มาจากเรื่องอุรคเปตวัตถุที่ ๑๒ ที่พระพุทธเจ้าเทศนาโปรดอุบาสกที่เพิ่งสูญเสียบุตรชาย ชาดกนี้กล่าวถึงเรื่องราวในอดีตกาลของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี มีตระกูลพราหมณ์ชื่อธรรมปาละ ซึ่งคนตระกูลนี้นิยมเจริญมรณานุสติเป็นประจำ
วันหนึ่งพราหมณ์กับบุตรชายออกไปไถนา บุตรชายก็ถูกงูกัดตาย พราหมณ์จึงใช้คนให้ไปตามพวกญาติที่อยู่ในเรือน โดยกำชับว่า “สหายเอ๋ย ท่านจงไปเรือนของเรา แล้วบอกนางพราหมณีอย่างนี้ว่า จงอาบน้ำ นุ่งผ้าขาว ถือเอาภัตสำหรับคนผู้เดียวและดอกไม้ของหอม เป็นต้น แล้วจงรีบมาที่นี่”
ทุกคนในเรือนก็พากันทำตาม พราหมณ์เมื่ออาบน้ำรับประทานอาหารแล้ว ก็ยกร่างบุตรชายขึ้นเชิงตะกอน จากนั้นก็จุดไฟเผา ทุกคนในเรือนที่มาร่วมงาน ต่างพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่เศร้าโศก ไม่เดือดร้อนใจ เหมือนกำลังเผาท่อนไม้อยู่
ฝ่ายบุตรชายเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดเป็นท้าวสักกะเทวราช พระองค์ปรารถนาจะช่วยเหลือหมู่ญาติ จึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์มาร่วมพิธีเผาศพของตน เมื่อเห็นพวกญาติไม่เศร้าโศกจึงกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญเผาเนื้อกวางหรือ จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าหิวจริง”
พรามณ์ได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า “ไม่ใช่กวางแต่เป็นมนุษย์นะพราหมณ์” ท้าวสักกะจึงถามว่า “ผู้นี้เป็นศัตรูของพวกท่านหรือ?” พราหมณ์ตอบว่า “ไม่ใช่ศัตรู เขาเป็นบุตรรุ่นหนุ่ม มีคุณมาก เป็นโอรสเกิดแต่อก”
ท้าวสักกะถามอีกว่า “เมื่อบุตรรุ่นหนุ่มมีคุณเห็นปานนั้นตายไป ทำไมพวกท่านจึงไม่เศร้าโศกกันเล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้นพราหมณ์ก็เฉลยว่า
บุตรของเราละสรีระอันคร่ำคร่าของตนไป เหมือนงูลอกคราบฉะนั้น
เมื่อสรีระแห่งบุตรเราใช้สอยไม่ได้ ละไปแล้ว มีกาละอันกระทำแล้วอย่างนี้
บุตรของเราเมื่อญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติอันใดที่เขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว
ท้าวสักกะเมื่อได้รับคำตอบก็หันไปถามนางพราหมณี “ผู้ตายเป็นอะไรกับท่าน” นางพราหมณีตอบว่า “นาย เขาเป็นบุตรของฉัน ฉันบริหารครรถ์มาสิบเดือน ให้ดื่มน้ำนม ประคบประหงมมือเท้าจนเติบโต”
ท้าวสักกะจึงถามอีกว่า “เริ่มแรกบิดาไม่ร้องไห้เพราะเขาเป็นผู้ชาย แต่ธรรมดามารดามีหัวใจอ่อนโยนกว่า เพราะเหตุใดท่านจึงไม่ร้องไห้เล่า”
นางพราหมณ์จึงเฉลยไขว่า
บุตรของดิฉัน ดิฉันไม่ได้เชิญมาก็มาแล้วจากปรโลก ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้ไป ก็ไปแล้วจากมนุษย์โลกนี้
เขามาอย่างไรเขาก็ไปอย่างนั้น ทำไมจะต้องไปร่ำไรในการไปจากโลกนี้ของเขาเล่า
บุตรของดิฉันเมื่อพวกญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้นดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงบุตรนั้น คติอันใดของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว
ท้าวสักกะเมื่อได้รับคำตอบนั้น จึงหันไปถามน้องสาวว่า “แม่คุณเขาเป็นอะไรกับเธอ” ฝ่ายน้องสาวก็ตอบ “เขาเป็นพี่ชายของฉันจ้ะนาย” ท้าวสักกะกล่าวว่า “ธรรมดาว่าน้องสาวจะต้องรักพี่ชาย เพราะเหตุใดเธอถึงไม่ร้องไห้เล่า”
น้องสาวก็เฉลยว่า
ถ้าดิฉันร้องไห้ก็จะเป็นผู้ซูบผอม ผลอะไรจะพึงมีแก่ดิฉันในการร้องไห้นั้น
ความไม่สบายใจก็จะพึงมีแก่ญาติและมิตรสหายทั้งหลายโดยยิ่ง พี่ชายของดิฉันอันญาติเผาอยู่
ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย เพราะฉะนั้นดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงพี่ชายของดิฉันนั้น
คติอันใดของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว
ท้าวสักกะเทวราชจึงหันไปถามผู้เป็นภรรยา “นางผู้เจริญ ธรรมดาสตรีย่อมมีความเสน่หาในสามี และหญิงหม้ายในสามีนั้นย่อมเป็นคนไร้ที่พึ่ง เพราะเหตุใดเธอจึงไม่ร้องไห้”
ผู้เป็นภรรยาก็เฉลยว่า
ผู้ใดโศกเศร้าถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้นั้นก็เปรียบเหมือนทารกร้องไห้ถึงพระจันทร์ อันลอยอยู่ในอากาศฉะนั้น
สามีของดิฉันอันญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้นดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงเขา คติอันใดของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว
ท้าวสักกะจึงหันไปถามบ่าวทาสที่อยู่ในเรือน “เธอเป็นอะไรกับเขา” ทาสคนนั้นก็ตอบว่า “เขาเป็นนายของดิฉันจ้ะ” ท้าวสักกะจึงกล่าว “ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคงถูกเขาโบยตีแล้วใช้ทำงานหนัก เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ร้องไห้ ด้วยคิดว่าเราพ้นดีแล้วจากเขา”
นางทาสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า “นาย อย่าได้พูดอย่างนั้นกับดิฉันเลย หัวขอนั้นไม่สมควรแก่ดิฉัน บุตรของเจ้านายดิฉันเป็นผู้พร้อมด้ว ขันติ เมตตา เอ็นดู ชอบกล่าวแต่ความถูกต้อง” ท้าวสักกะจึงถามว่า “เมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุใดท่านจึงไม่ร้องไห้”
นางทาสีจึงเฉลยว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นเหล่ากอแห่งพรหม หม้อน้ำอันแตกแล้วพึงประสานให้ติดอีกไม่ได้ฉันใด
ผู้ใดเศร้าโศกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้นั้นก็เปรียบเหมือนฉันนั้น นายของดิฉันอันพวกญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงท่าน คติอันใดของท่านมีอยู่ ท่านได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว
ท้าวสักกะเทวราชได้ฟังคำตอบของคนเหล่านั้นก็บังเกิดความเลื่อมใส กล่าวว่า "พวกท่านเจริญมรณะสติโดยชอบทีเดียว นับจากนี้พวกท่านไม่มีกิจที่ต้องทำมีการไถนาเป็นต้น" ว่าแล้วพระองค์ก็บันดาลให้บ้านเรือนของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยรัตนะต่างๆ ให้คนทั้งหมดรู้จักพระองค์แล้วก็กลับไปยังเทวโลก
..........................................................
โดยส่วนตัวผมว่าการไม่เศร้าโศกถึงผู้ตายเป็นเรื่องยากจะทำได้ เพราะคนในครอบครัวตายทั้งคน คงมีน้อยคนมากจะข่มใจให้เยือกเย็นอยู่
การไม่เศร้าโศกถึงผู้ตายนับเป็นธรรมอันสูงส่งหรือครับ?
วันหนึ่งพราหมณ์กับบุตรชายออกไปไถนา บุตรชายก็ถูกงูกัดตาย พราหมณ์จึงใช้คนให้ไปตามพวกญาติที่อยู่ในเรือน โดยกำชับว่า “สหายเอ๋ย ท่านจงไปเรือนของเรา แล้วบอกนางพราหมณีอย่างนี้ว่า จงอาบน้ำ นุ่งผ้าขาว ถือเอาภัตสำหรับคนผู้เดียวและดอกไม้ของหอม เป็นต้น แล้วจงรีบมาที่นี่”
ทุกคนในเรือนก็พากันทำตาม พราหมณ์เมื่ออาบน้ำรับประทานอาหารแล้ว ก็ยกร่างบุตรชายขึ้นเชิงตะกอน จากนั้นก็จุดไฟเผา ทุกคนในเรือนที่มาร่วมงาน ต่างพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่เศร้าโศก ไม่เดือดร้อนใจ เหมือนกำลังเผาท่อนไม้อยู่
ฝ่ายบุตรชายเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดเป็นท้าวสักกะเทวราช พระองค์ปรารถนาจะช่วยเหลือหมู่ญาติ จึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์มาร่วมพิธีเผาศพของตน เมื่อเห็นพวกญาติไม่เศร้าโศกจึงกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญเผาเนื้อกวางหรือ จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าหิวจริง”
พรามณ์ได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า “ไม่ใช่กวางแต่เป็นมนุษย์นะพราหมณ์” ท้าวสักกะจึงถามว่า “ผู้นี้เป็นศัตรูของพวกท่านหรือ?” พราหมณ์ตอบว่า “ไม่ใช่ศัตรู เขาเป็นบุตรรุ่นหนุ่ม มีคุณมาก เป็นโอรสเกิดแต่อก”
ท้าวสักกะถามอีกว่า “เมื่อบุตรรุ่นหนุ่มมีคุณเห็นปานนั้นตายไป ทำไมพวกท่านจึงไม่เศร้าโศกกันเล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้นพราหมณ์ก็เฉลยว่า
นางพราหมณ์จึงเฉลยไขว่า
นางทาสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า “นาย อย่าได้พูดอย่างนั้นกับดิฉันเลย หัวขอนั้นไม่สมควรแก่ดิฉัน บุตรของเจ้านายดิฉันเป็นผู้พร้อมด้ว ขันติ เมตตา เอ็นดู ชอบกล่าวแต่ความถูกต้อง” ท้าวสักกะจึงถามว่า “เมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุใดท่านจึงไม่ร้องไห้”