แทนไทชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปี พึ่งกลับจากไปทำงานที่เกาหลี เขาเรียกวินมอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งที่บ้าน เวลาหกโมงเย็น ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งมองเห็นได้ไกลลิบ หมู่บ้านที่คล้ายตั้งอยู่ชายขอบกำลังเปิดไฟมองดูคล้ายแสงเดือนดาว
สีเขียวของต้นข้าวออกคล่ำลงทุกที อีกประมาณสองร้อยเมตรก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จะมีเพิงขายของจำพวกผักผลไม้ท้องถิ่น แสงจากหลอดไฟเจิดจ้าทำให้เห็นได้ชัดมาแต่ไกล ตรงนั้นยังคงมีการค้าขายกันอยู่ แต่ก่อนจะไปถึงจะต้องผ่านทางโค้ง พื้นผิวถนนฝั่งที่เขามุ่งหน้าไปตรงนี้มันขรุขระเป็นคลื่น
แทนไทรู้ดีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย เขาจากไปนานปีก็ยังไม่มีหน่วยงานมาปรับปรุงแก้ไข เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น รวมทั้งคนด้วย เพราะสายตามันเฝ้าแต่มองไปที่เพิงขายของ แม่ค้าคนหนึ่งเธอเคยเป็นเพื่อนเรียนกับเขาตั้งแต่ประถม คิดว่าเธอคงจะขายของอยู่ตรงนั้นเป็นแน่
บรื้นนน บรื้นนน ตึง! ตึง! ตึ้ง! ตึ้ง!
เสียงของรถบรรทุกสิบแปดล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูงในอีกเลน ข้อต่อลากพ่วงกระแทกดังตึงตังขย่มขวัญคนทางนี้ คนขับหากไม่ชินกับเส้นทาง กว่าจะพบว่ามีทางโค้งรับอยู่ตรงหน้าก็แทบควบคุมพวงมาลัยเข้าโค้งไม่ทัน พลิกคว่ำไปโดยไม่มีคู่กรณีก็มี โดยมากอุบัติเหตุจะเกิดในตอนกลางคืน
พี่วินร่างใหญ่ต้องขับขี่อย่างระมัดระวัง คนซ้อนเข้าใจมันเคยมีรถเสียหลักวิ่งกินเลนเข้าไปประสานงากับรถสิบแปดล้อที่วิ่งสวนมา และนั่นก็คืออีกเหตุผลอันน่าเศร้า ทุกปีจะมีคนมาจบชีวิตตรงโค้งแห่งนี้
แทนไทมองรอยครูดบนพื้นเป็นทางยาวอย่างใจหาย มันเต็มไปด้วยเศษวัสดุจากรถ และรอยสีพ่นคนกับรถมอเตอร์ไซด์ คนหนึ่งคงเละคารถ อีกคนกระเด็นไปอีกเลนแต่ก็คงคาที่ ดูได้จากคราบเลือดแห้งกรังคล้ายอุบัติรายนี้พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ได้แต่ภาวนาในใจขออย่าเป็นคนในหมู่บ้าน เพื่อนฝูงของเขาขี้เมาก็หลายคน
พอพ้นโค้งอันตรายมาได้หน่อยเดียว เขาร้องสั่งพี่วินให้จอดรถ พี่วินจำต้องหยุดรถให้ แม้จะมองหารอบตัวจะมีเพียงสิ่งปลูกสร้างเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่บนดอน ห่างจากถนนยี่สิบเมตรเห็นจะได้ ตรงนั้นมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม มีเพียงหลังคาสังกะสีโผล่ขึ้นมา แสงยามโพล้เพล้ทำให้ดูไม่ออกเป็นบ้านคนหรือเถียงนากันแน่ ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทำไมเจ้าหนุ่มให้มาส่งแค่ตรงนี้
แทนไทก้าวขาลงจากรถทันทีพร้อมกับยื่นธนบัตรให้
“ส่งเท่านี้ครับ นี่ครับค่ารถ”
“น้องชาย ทำไมให้มาส่งแค่นี้ หรือว่าบ้านของน้องชายคือหลังนั้นที่เห็น” พี่วินพูดพลางรับเงินยัดเข้าไปในกระเป๋าคาดเอว สายตามองสิ่งปลูกสร้างบนสันดอนไปด้วย ผ่านไปผ่านมาก็หลายครั้ง เข้าใจไปเองว่ามันเป็นเถียงนาไม่ใช่บ้านคน
“ไม่ใช่ครับ ที่เห็นนั่นเป็นเถียงนาของคนรู้จักผมเอง กะจะแวะไปทักทายหน่อย ผมไปทำงานที่เกาหลีมาเป็นปี พอหมดสัญญาจ้างก็กลับมา ช่วงนี้หน้านาแกคงอยู่เฝ้านา ถ้าไม่เจอตัวยังไง ผมโทรเรียกทางบ้านให้มารับได้ครับ”
พี่วินพยักหน้ารับพยายามเข้าใจ
“เข้าใจแล้ว รีบเข้าบ้านละกันนะน้องชายก่อนจะค่ำ ได้ยินว่าไปนอกมาคงไม่รู้อะไรทางนี้ พี่ขอเตือนแถวนี้พอค่ำหน่อยไม่มีใครอยากมาเดินกันหรอก”
“ครับพี่ ขับรถกลับปลอดภัยนะ” ชายหนุ่มตัดบทพูด และโบกมือให้
พี่วินไม่ทันสังเกตเห็นแววตาที่หม่นเศร้าเหมือนซ่อนอะไรบางอย่าง มันไม่มีความตื่นเต้นยินดีที่ได้กลับมาถึงบ้าน สายตาเอาแต่มองไปข้างหน้า อีกประมาณสองร้อยเมตร จะมีป้อมตำรวจ และมีเพิงขายของตอนนี้เริ่มเปิดไฟสว่าง ไม่ถึงกับเปลี่ยวนัก แต่บรรยากาศแถวนี้มันหวิวๆ ชอบกล อาจจะด้วยลมทุ่งมันแรงทำให้ขนลุกตลอดเวลา พี่วินอยากพูดอยากเตือน ได้ยินมาว่าชายหนุ่มพึ่งกลับจากเกาหลี คงไม่รู้เรื่องร้ายทางนี้ ได้แต่หวังว่าจะไม่เจอดีเข้า มาคิดดูอีกทีอาจมีพระดีติดตัวก็เป็นได้ จึงตัดใจบิดคันเร่งน้ำมันพามอเตอร์ไซด์คู่ทุกข์คู่ยากย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อกลับเข้าตัวอำเภอ
แทนไทมองตามรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นแล่นไปไกลลับตา ก่อนจะถอนหายใจ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนท้องฟ้าถูกเคลือบคลุมด้วยม่านสีดำ แสงทองสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับ เช่นเดียวกับหมู่นกกาที่กำลังบินตัดท้องฟ้าสีเทาทึบกลับสู่รวงรัง เหมือนว่าชายหนุ่มจะจมอยู่ในธรรมชาติที่สวยงาม ก่อนจะตัดใจทิ้งภาพเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง เดินแบกเป้มองหา น้าจุ่นผู้เป็นเจ้าของเถียงนาหลังนั้น แกเป็นคนข้างบ้านที่ค่อนข้างสนิทกัน พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องหัวใจ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มคบหาเป็นคนรักกับพลอย เพื่อนนักเรียนด้วยกัน
ทางเข้าดอนอันเป็นที่ตั้งของเถียงนาของน้าจุ่น สองฝั่งมีตะไคร้ปลูกไว้เป็นแถวเป็นแนว ชะอมที่ปลูกไว้ตามแนวขวางยืนต้นสูงโดยปราศจากการตัดตอนจึงค่อนข้างบดบังพื้นที่ด้านใน บรรดาไม้ผลปลูกไว้จนร่มครึ้มได้แก่ มะม่วง มะขาม ขนุน จะเห็นเพียงหลังคาสังกะสีขาวโพลนตัดกับความมืดของดงไม้ ปกติมาถึงตรงนี้จะได้ยินเสียงไก่ดังสับสน เพราะเป็นซุ้มไก่ชนมีชื่อในย่านนี้แต่คราวนี้มันเงียบมาก
แทนไทย่างกรายผ่านลานดินในแสงมืดสลัว เดินเลี่ยงสังเวียนไก่ชนและสุ่มไก่มากมายที่เหมือนถูกทิ้งไว้ปราศจากการดูแล ชะเง้อคอมองหาจนทั่วแล้วกลับพบแต่ความว่างเปล่าไม่พบเจ้าของ
เถียงนาร้างข้างโค้งมรณะ
สีเขียวของต้นข้าวออกคล่ำลงทุกที อีกประมาณสองร้อยเมตรก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จะมีเพิงขายของจำพวกผักผลไม้ท้องถิ่น แสงจากหลอดไฟเจิดจ้าทำให้เห็นได้ชัดมาแต่ไกล ตรงนั้นยังคงมีการค้าขายกันอยู่ แต่ก่อนจะไปถึงจะต้องผ่านทางโค้ง พื้นผิวถนนฝั่งที่เขามุ่งหน้าไปตรงนี้มันขรุขระเป็นคลื่น
แทนไทรู้ดีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย เขาจากไปนานปีก็ยังไม่มีหน่วยงานมาปรับปรุงแก้ไข เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น รวมทั้งคนด้วย เพราะสายตามันเฝ้าแต่มองไปที่เพิงขายของ แม่ค้าคนหนึ่งเธอเคยเป็นเพื่อนเรียนกับเขาตั้งแต่ประถม คิดว่าเธอคงจะขายของอยู่ตรงนั้นเป็นแน่
บรื้นนน บรื้นนน ตึง! ตึง! ตึ้ง! ตึ้ง!
เสียงของรถบรรทุกสิบแปดล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูงในอีกเลน ข้อต่อลากพ่วงกระแทกดังตึงตังขย่มขวัญคนทางนี้ คนขับหากไม่ชินกับเส้นทาง กว่าจะพบว่ามีทางโค้งรับอยู่ตรงหน้าก็แทบควบคุมพวงมาลัยเข้าโค้งไม่ทัน พลิกคว่ำไปโดยไม่มีคู่กรณีก็มี โดยมากอุบัติเหตุจะเกิดในตอนกลางคืน
พี่วินร่างใหญ่ต้องขับขี่อย่างระมัดระวัง คนซ้อนเข้าใจมันเคยมีรถเสียหลักวิ่งกินเลนเข้าไปประสานงากับรถสิบแปดล้อที่วิ่งสวนมา และนั่นก็คืออีกเหตุผลอันน่าเศร้า ทุกปีจะมีคนมาจบชีวิตตรงโค้งแห่งนี้
แทนไทมองรอยครูดบนพื้นเป็นทางยาวอย่างใจหาย มันเต็มไปด้วยเศษวัสดุจากรถ และรอยสีพ่นคนกับรถมอเตอร์ไซด์ คนหนึ่งคงเละคารถ อีกคนกระเด็นไปอีกเลนแต่ก็คงคาที่ ดูได้จากคราบเลือดแห้งกรังคล้ายอุบัติรายนี้พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ได้แต่ภาวนาในใจขออย่าเป็นคนในหมู่บ้าน เพื่อนฝูงของเขาขี้เมาก็หลายคน
พอพ้นโค้งอันตรายมาได้หน่อยเดียว เขาร้องสั่งพี่วินให้จอดรถ พี่วินจำต้องหยุดรถให้ แม้จะมองหารอบตัวจะมีเพียงสิ่งปลูกสร้างเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่บนดอน ห่างจากถนนยี่สิบเมตรเห็นจะได้ ตรงนั้นมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม มีเพียงหลังคาสังกะสีโผล่ขึ้นมา แสงยามโพล้เพล้ทำให้ดูไม่ออกเป็นบ้านคนหรือเถียงนากันแน่ ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทำไมเจ้าหนุ่มให้มาส่งแค่ตรงนี้
แทนไทก้าวขาลงจากรถทันทีพร้อมกับยื่นธนบัตรให้
“ส่งเท่านี้ครับ นี่ครับค่ารถ”
“น้องชาย ทำไมให้มาส่งแค่นี้ หรือว่าบ้านของน้องชายคือหลังนั้นที่เห็น” พี่วินพูดพลางรับเงินยัดเข้าไปในกระเป๋าคาดเอว สายตามองสิ่งปลูกสร้างบนสันดอนไปด้วย ผ่านไปผ่านมาก็หลายครั้ง เข้าใจไปเองว่ามันเป็นเถียงนาไม่ใช่บ้านคน
“ไม่ใช่ครับ ที่เห็นนั่นเป็นเถียงนาของคนรู้จักผมเอง กะจะแวะไปทักทายหน่อย ผมไปทำงานที่เกาหลีมาเป็นปี พอหมดสัญญาจ้างก็กลับมา ช่วงนี้หน้านาแกคงอยู่เฝ้านา ถ้าไม่เจอตัวยังไง ผมโทรเรียกทางบ้านให้มารับได้ครับ”
พี่วินพยักหน้ารับพยายามเข้าใจ
“เข้าใจแล้ว รีบเข้าบ้านละกันนะน้องชายก่อนจะค่ำ ได้ยินว่าไปนอกมาคงไม่รู้อะไรทางนี้ พี่ขอเตือนแถวนี้พอค่ำหน่อยไม่มีใครอยากมาเดินกันหรอก”
“ครับพี่ ขับรถกลับปลอดภัยนะ” ชายหนุ่มตัดบทพูด และโบกมือให้
พี่วินไม่ทันสังเกตเห็นแววตาที่หม่นเศร้าเหมือนซ่อนอะไรบางอย่าง มันไม่มีความตื่นเต้นยินดีที่ได้กลับมาถึงบ้าน สายตาเอาแต่มองไปข้างหน้า อีกประมาณสองร้อยเมตร จะมีป้อมตำรวจ และมีเพิงขายของตอนนี้เริ่มเปิดไฟสว่าง ไม่ถึงกับเปลี่ยวนัก แต่บรรยากาศแถวนี้มันหวิวๆ ชอบกล อาจจะด้วยลมทุ่งมันแรงทำให้ขนลุกตลอดเวลา พี่วินอยากพูดอยากเตือน ได้ยินมาว่าชายหนุ่มพึ่งกลับจากเกาหลี คงไม่รู้เรื่องร้ายทางนี้ ได้แต่หวังว่าจะไม่เจอดีเข้า มาคิดดูอีกทีอาจมีพระดีติดตัวก็เป็นได้ จึงตัดใจบิดคันเร่งน้ำมันพามอเตอร์ไซด์คู่ทุกข์คู่ยากย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อกลับเข้าตัวอำเภอ
แทนไทมองตามรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นแล่นไปไกลลับตา ก่อนจะถอนหายใจ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนท้องฟ้าถูกเคลือบคลุมด้วยม่านสีดำ แสงทองสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับ เช่นเดียวกับหมู่นกกาที่กำลังบินตัดท้องฟ้าสีเทาทึบกลับสู่รวงรัง เหมือนว่าชายหนุ่มจะจมอยู่ในธรรมชาติที่สวยงาม ก่อนจะตัดใจทิ้งภาพเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง เดินแบกเป้มองหา น้าจุ่นผู้เป็นเจ้าของเถียงนาหลังนั้น แกเป็นคนข้างบ้านที่ค่อนข้างสนิทกัน พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องหัวใจ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มคบหาเป็นคนรักกับพลอย เพื่อนนักเรียนด้วยกัน
ทางเข้าดอนอันเป็นที่ตั้งของเถียงนาของน้าจุ่น สองฝั่งมีตะไคร้ปลูกไว้เป็นแถวเป็นแนว ชะอมที่ปลูกไว้ตามแนวขวางยืนต้นสูงโดยปราศจากการตัดตอนจึงค่อนข้างบดบังพื้นที่ด้านใน บรรดาไม้ผลปลูกไว้จนร่มครึ้มได้แก่ มะม่วง มะขาม ขนุน จะเห็นเพียงหลังคาสังกะสีขาวโพลนตัดกับความมืดของดงไม้ ปกติมาถึงตรงนี้จะได้ยินเสียงไก่ดังสับสน เพราะเป็นซุ้มไก่ชนมีชื่อในย่านนี้แต่คราวนี้มันเงียบมาก
แทนไทย่างกรายผ่านลานดินในแสงมืดสลัว เดินเลี่ยงสังเวียนไก่ชนและสุ่มไก่มากมายที่เหมือนถูกทิ้งไว้ปราศจากการดูแล ชะเง้อคอมองหาจนทั่วแล้วกลับพบแต่ความว่างเปล่าไม่พบเจ้าของ