ยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้ พุ่ง 8,077 ราย เสียชีวิต 9 ราย หายป่วย 4,887 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3134069
ยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้ พุ่ง 8,077 ราย เสียชีวิต 9 ราย หายป่วย 4,887 ราย
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2565 รวม 8,077 ราย จำแนกเป็น
ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,795 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 282 ราย
ผู้ป่วยสะสม 101,050 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 4,887 ราย
หายป่วยสะสม 53,517 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ผู้ป่วยกำลังรักษา 80,549 ราย
เสียชีวิต 9 ราย
“ธนวรรธน์” ชี้รัฐยังต้องเติมเงินพยุงศก.จนโควิดคลาย
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_273720/
นักวิชาการชี้จนกว่าโควิดจะคลี่คลาย รัฐบาลยังต้องเติมเงินพยุงเศรษฐกิจความเสี่ยงยังสูง ไม่ควรล็อกดาวน์เด็ดขาด
นาย
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบันยังคงมีความจำเป็นเพื่อช่วยเติมเงินลงในกระเป๋าให้กับประชาชนใช้จ่ายพยุงเศรษฐกิจได้ โดยเวลานี้ยังเร็วเกินไปหากรัฐบาลจะเปลี่ยนโหมดเข้าสู่การลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะความเสี่ยงที่จะเกิดการว่างงาน ไม่มีงานทำ รายได้ลดลงทั้งในส่วนของประชาชน และภาคธุรกิจรวมถึงภาคเอกชนยังมีโอกาสเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ค่าครองชีพมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเติมเงินลงในกระเป๋าให้กับประชาชน อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส4 เม็ดเงิน 9 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นโครงการที่จะทำให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 1 ไม่ทรุดตัวและเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นได้ ภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญของประเทศไทยคือจะต้องไม่เกิดการล็อกดาวน์ภายในประเทศอีก ไม่ว่าจะเป็นล็อกดาวน์ทั้งหมดหรือล็อกดาวน์แค่บางส่วน
และสำหรับการใช้มาตรการ Test&Go หากชะลอเพียงในช่วงไตรมาสที่ 1 เชื่อว่าจะไม่ส่งผลทำให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเสียหายต่างจากเป้าที่ตั้งไว้เพราะเมื่อเริ่มเปิดTest&Go ในช่วงไตรมาสที่ 2 มั่นใจว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามายังประเทศไทย ส่งผลกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ให้ขยายตัวอยู่ในกรอบร้อยละ 3-4 ได้
เพจกฎหมายแรงงาน วิเคราะห์ปม ไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน ทำได้หรือไม่?
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6836025
เ
พจกฎหมายแรงงาน วิเคราะห์ปม ไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน ทำได้หรือไม่?
เพจกฎหมายแรงงาน วิเคราะห์ปม ไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน ทำได้หรือไม่? ชี้รัฐธรรมนูญ มีหลักการห้ามเลือกปฎิบัติ แนะเลือกจากความสามารถและคุณค่า
วันที่ 16 ม.ค.65 เพจ
กฎหมายแรงงาน โพสต์ข้อความ กรณีแพทย์หญิงท่านหนึ่งออกมาโพสต์ ระบุว่า
“ไม่เข้ารับปริญญา ระวังเขาจะไม่รับเข้าทำงาน”
และยังได้กล่าวไปถึงการดูโทรศัพท์ ซึ่งก็ถือเป็นการล่วงล้ำเข้าไปทำลายความเป็นส่วนตัวโดยเอาเงื่อนไขการรับสมัครงาน ส่งผลให้เกิด #ไม่รับปริญญา
โดยเพจ ระบุว่า “เขา” ในที่นี้น่าจะรวมทั้งงานภาคเอกชน งานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งการไม่เข้ารับปริญญาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไม่มีเงิน เพราะการรับปริญญามีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร หรือหลายอาจเรียนเพื่อต้องการความรู้แต่ก็ไม่ได้สนใจเข้ารับปริญญา
โดยปกติมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาจะเปิดให้ลงทะเบียนว่าใครจะเข้ารับปริญญาบ้าง และใครจะไม่เข้ารับปริญญา ซึ่งก็เป็นการให้สิทธิหรือเสรีภาพที่จะเข้ารับหรือไม่
ส่วนจะรับปริญญากับใครก็สุดแล้วแต่ อย่างต่างประเทศก็อาจรับกับอธิการบดี ในไทยหากเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐก็อาจรับกับราชวงศ์ มหาวิทยาลัยเอกชนส่วนใหญ่ก็รับกับอธิการบดี หรือผู้ทรงคุณวุฒิ
การวางกติกาว่า หากใครไม่เข้ารับปริญญาจะไม่รับเข้าทำงานนั้นถือว่าผิดธรรมชาติการรับคนเข้าทำงานที่จะต้องพิจารณาจากความรู้ความสามารถ หรือทัศนคติ และการไม่เข้ารับปริญญาก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเสมอไป
อย่างไรก็ตาม แม้มีการกำหนดกติกาการรับสมัครงานเอาไว้ แต่เมื่อตราบใดที่ยังไม่มีสถานะเป็นลูกจ้าง ก็ไม่อาจนำกฎหมายคุ้มครองแรงงานเข้าไปใช้บังคับได้
แต่เมื่อเปิดรัฐธรรมนูญมาดู เราจะพบกับหลักการห้ามเลือกปฎิบัติถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นในทางการเมือง อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลักการเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจตามอำเภอใจ
การเลือกปฎิบัติและทัศนคติที่มองคนเห็นต่างเป็นศัตรูย่อมเป็นอันตรายต่อความก้าวหน้าของสังคม
จริง ๆ แล้วตราบาปที่ถูกบันทึกไว้จากการเลือกปฎิบัติในสังคมไทย มีหลายกรณี ดังนี้
1) การเลือกปฎิบัติเพราะความแตกต่างในเรื่องเพศ
เกิดกรณีบริษัทได้กำหนดให้ลูกจ้างหญิงเกษียณอายุ 55 ลูกจ้างชายเกษียณ 60 ปี ซึ่งเป็นการเลือกปฎิบัติกรณีเกษียณเพราะเหตุความแต่งต่างในเรื่องเพศ ส่งผลให้การกำหนดอายุการเกษียณของเพศหญิงเป็นโมฆะ (คำพิพากษาที่ 2127/2555)
2) การเลือกปฎิบัติเพราะความพิการทางร่างกาย
เคสนี้ น่าตกใจมากเพราะเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้บังคับใช้กฎหมายเอง เรียกว่า “ความพิการของกฎหมายและผู้บังคับใช้กฎหมาย” โดยเป็นกรณีการเลือกปฎิบัติต่อผู้พิการในการสอบเป็นผู้ช่วยอัยการ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 142/2547) และการตัดสิทธิทนายโปลิโอในการเข้าสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา (คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 16/2545)
3) การเลือกปฎิบัติเพราะผลการเรียน
เป็นกรณีที่เกิดกับการเลือกรับราชการ โดยรับเฉพาะเกียรตินิยม (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.158/2550)
และน่าตกใจที่แนวคิดการเลือกปฎิบัติอันเกิดจากการไม่เข้ารับปริญญา ขอเถอะจงเลือกจากความสามารถและคุณค่าในตัวเขา
ข้อมูลจาก เพจ
กฎหมายแรงงาน
https://www.facebook.com/LaborProtectionLaw/posts/1158089184727184
JJNY : ติดเชื้อ8,077 เสียชีวิต9│ธนวรรธน์ชี้ยังต้องเติมเงินพยุงศก.│วิเคราะห์ปมไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน│คึกคักลต.สงขลา
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3134069
ยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้ พุ่ง 8,077 ราย เสียชีวิต 9 ราย หายป่วย 4,887 ราย
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2565 รวม 8,077 ราย จำแนกเป็น
ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,795 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 282 ราย
ผู้ป่วยสะสม 101,050 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 4,887 ราย
หายป่วยสะสม 53,517 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ผู้ป่วยกำลังรักษา 80,549 ราย
เสียชีวิต 9 ราย
“ธนวรรธน์” ชี้รัฐยังต้องเติมเงินพยุงศก.จนโควิดคลาย
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_273720/
นักวิชาการชี้จนกว่าโควิดจะคลี่คลาย รัฐบาลยังต้องเติมเงินพยุงเศรษฐกิจความเสี่ยงยังสูง ไม่ควรล็อกดาวน์เด็ดขาด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบันยังคงมีความจำเป็นเพื่อช่วยเติมเงินลงในกระเป๋าให้กับประชาชนใช้จ่ายพยุงเศรษฐกิจได้ โดยเวลานี้ยังเร็วเกินไปหากรัฐบาลจะเปลี่ยนโหมดเข้าสู่การลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะความเสี่ยงที่จะเกิดการว่างงาน ไม่มีงานทำ รายได้ลดลงทั้งในส่วนของประชาชน และภาคธุรกิจรวมถึงภาคเอกชนยังมีโอกาสเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ค่าครองชีพมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเติมเงินลงในกระเป๋าให้กับประชาชน อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส4 เม็ดเงิน 9 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นโครงการที่จะทำให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 1 ไม่ทรุดตัวและเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นได้ ภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญของประเทศไทยคือจะต้องไม่เกิดการล็อกดาวน์ภายในประเทศอีก ไม่ว่าจะเป็นล็อกดาวน์ทั้งหมดหรือล็อกดาวน์แค่บางส่วน
และสำหรับการใช้มาตรการ Test&Go หากชะลอเพียงในช่วงไตรมาสที่ 1 เชื่อว่าจะไม่ส่งผลทำให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเสียหายต่างจากเป้าที่ตั้งไว้เพราะเมื่อเริ่มเปิดTest&Go ในช่วงไตรมาสที่ 2 มั่นใจว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามายังประเทศไทย ส่งผลกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ให้ขยายตัวอยู่ในกรอบร้อยละ 3-4 ได้
เพจกฎหมายแรงงาน วิเคราะห์ปม ไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน ทำได้หรือไม่?
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6836025
เพจกฎหมายแรงงาน วิเคราะห์ปม ไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน ทำได้หรือไม่?
เพจกฎหมายแรงงาน วิเคราะห์ปม ไม่รับปริญญา-ไม่รับเข้าทำงาน ทำได้หรือไม่? ชี้รัฐธรรมนูญ มีหลักการห้ามเลือกปฎิบัติ แนะเลือกจากความสามารถและคุณค่า
วันที่ 16 ม.ค.65 เพจ กฎหมายแรงงาน โพสต์ข้อความ กรณีแพทย์หญิงท่านหนึ่งออกมาโพสต์ ระบุว่า
“ไม่เข้ารับปริญญา ระวังเขาจะไม่รับเข้าทำงาน”
และยังได้กล่าวไปถึงการดูโทรศัพท์ ซึ่งก็ถือเป็นการล่วงล้ำเข้าไปทำลายความเป็นส่วนตัวโดยเอาเงื่อนไขการรับสมัครงาน ส่งผลให้เกิด #ไม่รับปริญญา
โดยเพจ ระบุว่า “เขา” ในที่นี้น่าจะรวมทั้งงานภาคเอกชน งานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งการไม่เข้ารับปริญญาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไม่มีเงิน เพราะการรับปริญญามีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร หรือหลายอาจเรียนเพื่อต้องการความรู้แต่ก็ไม่ได้สนใจเข้ารับปริญญา
โดยปกติมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาจะเปิดให้ลงทะเบียนว่าใครจะเข้ารับปริญญาบ้าง และใครจะไม่เข้ารับปริญญา ซึ่งก็เป็นการให้สิทธิหรือเสรีภาพที่จะเข้ารับหรือไม่
ส่วนจะรับปริญญากับใครก็สุดแล้วแต่ อย่างต่างประเทศก็อาจรับกับอธิการบดี ในไทยหากเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐก็อาจรับกับราชวงศ์ มหาวิทยาลัยเอกชนส่วนใหญ่ก็รับกับอธิการบดี หรือผู้ทรงคุณวุฒิ
การวางกติกาว่า หากใครไม่เข้ารับปริญญาจะไม่รับเข้าทำงานนั้นถือว่าผิดธรรมชาติการรับคนเข้าทำงานที่จะต้องพิจารณาจากความรู้ความสามารถ หรือทัศนคติ และการไม่เข้ารับปริญญาก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเสมอไป
อย่างไรก็ตาม แม้มีการกำหนดกติกาการรับสมัครงานเอาไว้ แต่เมื่อตราบใดที่ยังไม่มีสถานะเป็นลูกจ้าง ก็ไม่อาจนำกฎหมายคุ้มครองแรงงานเข้าไปใช้บังคับได้
แต่เมื่อเปิดรัฐธรรมนูญมาดู เราจะพบกับหลักการห้ามเลือกปฎิบัติถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นในทางการเมือง อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลักการเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจตามอำเภอใจ
การเลือกปฎิบัติและทัศนคติที่มองคนเห็นต่างเป็นศัตรูย่อมเป็นอันตรายต่อความก้าวหน้าของสังคม
จริง ๆ แล้วตราบาปที่ถูกบันทึกไว้จากการเลือกปฎิบัติในสังคมไทย มีหลายกรณี ดังนี้
1) การเลือกปฎิบัติเพราะความแตกต่างในเรื่องเพศ
เกิดกรณีบริษัทได้กำหนดให้ลูกจ้างหญิงเกษียณอายุ 55 ลูกจ้างชายเกษียณ 60 ปี ซึ่งเป็นการเลือกปฎิบัติกรณีเกษียณเพราะเหตุความแต่งต่างในเรื่องเพศ ส่งผลให้การกำหนดอายุการเกษียณของเพศหญิงเป็นโมฆะ (คำพิพากษาที่ 2127/2555)
2) การเลือกปฎิบัติเพราะความพิการทางร่างกาย
เคสนี้ น่าตกใจมากเพราะเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้บังคับใช้กฎหมายเอง เรียกว่า “ความพิการของกฎหมายและผู้บังคับใช้กฎหมาย” โดยเป็นกรณีการเลือกปฎิบัติต่อผู้พิการในการสอบเป็นผู้ช่วยอัยการ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 142/2547) และการตัดสิทธิทนายโปลิโอในการเข้าสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา (คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 16/2545)
3) การเลือกปฎิบัติเพราะผลการเรียน
เป็นกรณีที่เกิดกับการเลือกรับราชการ โดยรับเฉพาะเกียรตินิยม (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.158/2550)
และน่าตกใจที่แนวคิดการเลือกปฎิบัติอันเกิดจากการไม่เข้ารับปริญญา ขอเถอะจงเลือกจากความสามารถและคุณค่าในตัวเขา
ข้อมูลจาก เพจ กฎหมายแรงงาน
https://www.facebook.com/LaborProtectionLaw/posts/1158089184727184