สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิวการสมัครลูกเรือของสายการบินตะวันออกกลาง ซึ่งจริงผมสมัครผ่านมานานแล้วตั้งแต่ปี2019 แต่หลังจากที่บินมาเทรนได้สักพักก็โดน redundant เพราะสถานการณ์โควิด พอดีสถานการณ์ดีขึ้นผมก็ได้คอลจากบริษัทว่ายังสนใจอยากทำงานกับเค้าอยู่ไหม แน่นอนครับผมรีบตอบว่า yes เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำใจแล้วว่าอาจจะยากที่จะได้กลับมา หรือไม่ก็ต้องสมัครใหม่อีกครั้ง ซึ่งแต้มบุญที่ใช้สมัครครั้งก่อนอาจจะหมดไปแล้วก็ได้ ช่วงนี้บริษัทเปิดรับสมัครลูกเรือเพิ่มอีกเยอะมาก เลยอยากจะมารีวิว process คร่าวของตัวเอง เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆที่อยากมาทำงานในสายนี้เหมือนกับผม
รอบที่ผมสมัครเป็นรอบที่ต้องสมัครผ่านเว็บ ยื่นเอกสารต่างๆแล้วรอเมล invite ซึ่งผมรอเกือบ3 เดือนครับกว่าจะได้เมลตอบกลับมา เค้าจะแจ้ง batch และเวลามาให้ สถานที่จัดคือ Godlen Tulip โรงแรมที่ลูกเรือจะมาพักกันที่นี้นั่นเอง
สำหรับวันแรก CV drop หรือ รอบ pre screen
ผมจำได้ว่ามาแบบโล่งๆเลยครับ เตรียมตัวแค่คำถามพื้นฐานทั่วไป ตอนนั้นในใจคิดว่าแค่อยากมาลองดูบรรยากาศมากกว่าเพราะเป็นการสมัครลูกเรือครั้งแรกของผม เพราะได้ยินมาว่าสายนี้ต้องใข้ประสบการณ์ในการสมัครรายรอบเพราะการคัดเลือดโหดมากเลยเตรียมตัวไม่ได้เยอะมาก แต่ก็อ่านรีวิวของคนที่เคยสมัครเพื่อจะได้เข้าใจ process ของการสมัครงูกเรือว่าเป็นยังไง วันนั้นผมก็แต่งตัว Bussiness attire ตามที่เค้าแจ้งไว้ในเมล เซทผมให้ดูดี แต่ผมแนะนำว่าว่าไม่ควรแต่งหน้าไปนะครับ ผมได้ยินมาว่าผู้ชายบางคนโดนให้ไปลบเครื่องสำอางด้วยครับ ก็เลยเข้าทางคนที่แต่งหน้าไม่เป็นอย่างผมเลย และที่สำคัญคือต้องปริ้นเอกสารที่เราได้ invite มาด้วย ผมเห็นหลายคนลืมต้องไปต่อแถวปริ้นที่โรงแรม ผมไปถึงก็ยืนรอสักพักก็ถึงคิวที่ผมต้องเข้าไป พอเจอหน้ากรรมการสิ่งแรกที่ผมทำคือเผลอไหว้กรรมการด้วยความเคยชินครับ เด๋อแล้วดอกที่ 1 เค้าก็ยิ้มๆให้แล้วก็มองหน้าผมแบบละเอียดมาก แล้วก็เริ่มถามคำถาม
I: What job are you doing right now?
พอผมตอบไปเค้าก็ยื่นเอกสารบางอย่างมาให้ผม แล้วบอกผมว่าเจอกันนะ ผมก็ยืนอึ้งอยู่พักนึงครับ ในใจคิดว่าอันนี้คือเสร็จแล้วหรอ? แล้วผ่านไหมวะ เลยออกจากห้องมาเปิดกระดาษดูก็ดีใจมากเพราะได้ใบนัดในการมาทำ process ถัดไป หรือที่เค้าเรียกกันว่า secret paper นั่นเองคนข้างนอกก็เข้าถามครับว่ากรรมการถามอะไรบ้าง ทำยังไงถึงจะได้ผมก็ตอบพวกเค้าว่าผมก็ยังงงเหมือนกันครับ
Process 2 English test/ Chit Chat
วันนี้จะเป็นวันที่กรรมการจะขายของให้ผู้สมัครอยากทำงานกับเค้ามากขึ้นไปอีก เพราะก่อนสอบเค้าจะเปิดpresentation ของสายการบิน แจ้งรายละเอียดเรื่องเงินเดือน เรื่อง benefit ต่างๆเพื่อให้เรามีกำลังใจในการทำข้อสอบ สำหรับข้อสอบมีทั้งหมด 4 part รวมเป็น 30ข้อ แบ่งออกเป็น reading ให้ตอบ true/false, grammar เติมคำศัพท์ให้ประโยคสมบูรณ์ตามหลักไวยากรณ์, conversation ให้เลือกคำที่ถูกต้องให้ตรงกับที่คนพูดต้องการสื่อ, fill in the blank
สำหรับข้อสอบถ้าใครเคยสอบ toeic มาบ้างแล้วน่าจะทำข้อสอบนี้ได้สบายๆเลยครับ หลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จแล้วกรรมการจะให้เราออกไปรอข้างนอกเพื่อที่เค้าจะได้ตรวจข้อสอบ เป็นช่วงเวลาที่ลุ้นมากครับว่าเราจะได้ไปต่อไหม ซึ่งด่านนี้เค้าจะประกาศเลขของผู้สมัครที่ผ่านและคนที่ไม่มีในรายชื่อก็ต้องกลับบ้านไป ในด่านนี้นอกเหนือจากคะแนนของข้อสอบผมคิดว่าระหว่างที่เราทำข้อสอบ กรรมการน่าจะคอยสังเกตเราตอนทำข้อสอบไปด้วยใช้ช่วงที่เราเผลอในการคัดเลือกเราอีกทางหนึ่ง ดังนั้นผมขอแนะนำว่าแม้เราทำกำลังเครียดกับข้อสอบตรงหน้า แต่ก็อย่าลืมนั่งให้สง่าให้บุคคลิกดูดีอยู่เสมอ
Process 3 Chit Chat
รอบนี้ผู้สมัครจะถูกแบ่งออกเป็น 2กลุ่มเพราะห้องสัมภาษณ์จะมี2ห้อง ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วกรรมการจะให้เราเอื้อมแตะให้เกิน 212 cm สำหรับผู้ชายจะห้ามเขย่งเท้า เมื่อผ่านแล้วก็จะกลับมานั่งต่อหน้ากรรมการที่มีโคมไฟส่องหน้าเราอยู่ เค้าจะให้เรา declare พวกแผลเป็นต่างๆ ผมก็บอกเค้าไปอย่างละเอียดนะครับว่ามีตรงไหนบ้าง ก็มีแอบคิดในใจว่าจะตกรอบเพราะแผลเป็นไหมเนี่ย เพราะมีแผลตามที่มือที่หน้าอยู่พอสมควร บางจุดที่ผมลืมไปแล้วเค้าก็ยังทักเลยแนะนำว่าไม่ควรปกปิดรอยแผลเป็นที่อยู่ในจุดที่เห็นได้เพราะยังไงกรรมการก็จะรู้อยู่ดี หลังจากที่ declare เสร็จกรรมการก็จะเลือกแบบทดสอบให้เราอาจจะเป็นรูปภาพหรือคำศัพท์ ซึ่งผมได้คำศัพท์ครับตอนนั้นค่อนข้างตื่นเต้นพูดผิดพูดถูกแต่พยายามพูดเรื่องที่เชื่อมโยงกับตัวของเรา เพื่อนให้เค้าจำเราและรู้จักเรามากขึ้น ยอมรับตามตรงว่าผมเองเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ผมจะถนัดในทาง grammar หรืองานเขียนมากกว่าการพูดการฟังก็รู้สึกว่าตัวเองคงมาได้ไกลถึงตรงนี้ เพราะอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ตามระดับที่กรรมการต้องการ จึงทำใจไว้ไม่คาดหวังตั้งแต่ออกจากห้องเลยครับ
หลังจากที่ออกมาจากห้องก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าทั้งสองห้องจะสัมเสร็จ ตอนแรกผมก็จะไม่รอแล้วครับเพราะคิดว่าออกไปยังไงก็ต้องกลับบ้าน แต่มันเป็นช่วงเวลาเย็นที่ถ้าออกไปรถต้องติดมากแน่ๆเลยนั่งรอเล่นๆ สุดท้ายดันมีเลขสมัครของผมอยู่บนจอที่เค้าประกาศกลายเป็น 1ใน40 คนสุดท้ายของผู้สมัครทั้งหมด ตอนนั้นคือดีใจมากคิดอะไรไม่ออกเลย ยังโชคดีที่เค้าให้คนที่ผ่านกรอกข้อมูลต่างๆแล้วกรรมการก็มาแจ้งว่าสำหรับการสัมภาษณ์รอบถัดไปต้องเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้แทนเพราะวันนี้ไม่ทันแล้ว อาจจะมีบางคนที่เค้ายอมให้สัมภาษณ์วันนั้นเลย ผมก็โล่งใจมากครับที่อย่างน้อยยังพอมีเวลาเตรียมมากขึ้น
Final interview
สำหรับรอบนี้ผมพยายามหาแค่คำถามคร่าวๆที่มีคนเคยมาแชร์ไว้แล้วแค่ลองคิดดูว่าจะตอบยังไงให้เป็นตัวเรา ไม่ได้คิดออกมาเป็นสคริปเพราะไม่อยากท่องจำมันจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ผมก็ไปนั่งรอก่อนเวลาที่เค้านัดก็เจอเพื่อนๆคนอื่นที่ผ่านด้วยกันนั่งให้กำลังใจกันและแชร์ข้อมูลที่ได้ยินมาจากคนที่สัมภาษณ์ไปแล้ว และแล้วเวลาของผมก็มาถึง วันนี้ผมเข้าไปในห้องด้วยความสดใสเป็นพิเศษปล่อยวางความกดดัน พอนั่งต่อหน้ากรรมการแล้วเค้าก็จะเช็คข้อมูลต่างๆของเราอีกครั้งเรื่องแผลเป็นต่างๆจากนั้นก็เริ่มถามคำถามจากง่ายๆไปยากซึ่งจะเป็นคำถามที่วัดการเป็นตัวเรามากๆขอยกตัวอย่างคำถามเท่าที่จำได้
Can you serve alcohol?
Do you have any service mind?
Do you think you can read people’s mind?
Do you find any challenges working with multi cultures environment?
Do you think there should be authority?
Have you ever deal with difficult customers?
ผมยอบรับตามตรงครับว่าบางคำถามผมก็ตอบได้ดี บางคำถามก็ตอบแบบห้วนๆไม่มีส่วนขยายเพิ่มเติมและมีหลายครั้งที่ผมต้องให้กรรมการเค้า repeat คำถามให้เพราะผมไม่คุ้นชินกับสำเนียงของกรรมการ บางคำถามที่เค้าถามพอตอบไปเค้าก็ขอตัดจบก็มี ซึ่งตอนก็รู้สึกเฟลมากๆเหมือนกันแต่ก็ยังยิ้มสู้อยู่ สุดท้ายก่อนออกจากห้องกรรมการก็พูดกับผมว่าไม่ว่าผลวันนี้จะเป็นยังไง เค้าอยากให้ผมฝึกทักษะการฟังที่หลากหลายสำเนียงและฝึกพูดให้คล่องกว่านี้ ในใจผมก็คิดแล้วว่าผมคงไม่ผ่านแต่ก็ให้กำลังใจตัวเองว่าอย่างน้อยทำเต็มที่และเป็นตัวเองมากที่สุดแล้ว
วันรุ่งขึ้นผมก็ได้เมลจากบริษัทซึ่งตอนนั้นผมหนีไปเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากเฟลจากการสัมภาษณ์ ผมก็คิดว่าคงเป็นเมล regret สำหรับคนที่ไม่ผ่านตามที่อ่านรีวิวมาก สุดท้ายมันกลับกลายเป็นเมลให้อัพโหลดเอกสาร ผมก็อึ้งมากเลยส่งเมลไปถามคนที่เค้ามีประสบการณ์สมัครว่าเมลแบบนี้หมายความว่าอะไร เค้าก็ตอบว่าผมผ่านแล้วนะ ทำตามprocess ถัดไปได้เลย ตอนนั้นคือทำอะไรไม่ถูกจริงๆครับ งงมากว่าตัวเองผ่านมาได้ไง
ผมเลยอยากเขียนรีวิวนี้เล่าให้เพื่อนๆที่ไม่เก่งด้าน communication แบบผมได้มีกำลังใจสู้กับเส้นทางนี้ครับว่าบางทีสายการบินต่างชาติ เค้าอาจจะไม่ได้ต้องการเอาคนที่พูดภาษาอังกฤษเป๊ะหรือคล่องแบบ native ตามที่รีวิวหลายๆรีวิวเคยเขียนเอาไว้ บางทีทักษะด้านภาษาอังกฤษอาจจะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าสำคัญในการคัดเลือก แต่มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดสักทีเดียว ถ้าเราอยู่ในเกณฑ์ที่สื่อสารได้ เอาตัวรอดได้ก็อาจจะผ่านเกณฑ์ของเค้า เลยอยากให้ทุกคนลองสมัครดูก่อนนะครับ ไม่ต้องรอพร้อมหรือรอเก่งภาษาอังกฤษก่อนแล้วค่อยสมัคร และจากประสบการณ์ที่ผมได้ย้ายมาอยู่ที่นี้ การพูดกับเพื่อนชาวต่างชาติทุกคนสนใจกันแค่ข้อมูลที่เราต้องการสื่อ ไม่ได้สนใจแกรมม่าหรือสำเนียงของเราเลย และอีกอย่างที่ผมเชื่อว่าที่ผมผ่านมาได้คือการที่เป็นผมเป็นตัวของตัวเองและพยายามทำให้เค้าชอบให้เค้าจำผมให้ได้ มันเลยอาจจะเป็นเหตุผลให้เค้ามองข้ามจุดอ่อนของผมไปได้ สุดท้ายผมขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆทุกคนที่กำลังพยายามเลือกมาเดินในเส้นทางนี้มุ่งมั่นและอย่ายอมแพ้ก่อนที่เราจะได้มันมานะครับ
รีวิวการสมัครลูกเรือสายตะวันออกกลาง
รอบที่ผมสมัครเป็นรอบที่ต้องสมัครผ่านเว็บ ยื่นเอกสารต่างๆแล้วรอเมล invite ซึ่งผมรอเกือบ3 เดือนครับกว่าจะได้เมลตอบกลับมา เค้าจะแจ้ง batch และเวลามาให้ สถานที่จัดคือ Godlen Tulip โรงแรมที่ลูกเรือจะมาพักกันที่นี้นั่นเอง
สำหรับวันแรก CV drop หรือ รอบ pre screen
ผมจำได้ว่ามาแบบโล่งๆเลยครับ เตรียมตัวแค่คำถามพื้นฐานทั่วไป ตอนนั้นในใจคิดว่าแค่อยากมาลองดูบรรยากาศมากกว่าเพราะเป็นการสมัครลูกเรือครั้งแรกของผม เพราะได้ยินมาว่าสายนี้ต้องใข้ประสบการณ์ในการสมัครรายรอบเพราะการคัดเลือดโหดมากเลยเตรียมตัวไม่ได้เยอะมาก แต่ก็อ่านรีวิวของคนที่เคยสมัครเพื่อจะได้เข้าใจ process ของการสมัครงูกเรือว่าเป็นยังไง วันนั้นผมก็แต่งตัว Bussiness attire ตามที่เค้าแจ้งไว้ในเมล เซทผมให้ดูดี แต่ผมแนะนำว่าว่าไม่ควรแต่งหน้าไปนะครับ ผมได้ยินมาว่าผู้ชายบางคนโดนให้ไปลบเครื่องสำอางด้วยครับ ก็เลยเข้าทางคนที่แต่งหน้าไม่เป็นอย่างผมเลย และที่สำคัญคือต้องปริ้นเอกสารที่เราได้ invite มาด้วย ผมเห็นหลายคนลืมต้องไปต่อแถวปริ้นที่โรงแรม ผมไปถึงก็ยืนรอสักพักก็ถึงคิวที่ผมต้องเข้าไป พอเจอหน้ากรรมการสิ่งแรกที่ผมทำคือเผลอไหว้กรรมการด้วยความเคยชินครับ เด๋อแล้วดอกที่ 1 เค้าก็ยิ้มๆให้แล้วก็มองหน้าผมแบบละเอียดมาก แล้วก็เริ่มถามคำถาม
I: What job are you doing right now?
พอผมตอบไปเค้าก็ยื่นเอกสารบางอย่างมาให้ผม แล้วบอกผมว่าเจอกันนะ ผมก็ยืนอึ้งอยู่พักนึงครับ ในใจคิดว่าอันนี้คือเสร็จแล้วหรอ? แล้วผ่านไหมวะ เลยออกจากห้องมาเปิดกระดาษดูก็ดีใจมากเพราะได้ใบนัดในการมาทำ process ถัดไป หรือที่เค้าเรียกกันว่า secret paper นั่นเองคนข้างนอกก็เข้าถามครับว่ากรรมการถามอะไรบ้าง ทำยังไงถึงจะได้ผมก็ตอบพวกเค้าว่าผมก็ยังงงเหมือนกันครับ
Process 2 English test/ Chit Chat
วันนี้จะเป็นวันที่กรรมการจะขายของให้ผู้สมัครอยากทำงานกับเค้ามากขึ้นไปอีก เพราะก่อนสอบเค้าจะเปิดpresentation ของสายการบิน แจ้งรายละเอียดเรื่องเงินเดือน เรื่อง benefit ต่างๆเพื่อให้เรามีกำลังใจในการทำข้อสอบ สำหรับข้อสอบมีทั้งหมด 4 part รวมเป็น 30ข้อ แบ่งออกเป็น reading ให้ตอบ true/false, grammar เติมคำศัพท์ให้ประโยคสมบูรณ์ตามหลักไวยากรณ์, conversation ให้เลือกคำที่ถูกต้องให้ตรงกับที่คนพูดต้องการสื่อ, fill in the blank
สำหรับข้อสอบถ้าใครเคยสอบ toeic มาบ้างแล้วน่าจะทำข้อสอบนี้ได้สบายๆเลยครับ หลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จแล้วกรรมการจะให้เราออกไปรอข้างนอกเพื่อที่เค้าจะได้ตรวจข้อสอบ เป็นช่วงเวลาที่ลุ้นมากครับว่าเราจะได้ไปต่อไหม ซึ่งด่านนี้เค้าจะประกาศเลขของผู้สมัครที่ผ่านและคนที่ไม่มีในรายชื่อก็ต้องกลับบ้านไป ในด่านนี้นอกเหนือจากคะแนนของข้อสอบผมคิดว่าระหว่างที่เราทำข้อสอบ กรรมการน่าจะคอยสังเกตเราตอนทำข้อสอบไปด้วยใช้ช่วงที่เราเผลอในการคัดเลือกเราอีกทางหนึ่ง ดังนั้นผมขอแนะนำว่าแม้เราทำกำลังเครียดกับข้อสอบตรงหน้า แต่ก็อย่าลืมนั่งให้สง่าให้บุคคลิกดูดีอยู่เสมอ
Process 3 Chit Chat
รอบนี้ผู้สมัครจะถูกแบ่งออกเป็น 2กลุ่มเพราะห้องสัมภาษณ์จะมี2ห้อง ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วกรรมการจะให้เราเอื้อมแตะให้เกิน 212 cm สำหรับผู้ชายจะห้ามเขย่งเท้า เมื่อผ่านแล้วก็จะกลับมานั่งต่อหน้ากรรมการที่มีโคมไฟส่องหน้าเราอยู่ เค้าจะให้เรา declare พวกแผลเป็นต่างๆ ผมก็บอกเค้าไปอย่างละเอียดนะครับว่ามีตรงไหนบ้าง ก็มีแอบคิดในใจว่าจะตกรอบเพราะแผลเป็นไหมเนี่ย เพราะมีแผลตามที่มือที่หน้าอยู่พอสมควร บางจุดที่ผมลืมไปแล้วเค้าก็ยังทักเลยแนะนำว่าไม่ควรปกปิดรอยแผลเป็นที่อยู่ในจุดที่เห็นได้เพราะยังไงกรรมการก็จะรู้อยู่ดี หลังจากที่ declare เสร็จกรรมการก็จะเลือกแบบทดสอบให้เราอาจจะเป็นรูปภาพหรือคำศัพท์ ซึ่งผมได้คำศัพท์ครับตอนนั้นค่อนข้างตื่นเต้นพูดผิดพูดถูกแต่พยายามพูดเรื่องที่เชื่อมโยงกับตัวของเรา เพื่อนให้เค้าจำเราและรู้จักเรามากขึ้น ยอมรับตามตรงว่าผมเองเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ผมจะถนัดในทาง grammar หรืองานเขียนมากกว่าการพูดการฟังก็รู้สึกว่าตัวเองคงมาได้ไกลถึงตรงนี้ เพราะอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ตามระดับที่กรรมการต้องการ จึงทำใจไว้ไม่คาดหวังตั้งแต่ออกจากห้องเลยครับ
หลังจากที่ออกมาจากห้องก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าทั้งสองห้องจะสัมเสร็จ ตอนแรกผมก็จะไม่รอแล้วครับเพราะคิดว่าออกไปยังไงก็ต้องกลับบ้าน แต่มันเป็นช่วงเวลาเย็นที่ถ้าออกไปรถต้องติดมากแน่ๆเลยนั่งรอเล่นๆ สุดท้ายดันมีเลขสมัครของผมอยู่บนจอที่เค้าประกาศกลายเป็น 1ใน40 คนสุดท้ายของผู้สมัครทั้งหมด ตอนนั้นคือดีใจมากคิดอะไรไม่ออกเลย ยังโชคดีที่เค้าให้คนที่ผ่านกรอกข้อมูลต่างๆแล้วกรรมการก็มาแจ้งว่าสำหรับการสัมภาษณ์รอบถัดไปต้องเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้แทนเพราะวันนี้ไม่ทันแล้ว อาจจะมีบางคนที่เค้ายอมให้สัมภาษณ์วันนั้นเลย ผมก็โล่งใจมากครับที่อย่างน้อยยังพอมีเวลาเตรียมมากขึ้น
Final interview
สำหรับรอบนี้ผมพยายามหาแค่คำถามคร่าวๆที่มีคนเคยมาแชร์ไว้แล้วแค่ลองคิดดูว่าจะตอบยังไงให้เป็นตัวเรา ไม่ได้คิดออกมาเป็นสคริปเพราะไม่อยากท่องจำมันจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ผมก็ไปนั่งรอก่อนเวลาที่เค้านัดก็เจอเพื่อนๆคนอื่นที่ผ่านด้วยกันนั่งให้กำลังใจกันและแชร์ข้อมูลที่ได้ยินมาจากคนที่สัมภาษณ์ไปแล้ว และแล้วเวลาของผมก็มาถึง วันนี้ผมเข้าไปในห้องด้วยความสดใสเป็นพิเศษปล่อยวางความกดดัน พอนั่งต่อหน้ากรรมการแล้วเค้าก็จะเช็คข้อมูลต่างๆของเราอีกครั้งเรื่องแผลเป็นต่างๆจากนั้นก็เริ่มถามคำถามจากง่ายๆไปยากซึ่งจะเป็นคำถามที่วัดการเป็นตัวเรามากๆขอยกตัวอย่างคำถามเท่าที่จำได้
Can you serve alcohol?
Do you have any service mind?
Do you think you can read people’s mind?
Do you find any challenges working with multi cultures environment?
Do you think there should be authority?
Have you ever deal with difficult customers?
ผมยอบรับตามตรงครับว่าบางคำถามผมก็ตอบได้ดี บางคำถามก็ตอบแบบห้วนๆไม่มีส่วนขยายเพิ่มเติมและมีหลายครั้งที่ผมต้องให้กรรมการเค้า repeat คำถามให้เพราะผมไม่คุ้นชินกับสำเนียงของกรรมการ บางคำถามที่เค้าถามพอตอบไปเค้าก็ขอตัดจบก็มี ซึ่งตอนก็รู้สึกเฟลมากๆเหมือนกันแต่ก็ยังยิ้มสู้อยู่ สุดท้ายก่อนออกจากห้องกรรมการก็พูดกับผมว่าไม่ว่าผลวันนี้จะเป็นยังไง เค้าอยากให้ผมฝึกทักษะการฟังที่หลากหลายสำเนียงและฝึกพูดให้คล่องกว่านี้ ในใจผมก็คิดแล้วว่าผมคงไม่ผ่านแต่ก็ให้กำลังใจตัวเองว่าอย่างน้อยทำเต็มที่และเป็นตัวเองมากที่สุดแล้ว
วันรุ่งขึ้นผมก็ได้เมลจากบริษัทซึ่งตอนนั้นผมหนีไปเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากเฟลจากการสัมภาษณ์ ผมก็คิดว่าคงเป็นเมล regret สำหรับคนที่ไม่ผ่านตามที่อ่านรีวิวมาก สุดท้ายมันกลับกลายเป็นเมลให้อัพโหลดเอกสาร ผมก็อึ้งมากเลยส่งเมลไปถามคนที่เค้ามีประสบการณ์สมัครว่าเมลแบบนี้หมายความว่าอะไร เค้าก็ตอบว่าผมผ่านแล้วนะ ทำตามprocess ถัดไปได้เลย ตอนนั้นคือทำอะไรไม่ถูกจริงๆครับ งงมากว่าตัวเองผ่านมาได้ไง
ผมเลยอยากเขียนรีวิวนี้เล่าให้เพื่อนๆที่ไม่เก่งด้าน communication แบบผมได้มีกำลังใจสู้กับเส้นทางนี้ครับว่าบางทีสายการบินต่างชาติ เค้าอาจจะไม่ได้ต้องการเอาคนที่พูดภาษาอังกฤษเป๊ะหรือคล่องแบบ native ตามที่รีวิวหลายๆรีวิวเคยเขียนเอาไว้ บางทีทักษะด้านภาษาอังกฤษอาจจะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าสำคัญในการคัดเลือก แต่มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดสักทีเดียว ถ้าเราอยู่ในเกณฑ์ที่สื่อสารได้ เอาตัวรอดได้ก็อาจจะผ่านเกณฑ์ของเค้า เลยอยากให้ทุกคนลองสมัครดูก่อนนะครับ ไม่ต้องรอพร้อมหรือรอเก่งภาษาอังกฤษก่อนแล้วค่อยสมัคร และจากประสบการณ์ที่ผมได้ย้ายมาอยู่ที่นี้ การพูดกับเพื่อนชาวต่างชาติทุกคนสนใจกันแค่ข้อมูลที่เราต้องการสื่อ ไม่ได้สนใจแกรมม่าหรือสำเนียงของเราเลย และอีกอย่างที่ผมเชื่อว่าที่ผมผ่านมาได้คือการที่เป็นผมเป็นตัวของตัวเองและพยายามทำให้เค้าชอบให้เค้าจำผมให้ได้ มันเลยอาจจะเป็นเหตุผลให้เค้ามองข้ามจุดอ่อนของผมไปได้ สุดท้ายผมขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆทุกคนที่กำลังพยายามเลือกมาเดินในเส้นทางนี้มุ่งมั่นและอย่ายอมแพ้ก่อนที่เราจะได้มันมานะครับ