ปืนนายแบบสัปดาห์นี้ คือ BUL M-5 Commander ลำกล้องสั้นกว่ารุ่นกัฟเวิร์นเม้นท์ แต่ด้ามยาวเต็มสภาพ จุกระสุน .45 ได้ 13 นัด ระบบการทำงานเป็น 1911 ยอดนิยม
ปืนพก 1911 ที่ จอห์น เบรานิง ออกแบบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 ใช้วัสดุเป็นเหล็กกล้าทั้งกระบอก แต่ละชิ้นส่วนทำการอบชุบให้แข็งหรือเหนียวแตกต่างกันตามหน้าที่การทำงาน มีเพียงประกับด้ามที่ของเดิมเป็นไม้ ต่อมาเปลี่ยนเป็นพลาสติกแข็ง
ในปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลสหรัฐเปิดโครงการจัดหาปืนพกใหม่ใช้กระสุน 9 มม. พาราฯ กำหนดน้ำหนักตัวไม่เกิน 25 ออนซ์ (710 กรัม) ยาวตลอดไม่เกิน 7 นิ้ว สำหรับนายทหารใช้แทนปืน 1911 (หนัก 40 ออนซ์ ยาว 8.25 นิ้ว) โคลท์เสนอขายปืนที่ปรับแบบจาก 1911 เพียงเล็กน้อย คือใช้วัสดุอะลูมินั่มอัลลอยทำโครงปืน พร้อมกับลำกล้องสั้นลงจากห้านิ้วเหลือ 4.25 นิ้ว ได้ปืนที่ต่อมาใช้ชื่อ “คอมมานเดอร์” (Commander) ซึ่งโคลท์ผลิตออกขายตลาดเอกชนในปี 1950 โดยในปีแรกมีขนาดกระสุน .45 ACP และ .38 ซูเปอร์ให้เลือกได้ด้วย ปืนคอมมานเดอร์ถือได้ว่าเป็นปืนพกโครงอัลลอยกระบอกแรกที่ผลิตขายจำนวนมาก ต่อมาในปี 1970 โคลท์ทำ “คอมแบ็ตคอมมานเดอร์” โดยกลับไปใช้โครงเหล็กตามเสียงเรียกร้องของลูกค้ากลุ่มที่เน้นความทนทานไม่ต้องการปืนเบา
เมื่อกองทัพสหรัฐเปลี่ยนปืนจาก M1911 เป็น M9 (คือเบเร็ตต้า 92FS) ในปี 1985 โดยปืนใหม่ใช้โครงอัลลอย ช่วยให้วัสดุน้ำหนักเบาตัวนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น ลดข้อกังวลด้านความทนทานในการใช้งานจริง ในช่วงเดียวกันนั้น พารา-ออร์ดนานซ์ ออกแบบโครงปืน 1911 ให้รับซองกระสุนสองแถว ได้ปืน .45 ลูกดกระดับ 14 นัด ระยะแรกเป็นอัลลอยเพื่อลดน้ำหนักชดเชยกับจำนวนกระสุนที่มากขึ้น แต่ต่อมาก็ทำโครงเหล็กออกขายด้วยเหตุผลเดียวกับคอมแบ็ตคอมมานเดอร์ คือเมื่อยิงมาก ๆ แบบนักกีฬารณยุทธ์ ยังพบว่าเหล็กทนทานเหนือกว่า
วิวัฒนาการล่าสุด คือการทำโครงปืนโดยใช้วัสดุสองชนิด ส่วนรับงานหนักและมีการเสียดสีของชิ้นส่วนใช้เหล็ก ส่วนรับงานเบาใช้โพลิเมอร์ ผู้บุกเบิกคือ เอสทีไอ แยกส่วนรางปืนที่รับลำเลื่อนกับชุดลั่นไกออกจากกับส่วนด้ามที่รับซองกระสุนกับเรือนสปริงนกสับ ได้โครงปืนที่ทั้งทนทั้งเบา และถอดเปลี่ยนเฉพาะส่วนด้ามได้สะดวก กับอีกแนวทางหนึ่ง คือทำโครงเหล็กรับชิ้นส่วนทำงานซ่อนไว้ภายใน ฉีดโพลิเมอร์หุ้มภายนอก เป็นโครงปืนชิ้นเดียว ทนทานเหมือนโครงเหล็กแต่น้ำหนักรวมเบากว่าโครงอัลลอยเหมือนปืน “กล็อก” ยอดนิยม และสำหรับปืนในระบบ 1911 มี BUL เป็นรายแรกที่ใช้วิธีนี้
BUL Transmark เป็นบริษัทเอกชนของอิสราเอล เริ่มผลิตปืนในปี 1992 คือ BUL M-5 ตามแบบ 1911 มีจุดเด่นคือโครงโพลิเมอร์หุ้มเหล็ก น้ำหนักเบาใช้ซองกระสุนสองแถวลูกดก มีรุ่นพื้นฐานสามรุ่น แบ่งตามความยาวลำกล้อง คือ 5 นิ้ว Government, 4.2 นิ้ว Commander และสั้นสุด 3.2 นิ้ว Ultra-X ปืนนายแบบของสัปดาห์นี้ คือ BUL M-5 Commander พร้อมกับขายเฉพาะโครงปืนให้ คิมเบอร์ ทำรุ่น Ten II ของขายพร้อมกันไปด้วย
ปืนนายแบบสัปดาห์นี้ คือ BUL M-5 Commander ลำกล้องสั้นกว่ารุ่นกัฟเวิร์นเม้นท์ แต่ด้ามยาวเต็มสภาพ จุกระสุน .45 ได้ 13 นัด ระบบการทำงานเป็น 1911 ยอดนิยม ติดศูนย์ปรับได้แบบยิงเป้าใช้ลำกล้องปลายหนา ไม่ใช้บูชเจาะพอร์ท V-Jet ลดแรงรีคอยล์ มีแกนสปริงลำเลื่อนยาวตลอด ลักษณะใช้งานเหมาะเป็นปืนพกซองนอก ได้เปรียบที่จุกระสุนมาก ลำกล้องสั้นคล่องตัว ดูแลง่ายด้วยวัสดุสเตนเลสและด้ามโพลิเมอร์.
https://d.dailynews.co.th/article/390631/
.................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 1093 โพลิเมอร์ .45 ลูกดก BUL M-5 Commander
ปืนพก 1911 ที่ จอห์น เบรานิง ออกแบบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 ใช้วัสดุเป็นเหล็กกล้าทั้งกระบอก แต่ละชิ้นส่วนทำการอบชุบให้แข็งหรือเหนียวแตกต่างกันตามหน้าที่การทำงาน มีเพียงประกับด้ามที่ของเดิมเป็นไม้ ต่อมาเปลี่ยนเป็นพลาสติกแข็ง
ในปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลสหรัฐเปิดโครงการจัดหาปืนพกใหม่ใช้กระสุน 9 มม. พาราฯ กำหนดน้ำหนักตัวไม่เกิน 25 ออนซ์ (710 กรัม) ยาวตลอดไม่เกิน 7 นิ้ว สำหรับนายทหารใช้แทนปืน 1911 (หนัก 40 ออนซ์ ยาว 8.25 นิ้ว) โคลท์เสนอขายปืนที่ปรับแบบจาก 1911 เพียงเล็กน้อย คือใช้วัสดุอะลูมินั่มอัลลอยทำโครงปืน พร้อมกับลำกล้องสั้นลงจากห้านิ้วเหลือ 4.25 นิ้ว ได้ปืนที่ต่อมาใช้ชื่อ “คอมมานเดอร์” (Commander) ซึ่งโคลท์ผลิตออกขายตลาดเอกชนในปี 1950 โดยในปีแรกมีขนาดกระสุน .45 ACP และ .38 ซูเปอร์ให้เลือกได้ด้วย ปืนคอมมานเดอร์ถือได้ว่าเป็นปืนพกโครงอัลลอยกระบอกแรกที่ผลิตขายจำนวนมาก ต่อมาในปี 1970 โคลท์ทำ “คอมแบ็ตคอมมานเดอร์” โดยกลับไปใช้โครงเหล็กตามเสียงเรียกร้องของลูกค้ากลุ่มที่เน้นความทนทานไม่ต้องการปืนเบา
เมื่อกองทัพสหรัฐเปลี่ยนปืนจาก M1911 เป็น M9 (คือเบเร็ตต้า 92FS) ในปี 1985 โดยปืนใหม่ใช้โครงอัลลอย ช่วยให้วัสดุน้ำหนักเบาตัวนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น ลดข้อกังวลด้านความทนทานในการใช้งานจริง ในช่วงเดียวกันนั้น พารา-ออร์ดนานซ์ ออกแบบโครงปืน 1911 ให้รับซองกระสุนสองแถว ได้ปืน .45 ลูกดกระดับ 14 นัด ระยะแรกเป็นอัลลอยเพื่อลดน้ำหนักชดเชยกับจำนวนกระสุนที่มากขึ้น แต่ต่อมาก็ทำโครงเหล็กออกขายด้วยเหตุผลเดียวกับคอมแบ็ตคอมมานเดอร์ คือเมื่อยิงมาก ๆ แบบนักกีฬารณยุทธ์ ยังพบว่าเหล็กทนทานเหนือกว่า
วิวัฒนาการล่าสุด คือการทำโครงปืนโดยใช้วัสดุสองชนิด ส่วนรับงานหนักและมีการเสียดสีของชิ้นส่วนใช้เหล็ก ส่วนรับงานเบาใช้โพลิเมอร์ ผู้บุกเบิกคือ เอสทีไอ แยกส่วนรางปืนที่รับลำเลื่อนกับชุดลั่นไกออกจากกับส่วนด้ามที่รับซองกระสุนกับเรือนสปริงนกสับ ได้โครงปืนที่ทั้งทนทั้งเบา และถอดเปลี่ยนเฉพาะส่วนด้ามได้สะดวก กับอีกแนวทางหนึ่ง คือทำโครงเหล็กรับชิ้นส่วนทำงานซ่อนไว้ภายใน ฉีดโพลิเมอร์หุ้มภายนอก เป็นโครงปืนชิ้นเดียว ทนทานเหมือนโครงเหล็กแต่น้ำหนักรวมเบากว่าโครงอัลลอยเหมือนปืน “กล็อก” ยอดนิยม และสำหรับปืนในระบบ 1911 มี BUL เป็นรายแรกที่ใช้วิธีนี้
BUL Transmark เป็นบริษัทเอกชนของอิสราเอล เริ่มผลิตปืนในปี 1992 คือ BUL M-5 ตามแบบ 1911 มีจุดเด่นคือโครงโพลิเมอร์หุ้มเหล็ก น้ำหนักเบาใช้ซองกระสุนสองแถวลูกดก มีรุ่นพื้นฐานสามรุ่น แบ่งตามความยาวลำกล้อง คือ 5 นิ้ว Government, 4.2 นิ้ว Commander และสั้นสุด 3.2 นิ้ว Ultra-X ปืนนายแบบของสัปดาห์นี้ คือ BUL M-5 Commander พร้อมกับขายเฉพาะโครงปืนให้ คิมเบอร์ ทำรุ่น Ten II ของขายพร้อมกันไปด้วย
ปืนนายแบบสัปดาห์นี้ คือ BUL M-5 Commander ลำกล้องสั้นกว่ารุ่นกัฟเวิร์นเม้นท์ แต่ด้ามยาวเต็มสภาพ จุกระสุน .45 ได้ 13 นัด ระบบการทำงานเป็น 1911 ยอดนิยม ติดศูนย์ปรับได้แบบยิงเป้าใช้ลำกล้องปลายหนา ไม่ใช้บูชเจาะพอร์ท V-Jet ลดแรงรีคอยล์ มีแกนสปริงลำเลื่อนยาวตลอด ลักษณะใช้งานเหมาะเป็นปืนพกซองนอก ได้เปรียบที่จุกระสุนมาก ลำกล้องสั้นคล่องตัว ดูแลง่ายด้วยวัสดุสเตนเลสและด้ามโพลิเมอร์.
https://d.dailynews.co.th/article/390631/
.................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช