ต้นฉบับ ///
https://www.facebook.com/photo/?fbid=465572688431454&set=gm.1417918058627742
(ผมแค่อยากเก็บไว้อ่านเล่นยามว่าง)
Double Defectors การแปรพักตร์ซ้อนของพลพรรคชาวเกาหลีเหนือ
แม้ว่าพวกเราจะรู้เรื่องเกี่ยวกับประเทศเกาหลีเหนือน้อยมากถึงมากที่สุด นอกจากการทำตัวอันธพาลไปทั่วภูมิภาคแล้ว เราแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับประเทศเล็กๆแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ คุณภาพชีวิตของพวกเขาชาวเกาหลีเหนืออาจจะอยู่ค่อนข้าง’เลวบัดซบ’ ดูได้จากจำนวนประชากรชาวเกาหลีเหนือที่หลบหนีออกนอกประเทศมา
นับตั้งแต่การทลายกำแพงเบอร์ลิน ไปจนถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แม้เกาหลีเหนือจะยังคงสถานการณ์เป็นประเทศคอมมิวนิสต์กลุ่มสุดท้ายได้อยู่ แต่จำนวนคนที่ลักลอบหลบหนีออกจากประเทศก็มีไม่น้อยลงเช่นกัน และบางทีอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยนับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ได้มีชาวเกาหลีเหนือที่เสี่ยงชีวิตลักลอบเข้ามาในเกาหลีใต้แล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 คน
พวกเขาจะถูกเรียกว่า “ผู้แปรพักตร์” ซึ่งทางการเกาหลีใต้ก็ดูแลคนเหล่านี้อย่างดี ทั้งการให้โอกาสการศึกษาและการทำงาน
ทว่าชีวิตของพวกเขาในโลกใหม่นั้น ไม่ได้ง่ายดายและสวยงามกว่าที่คิด
ชาวเกาหลีเหนือที่หนีข้ามเข้ามาต้องเริ่มใช้ชีวิตนับหนึ่งใหม่ และนั่นรวมถึงภาษาด้วยเช่นกัน แม้ว่าทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะเป็นที่อยู่ของผู้ที่พูดภาษาเกาหลีเหมือนกัน แต่ด้วยเพราะตัดขาดจากกันทำให้สำเนียงและความหมายของคำบางคำไม่เหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเริ่มเรียนภาษาเกาหลีใหม่ตั้งแต่ต้น
ไม่ใช่แค่เรื่องภาษา ชาวเกาหลีเหนือที่เข้ามายังเกาหลีใต้เป็นได้เพียงแค่พลเมืองชั้นสอง ที่เป็นเหตุนี้ไม่ใช่เพราะแค่ภาษาหรือวัฒนธรรม แต่เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นไม่มีทักษะต่างๆที่จะทำงานหาเงินสูงได้ๆ ชาวเกาหลีเหนือส่วนมากเป็นได้เพียงแค่แรงงานชั้นล่างของชาวเกาหลีเท่านั้น และบางทีก็ไม่ได้หางานกันได้ง่ายๆ ต้องเร่ร่อนออกไปหางานซึ่งส่วนมากจะไปยังจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความเป็นพลเมืองชั้นสอง และการปรับตัวที่ยากลำบากของผู้แปรพักตร์ แม้ว่าในเกาหลีใต้จะมีโอกาสให้พวกเขาได้มากกว่า แต่พวกเขาเลือกที่จะถวิลกลับไปยังบ้านเกิด อันเป็นถิ่นกำเนิดของพวกเขาเองมากกว่า นั่นทำให้เกิดคำว่าผู้แปรพักตร์ซ้อน (Double Defectors) ซึ่งมีความหมายถึงการที่ชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์มายังเกาหลีใต้แล้ว แปรพักตร์กลับไปอยู่เกาหลีเหนือเหมือนเดิม
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีผู้แปรพักตร์ซ้อนกลับไปมากพอสมควร แม้ว่าเกาหลีเหนือจะเป็นประเทศปิดที่ไม่ให้โอกาสอะไรและต้องอยู่ภายใต้การบังคับของท่านผู้นำ แต่สำหรับที่นั่นมีครอบครัว มีวัฒนธรรม และมีขนบดั้งเดิมของพวกเขาอยู่ ซึ่งมันอุ่นใจที่จะกลับไปมากกว่าจะทนอยู่กับความเร่งรีบและทุนนิยมในวัฒนธรรมเกาหลีใต้
หลายคนอาจจะเข้าใจว่าผู้แปรพักตร์ เมื่อกลับไปก็อาจจะไม่เหลือครอบครับ (เพราะถูกจับไปหมด) หรือไม่ก็ต้องกลับไปรับใช้โทษในค่ายกักกันแรงงาน ซึ่งนั่นเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน แต่สำหรับสมัยของท่านผู้นำคิม จอง อึน ผู้นำคนปัจจุบันเขาสบโอกาสที่จะใช้เหล่าผู้แปรพักตร์ซ้อนเหล่านี้ในการโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่าจะทำโทษพวกเขา
การข้ามพรมแดนเกาหลีเหนือนั้นมีโทษสถานหนักเพียงอย่างเดียวคือความตาย แต่สำหรับการกลับเข้ามายังเกาหลีเหนือ หลายคนอาจจะคิดว่าต้องถูกส่งไปใช้แรงงานในค่ายกักกัน หรือไม่ก็ถูกประหารไม่ต่างกับตอนหลบหนี ซึ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่กับสมัยของท่านผู้นำคิม จอง อึน ซึ่งได้คิดใช้โอกาสเกี่ยวกับการแปรพักตร์ซ้อนในการทำโฆษณาชวนเชื่อ
โดยคนที่แปรพักตร์กลับมา จะได้รับเชิญเข้าไปออกอากาศในรายการข่าวในโทรทัศน์ของชาวเกาหลีเหนือและบอกเล่าเรื่องราวความชั่วร้ายต่างๆที่ตัวเองประสบพบเจอในเกาหลีใต้ เพื่อสร้างความกลัวและความขยาดเพื่อจะไม่ให้ชาวเกาหลีเหนือคนอื่นออกนอกประเทศอีก เพราะไม่มีคำพูดไหนจะมีความหนักแน่นและน่าเชื่อถือเท่ากับคนที่คิดจะหนีออกไป และหนีกลับเข้ามาเหมือนเดิมแน่นอน
เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์แบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของคิม จอง อึน จริงๆ
อ้างอิง
https://www.scmp.com/.../south-korean-defects-north-korea...
https://www.businessinsider.com/why-north-korean...
https://en.wikipedia.org/wiki/South_Korean_defectors
Double Defectors การแปรพักตร์ซ้อนของพลพรรคชาวเกาหลีเหนือ
(ผมแค่อยากเก็บไว้อ่านเล่นยามว่าง)
Double Defectors การแปรพักตร์ซ้อนของพลพรรคชาวเกาหลีเหนือ
แม้ว่าพวกเราจะรู้เรื่องเกี่ยวกับประเทศเกาหลีเหนือน้อยมากถึงมากที่สุด นอกจากการทำตัวอันธพาลไปทั่วภูมิภาคแล้ว เราแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับประเทศเล็กๆแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ คุณภาพชีวิตของพวกเขาชาวเกาหลีเหนืออาจจะอยู่ค่อนข้าง’เลวบัดซบ’ ดูได้จากจำนวนประชากรชาวเกาหลีเหนือที่หลบหนีออกนอกประเทศมา
นับตั้งแต่การทลายกำแพงเบอร์ลิน ไปจนถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แม้เกาหลีเหนือจะยังคงสถานการณ์เป็นประเทศคอมมิวนิสต์กลุ่มสุดท้ายได้อยู่ แต่จำนวนคนที่ลักลอบหลบหนีออกจากประเทศก็มีไม่น้อยลงเช่นกัน และบางทีอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยนับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ได้มีชาวเกาหลีเหนือที่เสี่ยงชีวิตลักลอบเข้ามาในเกาหลีใต้แล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 คน
พวกเขาจะถูกเรียกว่า “ผู้แปรพักตร์” ซึ่งทางการเกาหลีใต้ก็ดูแลคนเหล่านี้อย่างดี ทั้งการให้โอกาสการศึกษาและการทำงาน
ทว่าชีวิตของพวกเขาในโลกใหม่นั้น ไม่ได้ง่ายดายและสวยงามกว่าที่คิด
ชาวเกาหลีเหนือที่หนีข้ามเข้ามาต้องเริ่มใช้ชีวิตนับหนึ่งใหม่ และนั่นรวมถึงภาษาด้วยเช่นกัน แม้ว่าทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะเป็นที่อยู่ของผู้ที่พูดภาษาเกาหลีเหมือนกัน แต่ด้วยเพราะตัดขาดจากกันทำให้สำเนียงและความหมายของคำบางคำไม่เหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเริ่มเรียนภาษาเกาหลีใหม่ตั้งแต่ต้น
ไม่ใช่แค่เรื่องภาษา ชาวเกาหลีเหนือที่เข้ามายังเกาหลีใต้เป็นได้เพียงแค่พลเมืองชั้นสอง ที่เป็นเหตุนี้ไม่ใช่เพราะแค่ภาษาหรือวัฒนธรรม แต่เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นไม่มีทักษะต่างๆที่จะทำงานหาเงินสูงได้ๆ ชาวเกาหลีเหนือส่วนมากเป็นได้เพียงแค่แรงงานชั้นล่างของชาวเกาหลีเท่านั้น และบางทีก็ไม่ได้หางานกันได้ง่ายๆ ต้องเร่ร่อนออกไปหางานซึ่งส่วนมากจะไปยังจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความเป็นพลเมืองชั้นสอง และการปรับตัวที่ยากลำบากของผู้แปรพักตร์ แม้ว่าในเกาหลีใต้จะมีโอกาสให้พวกเขาได้มากกว่า แต่พวกเขาเลือกที่จะถวิลกลับไปยังบ้านเกิด อันเป็นถิ่นกำเนิดของพวกเขาเองมากกว่า นั่นทำให้เกิดคำว่าผู้แปรพักตร์ซ้อน (Double Defectors) ซึ่งมีความหมายถึงการที่ชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์มายังเกาหลีใต้แล้ว แปรพักตร์กลับไปอยู่เกาหลีเหนือเหมือนเดิม
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีผู้แปรพักตร์ซ้อนกลับไปมากพอสมควร แม้ว่าเกาหลีเหนือจะเป็นประเทศปิดที่ไม่ให้โอกาสอะไรและต้องอยู่ภายใต้การบังคับของท่านผู้นำ แต่สำหรับที่นั่นมีครอบครัว มีวัฒนธรรม และมีขนบดั้งเดิมของพวกเขาอยู่ ซึ่งมันอุ่นใจที่จะกลับไปมากกว่าจะทนอยู่กับความเร่งรีบและทุนนิยมในวัฒนธรรมเกาหลีใต้
หลายคนอาจจะเข้าใจว่าผู้แปรพักตร์ เมื่อกลับไปก็อาจจะไม่เหลือครอบครับ (เพราะถูกจับไปหมด) หรือไม่ก็ต้องกลับไปรับใช้โทษในค่ายกักกันแรงงาน ซึ่งนั่นเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน แต่สำหรับสมัยของท่านผู้นำคิม จอง อึน ผู้นำคนปัจจุบันเขาสบโอกาสที่จะใช้เหล่าผู้แปรพักตร์ซ้อนเหล่านี้ในการโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่าจะทำโทษพวกเขา
การข้ามพรมแดนเกาหลีเหนือนั้นมีโทษสถานหนักเพียงอย่างเดียวคือความตาย แต่สำหรับการกลับเข้ามายังเกาหลีเหนือ หลายคนอาจจะคิดว่าต้องถูกส่งไปใช้แรงงานในค่ายกักกัน หรือไม่ก็ถูกประหารไม่ต่างกับตอนหลบหนี ซึ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่กับสมัยของท่านผู้นำคิม จอง อึน ซึ่งได้คิดใช้โอกาสเกี่ยวกับการแปรพักตร์ซ้อนในการทำโฆษณาชวนเชื่อ
โดยคนที่แปรพักตร์กลับมา จะได้รับเชิญเข้าไปออกอากาศในรายการข่าวในโทรทัศน์ของชาวเกาหลีเหนือและบอกเล่าเรื่องราวความชั่วร้ายต่างๆที่ตัวเองประสบพบเจอในเกาหลีใต้ เพื่อสร้างความกลัวและความขยาดเพื่อจะไม่ให้ชาวเกาหลีเหนือคนอื่นออกนอกประเทศอีก เพราะไม่มีคำพูดไหนจะมีความหนักแน่นและน่าเชื่อถือเท่ากับคนที่คิดจะหนีออกไป และหนีกลับเข้ามาเหมือนเดิมแน่นอน
เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์แบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของคิม จอง อึน จริงๆ
อ้างอิง
https://www.scmp.com/.../south-korean-defects-north-korea...
https://www.businessinsider.com/why-north-korean...
https://en.wikipedia.org/wiki/South_Korean_defectors