เรื่องเล่าที่ 10 : ลิฟท์ตึก 26 : ระดับความหลอน 4 กะโหลก
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนชื่อผู้เล่าว่า เพลง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยที่เพลงยังเป็นเฟรชชี่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ที่มหาวิทยาลัยของเพลงนั้นมีอาคารเรียนรวมอยู่หลายอาคาร แต่อาคารเรียนรวมที่นักศึกษาคุ้นเคยกันดีกลับเป็นอาคารเรียนรวมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างตึก 26 เพลงจำได้ว่าในช่วงรับน้อง เคยได้ยินพวกรุ่นพี่เตือนๆ กันมาว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าขึ้นลิฟท์ที่ตึก 26 คนเดียว โดยเฉพาะช่วงใกล้ปิดเทอม’
ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เพลงเองก็มีเรียนที่ตึก 26 นี้ และยังเป็นการเรียนการสอนสัปดาห์สุดท้ายก่อนจะสอบไฟนอลและปิดเทอมพอดี ปกติแล้ว เพลงเป็นพวกเฉยๆ กับเรื่องลี้ลับ เพราะงั้นแม้ว่าจะได้ยินเสียงเล่าเสียงลือมาจากรุ่นพี่หรือแม้แต่เพื่อนๆ ในคณะ คุยกัน เพลงก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจและรู้สึกกลัวกับเรื่องพวกนี้
ตึก 26 เป็นตึกแปดชั้น โดยชั้นแปด ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า ตัวตึกนั้นแม้จะดูออกว่าเก่าแล้ว แต่เพราะได้รับการดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอ เลยทำให้ตัวตึกดูใหม่กว่าอายุจริงๆ อยู่มาก เพลงเคยได้ยินมาว่าตึก 26 นี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่มหาวิทยาลัยก่อตั้งได้เกือบยี่สิบปี ดังนั้นตัวตึกน่าจะมีอายุมากกว่าสามสิบปี
บรรยากาศในวันนี้ค่อนข้างหดหู่ ท้องฟ้าขมุกขมัว เมฆฝนทำท่าเหมือนจะตกไม่ตกแหล่ เพลงถอนหายใจพลางมองขั้นบันไดของตัวตึกสลับกับมองไปยังลิฟท์ที่ยังว่างอยู่ ที่หน้าประตูลิฟท์ถูกแปะโปสเตอร์ของมหา’ลัยทั้งเก่าและใหม่อยู่เต็มไปหมด ตึก 26 มีลิฟท์เพียงตัวเดียวและคาบเรียนวันนี้เรียนที่ชั้นเจ็ด เพราะงั้นเพลงจึงไม่ลังเลที่จะเดินไปกดลิฟท์แทนการเดินขึ้นบันได
เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาพักเที่ยง ตึกจึงไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ที่ชั้นล่างสุดมีแค่เพลงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังยืนรอลิฟท์ ช่วงที่ประตูลิฟท์กำลังเปิดออก เพลงเผลอนึกถึงคำเตือนของรุ่นพี่ที่บอกว่าอย่าขึ้นลิฟท์ตึก 26 นี้คนเดียว แต่เพราะความขี้เกียจ ไม่อยากเหนื่อยเดินหอบขึ้นไปเรียน เพลงเลยรีบเดินเข้าลิฟท์ไปกดชั้นทันที
ก่อนประตูลิฟท์จะปิดลง เพลงเห็นว่าข้างนอกนั้นฝนเริ่มตกลงมาแล้ว จากทางเข้าตึกมาถึงจุดรอลิฟท์ค่อนข้างห่างกันพอสมควร แต่เพลงก็ยังโดนลมจากข้างนอกพัดมากระทบอยู่ ทั้งยังได้ยินเสียงลมพัดเบาๆ ดังลอยมาด้วย ดูท่าว่าฝนตกรอบนี้น่าจะตกหนักคล้ายกับพายุเข้า ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลง ทั้งลิฟท์มีเพลงอยู่คนเดียว
ลิฟท์นี้สามารถบรรจุคนได้เพียงสิบสองคน ขนาดจึงไม่เล็กจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้กว้างเหมือนลิฟท์รุ่นใหม่ ผนังในลิฟท์เป็นสแตนเลสที่สามารถสะท้อนเงาได้เหมือนกับกระจก แต่เพราะผ่านการใช้งานมานานมากแล้ว ตัวลิฟท์เลยดูเก่าอย่างเห็นได้ชัด ผนังและประตูลิฟท์มีแต่รอยขูดขีดอยู่เต็มไปหมด
ขณะที่ลิฟท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไป เพลงกลับเริ่มรู้สึกแปลกๆ...
ทั้งๆ ที่ในลิฟท์มีเพลงแค่คนเดียว แต่เพลงกลับรู้สึกเหมือนว่าในลิฟท์ไม่ได้มีเพลงแค่คนเดียว มันเป็นความรู้สึกที่เพลงเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันทั้งรู้สึกอึดอัด ทั้งรู้สึกกดดัน คล้ายกับมีคนจ้องอยู่ตลอด และในระหว่างที่ลิฟท์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นห้านั้น เพลงก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ แรกๆ เป็นเพียงเสียงแว่วมา เพลงตั้งใจฟังว่าเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไรและดังมาจากที่ไหน
ตอนที่กลั้นหายใจเพื่อฟังเสียงนั้น เพลงได้ยินชัดเจนเลยว่า มันเป็นเสียงเหมือนคนกำลังเอาเล็บขูดผนังลิฟท์ เสียงดัง แก๊กๆ !!! ซึ่งเสียงนั้นดังมาจากด้านหลังของเพลง!
เพลงขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงขูดผนังลิฟท์ โดยเฉพาะด้านหลัง... เพลงรู้สึกทั้งหลังทั้งหัวชาไปหมด เพลงได้แต่สงสัยในใจว่า ใช่จริงๆ น่ะหรอ...? แต่เพราะว่าไฟบอกชั้นของลิฟท์ขึ้นโชว์เป็นเลขหกแล้ว เพลงเลยพยายามเลิกสนใจเสียงที่ได้ยิน ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองไปเรื่อยๆ รอจนกว่าประตูลิฟท์จะเปิด
ตอนที่เพลงคิดว่าทุกอย่างใกล้จะจบแล้วนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เพลง เงยหน้าขึ้นไปมองผนังลิฟท์... แทนที่ผนังลิฟท์จะสะท้อนเพลงแค่คนเดียว...แต่ภาพที่เพลงเห็นจากเงาสะท้อนคือมีคนยืนอยู่ที่มุมลิฟท์ฝั่งตรงข้าม!!!
เพลงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบหันกลับไปดูตรงจุดเดียวกับที่เห็นในเงาสะท้อนทันที แต่ที่มุมลิฟท์ฝั่งตรงข้าวกลับว่างเปล่า เพลงคิดว่าเมื่อกี้คงตาฝาดเลยหันกลับไปดูที่ผนังลิฟท์อีกที ในภาพสะท้อนก็ยังเห็นเป็นคนยืนอยู่ที่มุมเดิม เป็นผู้หญิงตัวสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ใส่ชุดนักศึกษา กระโปรงพลีสยาวคุมข้อเท้า กำลังยืนก้มหน้าก้มตาอยู่
เพลงทั้งช็อคทั้งกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และผู้หญิงคนนั้นแค่ยืนนิ่งๆ กับที่ แต่เพลงกลับรู้สึกขนลุกและรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่ลิฟท์หยุดอยู่ที่ชั้นเจ็ด ในช่วงที่ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก เพลงเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเงยหน้าขึ้น เพลงรีบวิ่งออกจากลิฟท์ไปทันทีโดยไม่สนว่าประตูลิฟท์ยังเปิดออกไม่สุด วิ่งตรงไปยังห้องที่ต้องเรียนโดยไม่สนใจจะหันหลังกลับไปดูเลยแม้แต่น้อย
เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะคล้อยหลังมาเบาๆ เพลงเลยหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน ระยะทางจากหน้าลิฟท์มายังหน้าห้องที่เพลงเรียนนั้นเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ แต่เพลงกลับรู้สึกเหนื่อยมากจนหายใจหอบ
หลังพักจนหายเหนื่อยแล้ว เพลงถึงค่อยเดินเข้าห้องไป เพราะยังอยู่ในช่วงพักเที่ยง ในห้องจึงมีแค่เพลงกับเพื่อนๆ ในคณะแค่สองสามคน ตอนที่เพลงนั่งลง อยู่ๆ เพื่อนในห้องก็เริ่มเล่าเรื่องลิฟท์ เพลงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าลิฟท์ที่เพื่อนๆ กำลังเล่ากันอยู่นั้นคือลิฟท์ของตึก 26 นี้แน่นอน
เพื่อนๆ เล่ากันว่า... เมื่อก่อนที่มหา’ลัยไม่ได้มียามเยอะขนาดนี้ ทุกๆ วันหลังเลิกเรียน พวกยามจะเดินไปสับคัตเอ๊าท์ไฟลง
ช่วงสอบปลายภาค มีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่ง สอบเสร็จแล้ว แต่แทนที่จะกลับหอ ผู้หญิงคนนั้นกลับขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด ชั้นที่เป็นดาดฟ้าคนเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปบนดาดฟ้าทำไม มีคนเดาไปต่างๆ นานาถึงเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปที่ดาดฟ้าเพียงคนเดียว
บ้างก็ว่า ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเครียดเรื่องทำข้อสอบไม่ได้ เลยขึ้นมาสูดอากาศ
บ้างก็เดาว่าอาจจะมีปัญหากับครอบครัว หรืออาจจะทะเลาะกับแฟน
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงแล้วคืออะไร
และเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปเองคนเดียว เลยไม่มีใครรู้...
ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะกลับหอ มันดันเป็นเวลาเดียวกับที่ยามต้องมาสับคัตเอ๊าท์ไฟลงพอดี ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังลงลิฟท์ ไฟก็ถูกตัดพอดี...
หนึ่งเดือน... คือระยะเวลาที่มหา’ลัยปิดเทอมปลายภาค แต่พวกยามปิดกันแค่สองอาทิตย์...
“แกนึกภาพออกมั้ย ผู้หญิงคนเดียวติดอยู่ในลิฟท์สองอาทิตย์ น้ำไม่มี อาหารไม่มี อากาศหายใจก็มีจำกัด จะทรมานแค่ไหน” เพื่อนที่เป็นคนเล่าถามขึ้นมา
ก่อนจะเล่าต่อว่า...
ผู้หญิงคนนั้นพอรู้ตัวว่าติดอยู่ในลิฟท์ก็พยายามตะโกนเรียก ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาค นักศึกษาคนอื่นๆ พอสอบเสร็จก็รีบแยกย้ายกันกลับหอ ยามที่มาตรวจ คงจะตรวจภายในตึกช่วงที่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปชั้นดาดฟ้าพอดี พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว เลยรีบสับคัตเอ๊าท์ไฟลงแล้วก็รีบกลับบ้าน ไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงคนนั้นเลยสักคน เพราะทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว...
ในวันที่พวกยามกลับกันมาทำงาน ตอนที่มาตรวจตามตึกเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก็เจอกับร่างไร้ลมหายใจของผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว ในลิฟท์มีทั้งรอยเล็บข่วน ทั้งรอยเลือดเปื้อนเต็มไปหมด พวกยามเดากันว่า ผู้หญิงคนนั้นคงพยายามหาทางหนี เพราะที่มือของศพมีแต่แผลเต็มไปหมด
หลังเรียกกู้ภัยมาจัดการกับศพแล้ว ทางมหา’ลัยก็สั่งให้ปิดข่าว ยามที่เป็นคนรับผิดชอบดูแลตึก 26 คนนั้นก็ถูกมหา’ลัยไล่ออก ครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าอยู่ต่างจังหวัด เรื่องที่เกิดขึ้นเลยไม่ค่อยมีใครพูดถึง
แต่เรื่องกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะหลังจากที่พวกกู้ภัยจัดการศพเสร็จแล้ว ทางมหา’ลัยก็ให้พวกแม่บ้านกับยามช่วยกันเคลียร์ลิฟท์ แต่ไม่ว่าจะขัดจะล้างยังไง รอยเล็บกับคราบเลือดบนผนังลิฟท์ก็ไม่ออกสักที
ทั้งๆ ที่ผนังลิฟท์เป็นเหล็กสแตนเลส ภายหลังเหล่ายามก็พยายามเอาเครื่องขัดมาขัดรอยออกให้ได้มากที่สุดแล้วก็เอาส้อมเอามีดมากรีดผนังลิฟท์เพิ่ม พยายามทำให้ดูไม่เหมือนว่าเป็นรอยเล็บคนแต่เป็นรอยที่เกิดจากการขนของหรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์การเรียนแทน
พวกแม่บ้านก็เอาโปสเตอร์มาติดทับรอยเลือดที่ล้างไม่ออกไว้ หลังเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้วก็เปิดใช้งานลิฟท์ตัวนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่ก็ยังมีนักศึกษาหลายคนที่เจอเรื่องแปลกๆ ตอนใช้ลิฟท์นั้นอยู่บ้าง ที่เจอกันนั้นมักจะเป็นช่วงใกล้ปิดเทอม นักศึกษาที่เจอ บ้างก็เจอแบบเสียงผู้หญิงร้องขอให้ช่วย ร้องโหยหวนทรมานดังอยู่ข้างหู ส่วนใหญ่แล้วหากว่ามีนักศึกษาคนไหนใช้ลิฟท์ตัวนั้นคนเดียวในช่วงใกล้ปิดเทอม ก็จะเห็นเป็นนักศึกษาสาวยืนอยู่ที่มุมลิฟท์ด้านหลังเงียบๆ
สิ้นเสียงเล่าของเพื่อน อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา พร้อมๆ กับกลุ่มนักศึกษาคนอื่นๆ ที่พักเที่ยงเสร็จทยอยเข้ามานั่งเพื่อเตรียมเรียน
เพลงที่แอบฟังอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ต้นนั้น ได้แต่สัญญากับตัวเองแล้วว่าหากครั้งหน้าได้เรียนที่ตึก 26 นี้อีกครั้ง ตนจะไม่ขึ้นลิฟท์นั้นเพียงคนเดียวอีกเด็ดขาด
- จ บ -
ในความคิดของทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ควรให้กี่กะโหลกดีคะ เรื่องนี้เพื่อนเราให้ 4 กะโหลกค่ะ
เรื่องเล่าชุดนี้เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้วนะคะ รวดเร็วมากกกก อีก 10 เรื่องก็จะจบเรื่องเล่าชุดนี้แล้วค่ะ ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านและร่วมติชมมากๆ เลยค่ะ
นิยายชุด : ผลัดกันเล่า by motamad
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนชื่อผู้เล่าว่า เพลง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยที่เพลงยังเป็นเฟรชชี่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ที่มหาวิทยาลัยของเพลงนั้นมีอาคารเรียนรวมอยู่หลายอาคาร แต่อาคารเรียนรวมที่นักศึกษาคุ้นเคยกันดีกลับเป็นอาคารเรียนรวมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างตึก 26 เพลงจำได้ว่าในช่วงรับน้อง เคยได้ยินพวกรุ่นพี่เตือนๆ กันมาว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าขึ้นลิฟท์ที่ตึก 26 คนเดียว โดยเฉพาะช่วงใกล้ปิดเทอม’
ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เพลงเองก็มีเรียนที่ตึก 26 นี้ และยังเป็นการเรียนการสอนสัปดาห์สุดท้ายก่อนจะสอบไฟนอลและปิดเทอมพอดี ปกติแล้ว เพลงเป็นพวกเฉยๆ กับเรื่องลี้ลับ เพราะงั้นแม้ว่าจะได้ยินเสียงเล่าเสียงลือมาจากรุ่นพี่หรือแม้แต่เพื่อนๆ ในคณะ คุยกัน เพลงก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจและรู้สึกกลัวกับเรื่องพวกนี้
ตึก 26 เป็นตึกแปดชั้น โดยชั้นแปด ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า ตัวตึกนั้นแม้จะดูออกว่าเก่าแล้ว แต่เพราะได้รับการดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอ เลยทำให้ตัวตึกดูใหม่กว่าอายุจริงๆ อยู่มาก เพลงเคยได้ยินมาว่าตึก 26 นี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่มหาวิทยาลัยก่อตั้งได้เกือบยี่สิบปี ดังนั้นตัวตึกน่าจะมีอายุมากกว่าสามสิบปี
บรรยากาศในวันนี้ค่อนข้างหดหู่ ท้องฟ้าขมุกขมัว เมฆฝนทำท่าเหมือนจะตกไม่ตกแหล่ เพลงถอนหายใจพลางมองขั้นบันไดของตัวตึกสลับกับมองไปยังลิฟท์ที่ยังว่างอยู่ ที่หน้าประตูลิฟท์ถูกแปะโปสเตอร์ของมหา’ลัยทั้งเก่าและใหม่อยู่เต็มไปหมด ตึก 26 มีลิฟท์เพียงตัวเดียวและคาบเรียนวันนี้เรียนที่ชั้นเจ็ด เพราะงั้นเพลงจึงไม่ลังเลที่จะเดินไปกดลิฟท์แทนการเดินขึ้นบันได
เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาพักเที่ยง ตึกจึงไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ที่ชั้นล่างสุดมีแค่เพลงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังยืนรอลิฟท์ ช่วงที่ประตูลิฟท์กำลังเปิดออก เพลงเผลอนึกถึงคำเตือนของรุ่นพี่ที่บอกว่าอย่าขึ้นลิฟท์ตึก 26 นี้คนเดียว แต่เพราะความขี้เกียจ ไม่อยากเหนื่อยเดินหอบขึ้นไปเรียน เพลงเลยรีบเดินเข้าลิฟท์ไปกดชั้นทันที
ก่อนประตูลิฟท์จะปิดลง เพลงเห็นว่าข้างนอกนั้นฝนเริ่มตกลงมาแล้ว จากทางเข้าตึกมาถึงจุดรอลิฟท์ค่อนข้างห่างกันพอสมควร แต่เพลงก็ยังโดนลมจากข้างนอกพัดมากระทบอยู่ ทั้งยังได้ยินเสียงลมพัดเบาๆ ดังลอยมาด้วย ดูท่าว่าฝนตกรอบนี้น่าจะตกหนักคล้ายกับพายุเข้า ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลง ทั้งลิฟท์มีเพลงอยู่คนเดียว
ลิฟท์นี้สามารถบรรจุคนได้เพียงสิบสองคน ขนาดจึงไม่เล็กจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้กว้างเหมือนลิฟท์รุ่นใหม่ ผนังในลิฟท์เป็นสแตนเลสที่สามารถสะท้อนเงาได้เหมือนกับกระจก แต่เพราะผ่านการใช้งานมานานมากแล้ว ตัวลิฟท์เลยดูเก่าอย่างเห็นได้ชัด ผนังและประตูลิฟท์มีแต่รอยขูดขีดอยู่เต็มไปหมด
ขณะที่ลิฟท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไป เพลงกลับเริ่มรู้สึกแปลกๆ...
ทั้งๆ ที่ในลิฟท์มีเพลงแค่คนเดียว แต่เพลงกลับรู้สึกเหมือนว่าในลิฟท์ไม่ได้มีเพลงแค่คนเดียว มันเป็นความรู้สึกที่เพลงเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันทั้งรู้สึกอึดอัด ทั้งรู้สึกกดดัน คล้ายกับมีคนจ้องอยู่ตลอด และในระหว่างที่ลิฟท์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นห้านั้น เพลงก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ แรกๆ เป็นเพียงเสียงแว่วมา เพลงตั้งใจฟังว่าเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไรและดังมาจากที่ไหน
ตอนที่กลั้นหายใจเพื่อฟังเสียงนั้น เพลงได้ยินชัดเจนเลยว่า มันเป็นเสียงเหมือนคนกำลังเอาเล็บขูดผนังลิฟท์ เสียงดัง แก๊กๆ !!! ซึ่งเสียงนั้นดังมาจากด้านหลังของเพลง!
เพลงขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงขูดผนังลิฟท์ โดยเฉพาะด้านหลัง... เพลงรู้สึกทั้งหลังทั้งหัวชาไปหมด เพลงได้แต่สงสัยในใจว่า ใช่จริงๆ น่ะหรอ...? แต่เพราะว่าไฟบอกชั้นของลิฟท์ขึ้นโชว์เป็นเลขหกแล้ว เพลงเลยพยายามเลิกสนใจเสียงที่ได้ยิน ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองไปเรื่อยๆ รอจนกว่าประตูลิฟท์จะเปิด
ตอนที่เพลงคิดว่าทุกอย่างใกล้จะจบแล้วนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เพลง เงยหน้าขึ้นไปมองผนังลิฟท์... แทนที่ผนังลิฟท์จะสะท้อนเพลงแค่คนเดียว...แต่ภาพที่เพลงเห็นจากเงาสะท้อนคือมีคนยืนอยู่ที่มุมลิฟท์ฝั่งตรงข้าม!!!
เพลงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบหันกลับไปดูตรงจุดเดียวกับที่เห็นในเงาสะท้อนทันที แต่ที่มุมลิฟท์ฝั่งตรงข้าวกลับว่างเปล่า เพลงคิดว่าเมื่อกี้คงตาฝาดเลยหันกลับไปดูที่ผนังลิฟท์อีกที ในภาพสะท้อนก็ยังเห็นเป็นคนยืนอยู่ที่มุมเดิม เป็นผู้หญิงตัวสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ใส่ชุดนักศึกษา กระโปรงพลีสยาวคุมข้อเท้า กำลังยืนก้มหน้าก้มตาอยู่
เพลงทั้งช็อคทั้งกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และผู้หญิงคนนั้นแค่ยืนนิ่งๆ กับที่ แต่เพลงกลับรู้สึกขนลุกและรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่ลิฟท์หยุดอยู่ที่ชั้นเจ็ด ในช่วงที่ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก เพลงเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเงยหน้าขึ้น เพลงรีบวิ่งออกจากลิฟท์ไปทันทีโดยไม่สนว่าประตูลิฟท์ยังเปิดออกไม่สุด วิ่งตรงไปยังห้องที่ต้องเรียนโดยไม่สนใจจะหันหลังกลับไปดูเลยแม้แต่น้อย
เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะคล้อยหลังมาเบาๆ เพลงเลยหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน ระยะทางจากหน้าลิฟท์มายังหน้าห้องที่เพลงเรียนนั้นเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ แต่เพลงกลับรู้สึกเหนื่อยมากจนหายใจหอบ
หลังพักจนหายเหนื่อยแล้ว เพลงถึงค่อยเดินเข้าห้องไป เพราะยังอยู่ในช่วงพักเที่ยง ในห้องจึงมีแค่เพลงกับเพื่อนๆ ในคณะแค่สองสามคน ตอนที่เพลงนั่งลง อยู่ๆ เพื่อนในห้องก็เริ่มเล่าเรื่องลิฟท์ เพลงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าลิฟท์ที่เพื่อนๆ กำลังเล่ากันอยู่นั้นคือลิฟท์ของตึก 26 นี้แน่นอน
เพื่อนๆ เล่ากันว่า... เมื่อก่อนที่มหา’ลัยไม่ได้มียามเยอะขนาดนี้ ทุกๆ วันหลังเลิกเรียน พวกยามจะเดินไปสับคัตเอ๊าท์ไฟลง
ช่วงสอบปลายภาค มีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่ง สอบเสร็จแล้ว แต่แทนที่จะกลับหอ ผู้หญิงคนนั้นกลับขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด ชั้นที่เป็นดาดฟ้าคนเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปบนดาดฟ้าทำไม มีคนเดาไปต่างๆ นานาถึงเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปที่ดาดฟ้าเพียงคนเดียว
บ้างก็ว่า ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเครียดเรื่องทำข้อสอบไม่ได้ เลยขึ้นมาสูดอากาศ
บ้างก็เดาว่าอาจจะมีปัญหากับครอบครัว หรืออาจจะทะเลาะกับแฟน
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงแล้วคืออะไร
และเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปเองคนเดียว เลยไม่มีใครรู้...
ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะกลับหอ มันดันเป็นเวลาเดียวกับที่ยามต้องมาสับคัตเอ๊าท์ไฟลงพอดี ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังลงลิฟท์ ไฟก็ถูกตัดพอดี...
หนึ่งเดือน... คือระยะเวลาที่มหา’ลัยปิดเทอมปลายภาค แต่พวกยามปิดกันแค่สองอาทิตย์...
“แกนึกภาพออกมั้ย ผู้หญิงคนเดียวติดอยู่ในลิฟท์สองอาทิตย์ น้ำไม่มี อาหารไม่มี อากาศหายใจก็มีจำกัด จะทรมานแค่ไหน” เพื่อนที่เป็นคนเล่าถามขึ้นมา
ก่อนจะเล่าต่อว่า...
ผู้หญิงคนนั้นพอรู้ตัวว่าติดอยู่ในลิฟท์ก็พยายามตะโกนเรียก ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาค นักศึกษาคนอื่นๆ พอสอบเสร็จก็รีบแยกย้ายกันกลับหอ ยามที่มาตรวจ คงจะตรวจภายในตึกช่วงที่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปชั้นดาดฟ้าพอดี พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว เลยรีบสับคัตเอ๊าท์ไฟลงแล้วก็รีบกลับบ้าน ไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงคนนั้นเลยสักคน เพราะทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว...
ในวันที่พวกยามกลับกันมาทำงาน ตอนที่มาตรวจตามตึกเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก็เจอกับร่างไร้ลมหายใจของผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว ในลิฟท์มีทั้งรอยเล็บข่วน ทั้งรอยเลือดเปื้อนเต็มไปหมด พวกยามเดากันว่า ผู้หญิงคนนั้นคงพยายามหาทางหนี เพราะที่มือของศพมีแต่แผลเต็มไปหมด
หลังเรียกกู้ภัยมาจัดการกับศพแล้ว ทางมหา’ลัยก็สั่งให้ปิดข่าว ยามที่เป็นคนรับผิดชอบดูแลตึก 26 คนนั้นก็ถูกมหา’ลัยไล่ออก ครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าอยู่ต่างจังหวัด เรื่องที่เกิดขึ้นเลยไม่ค่อยมีใครพูดถึง
แต่เรื่องกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะหลังจากที่พวกกู้ภัยจัดการศพเสร็จแล้ว ทางมหา’ลัยก็ให้พวกแม่บ้านกับยามช่วยกันเคลียร์ลิฟท์ แต่ไม่ว่าจะขัดจะล้างยังไง รอยเล็บกับคราบเลือดบนผนังลิฟท์ก็ไม่ออกสักที
ทั้งๆ ที่ผนังลิฟท์เป็นเหล็กสแตนเลส ภายหลังเหล่ายามก็พยายามเอาเครื่องขัดมาขัดรอยออกให้ได้มากที่สุดแล้วก็เอาส้อมเอามีดมากรีดผนังลิฟท์เพิ่ม พยายามทำให้ดูไม่เหมือนว่าเป็นรอยเล็บคนแต่เป็นรอยที่เกิดจากการขนของหรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์การเรียนแทน
พวกแม่บ้านก็เอาโปสเตอร์มาติดทับรอยเลือดที่ล้างไม่ออกไว้ หลังเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้วก็เปิดใช้งานลิฟท์ตัวนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่ก็ยังมีนักศึกษาหลายคนที่เจอเรื่องแปลกๆ ตอนใช้ลิฟท์นั้นอยู่บ้าง ที่เจอกันนั้นมักจะเป็นช่วงใกล้ปิดเทอม นักศึกษาที่เจอ บ้างก็เจอแบบเสียงผู้หญิงร้องขอให้ช่วย ร้องโหยหวนทรมานดังอยู่ข้างหู ส่วนใหญ่แล้วหากว่ามีนักศึกษาคนไหนใช้ลิฟท์ตัวนั้นคนเดียวในช่วงใกล้ปิดเทอม ก็จะเห็นเป็นนักศึกษาสาวยืนอยู่ที่มุมลิฟท์ด้านหลังเงียบๆ
สิ้นเสียงเล่าของเพื่อน อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา พร้อมๆ กับกลุ่มนักศึกษาคนอื่นๆ ที่พักเที่ยงเสร็จทยอยเข้ามานั่งเพื่อเตรียมเรียน
เพลงที่แอบฟังอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ต้นนั้น ได้แต่สัญญากับตัวเองแล้วว่าหากครั้งหน้าได้เรียนที่ตึก 26 นี้อีกครั้ง ตนจะไม่ขึ้นลิฟท์นั้นเพียงคนเดียวอีกเด็ดขาด
- จ บ -
ในความคิดของทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ควรให้กี่กะโหลกดีคะ เรื่องนี้เพื่อนเราให้ 4 กะโหลกค่ะ
เรื่องเล่าชุดนี้เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้วนะคะ รวดเร็วมากกกก อีก 10 เรื่องก็จะจบเรื่องเล่าชุดนี้แล้วค่ะ ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านและร่วมติชมมากๆ เลยค่ะ