด้วยความที่เราเกรงใจ บอกไม่อยากยืมฟรี เราขอกู้ก็ได้เรามีปัญญาหาจ่าย ตอนแรกเพื่อนก็จะไม่ไปไปๆมาก็บอก 15,000 2 เดือน คิดดอกเดือนละ 2,000 ละกัน เราก็ตกลง
คนที่สอง เราเป็นคนยืมเอง 5,000 แต่เราบอกให้คิดค่ายืมด้วยนะ เรายืมแค่ 2 อาทิตย์ ตอนแรกเราคิดในใจว่าแบบคิดค่าขนม 4-5 ร้อย แต่เพื่อนคนนี่บอก ส่งดอกวันละ 100 🤣 เราก็ส่งไปประมาน 3-4 วัน แล้วหาเงินได้ 3,000 เลยคืนไปก่อน จนเหลือยอด 2,000 เราก็ถามว่าคิดดอกเท่าไหร่ เพื่อนบอกคิดเท่าเดิม ก็คือ 100 🤣 แต่เราก็ไม่ได้อะไรนะคะ ก็แล้วแต่เพื่อนจะคิดเงินเขาๆก็มีสิทธิ์
เราเลยอยากขอความเห็นจากเพื่อนๆว่า เพื่อนของเราแต่ละคน ใครเป็นอย่างไรบ้างในสายตาคนอื่นๆ เพราะตอนนี้เราเริ่มรู้สึกไม่ดี กับบีสะส่วนใหญ่ ส่วนเพื่อนของบีเราก็คิดว่าแบบ ง้กไปนิด หรือเราคิดมากไปเองคะ แล้วเราควรทำอย่างไรต่อกับบีเพราะตั้งแต่เถียงกันวันนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย