โปรดพิจารณาจากบทนี้..
ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน
จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ
นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป)
ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการ
ที่เขาสำคัญนั้นๆ นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะ
นามรูป มีความสาปสูญไปเป็นธรรมดา นิพพานมีความ
ไม่สาปสูญไปเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น
โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิว
ดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง ฯ
ในบทนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่านามรูปเป็นของเท็จ และคำว่าเป็นของสาปสูญ
แต่กลับไม่ตรัสว่า เป็นอนัตตา ทั้งๆที่มันก็คือเป็นอนัตตา..
และตรัสนิพพานว่า เป็นเป็นของไม่สาปสูญ และตรัสว่านิพพานนั้นเป็นของจริง
เป็นของสาปสูญ ก็คือเป็นอนัตตานั่นเอง...
เป็นของไม่สาปสูญ ถ้าไม่เรียกว่าเป็นอัตตา...
แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไรดีล่ะ ?
อ่านให้เข้าใจดีๆก่อนเน้อ
จะอู้หื้อ.....
ไม่อยากเอ่ยชื่อว่า อัตตา แต่มันก็คือ อัตตา นั่นแหละ ?
ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน
จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ
นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป)
ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการ
ที่เขาสำคัญนั้นๆ นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะ
นามรูป มีความสาปสูญไปเป็นธรรมดา นิพพานมีความ
ไม่สาปสูญไปเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น
โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิว
ดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง ฯ
ในบทนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่านามรูปเป็นของเท็จ และคำว่าเป็นของสาปสูญ
แต่กลับไม่ตรัสว่า เป็นอนัตตา ทั้งๆที่มันก็คือเป็นอนัตตา..
และตรัสนิพพานว่า เป็นเป็นของไม่สาปสูญ และตรัสว่านิพพานนั้นเป็นของจริง
เป็นของสาปสูญ ก็คือเป็นอนัตตานั่นเอง...
เป็นของไม่สาปสูญ ถ้าไม่เรียกว่าเป็นอัตตา...
แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไรดีล่ะ ?
อ่านให้เข้าใจดีๆก่อนเน้อ
จะอู้หื้อ.....