สำหรับปืนนายแบบสัปดาห์นี้เป็น โมเดล 19-3 รุ่นนกใหญ่ ไกใหญ่ ด้ามไม้หุ้มรอบแบบยิงเป้าต่อสู้ เป็นรุ่นที่มีสลักขวางยึดลำกล้องกับโครง, เข็มติดนก และท้ายโม่ทำของหุ้มจานท้ายสมิธ แอนด์ เวสสัน (Smith & Wesson) ผู้ผลิตอาวุธปืนเก่าแก่ของสหรัฐ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1852 แม้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดปืนลูกโม่ แต่ผลงานออกแบบพัฒนาปืนระบบนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปืนลูกโม่ยี่ห้อสมิธฯ กลายเป็น “เบนช์มาร์ค” (benchmark) คือตัวเปรียบเทียบระดับสูงสุดในตลาด
ผลงานที่ สมิธฯ ภูมิใจที่สุด จนตั้งชื่อว่าเป็น “มาสเตอร์พีซ” (Masterpiece งานชิ้นเอก) คือปืนในชุดยิงเป้าที่พัฒนาจากปืน .38 จุ 6 นัด โครงกลาง (K-frame) ซึ่งเป็นปืนยอดนิยมของตำรวจทหารในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ก่อนที่ปืนกึ่งอัตโนมัติจะแซงหน้าไปประมาณทศวรรษ 1970 สิ่งที่สมิธฯ แต่งเสริมให้ปืนใช้งานกลายเป็นปืนยิงเป้าชั้นดี คือเปลี่ยนใส่ลำกล้อง 6 นิ้ว ติดศูนย์หลังปรับได้ และศูนย์หน้าแบบแท่งเหลี่ยมตัดฉาก แต่งไกให้เหนี่ยวแบบดับเบิลไม่ง้างนกได้เรียบลื่น และเมื่อง้างนกยิงแบบซิงเกิลจะหลุดคมแทบไม่รู้สึกว่าไกขยับ มีขนาดกระสุนให้เลือกได้คือ .38 Special, .32 S&W และ .22 LR ทั้งชุดเรียกโดยรวมว่า ทาร์เก็ต มาสเตอร์พีซ (Target Masterpiece) และถ้าจะบ่งให้ชัดลงไปก็เพิ่มขนาดโครงและกระสุนนำหน้า เช่น คือ K-38 ทาร์เก็ต มาสเตอร์พีซ เป็นต้น
ปืนยิงเป้าชุดนี้เริ่มออกขายช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สร้างกระแสความต้องการปืนใช้งานลำกล้อง 4 นิ้วที่ติดตั้งศูนย์และไกระดับยิงเป้า สมิธฯ จึงผลิต K-38 และ K-22 คอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ ออกขายในปี 1949 ตัวลูกกรด K-22 ขายได้ไม่มากนัก แต่ K-38 ลำกล้องสี่นิ้วขายดีเป็นปืนยอดนิยมของทั้งตำรวจและเอกชน เมื่อเอ่ยถึง “คอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ” จะเป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงลูกโม่ .38 ลำกล้องสี่นิ้วตัวนี้
ต่อมาเมื่อสมิธฯ ออกแบบกระสุน .357 แม็กนั่ม ที่หัวกระสุนและปลอกโตเท่า .38 สเปเชียล เพียงแต่ยืดความยาวออกไปให้จุดินขับมากขึ้น ให้พลังงานมากขึ้น ใช้กับปืนโครงใหญ่ (N-Frame) ก็มีนายตำรวจมือปืนชั้นแนวหน้า คือ บิล จอร์แดน (Bill Jordan) ให้ความเห็นว่าตัวปืนใหญ่และหนักไปหน่อย ถ้าคอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ สามารถใช้กระสุน .357 นี้ได้ก็จะเป็น “ปืนในฝัน” ของตำรวจเลยทีเดียว ซึ่งสมิธฯ ก็ตอบสนองด้วยเทคโนโลยีโลหการ ให้ปืนโครงกลางรับแรงกระสุน .357 ได้ คว้านรังเพลิงยาว เพิ่มฝักหุ้มก้านคัดปลอก ผลิตออกขายในปี 1955 ใช้ชื่อว่า Combat Masterpiece Magnum แต่มักเรียกกันว่า “คอมแบ็ต แม็กนั่ม” พร้อมทั้งมอบปืนกระบอกแรกเป็นของขวัญให้ บิล จอร์แดน คนต้นคิด
ในปี 1957 สมิธฯ เริ่มใช้เลขรหัสแทนชื่อรุ่น ปืนในชุดมาสเตอร์พีซ ได้รหัสไล่เรียงกันคือ โมเดล 14 = K-38, โมเดล 15 = คอมแบ็ตมาสเตอร์พีซ, โมเดล 16 = K-32, โมเดล 17 = K-22, โมเดล 18 = K-22 คอมแบ็ต, และตัวสุดท้าย โมเดล 19 = คอมแบ็ต แม็กนั่ม
สำหรับปืนนายแบบสัปดาห์นี้เป็น โมเดล 19-3 รุ่นนกใหญ่ ไกใหญ่ ด้ามไม้หุ้มรอบแบบยิงเป้าต่อสู้ เป็นรุ่นที่มีสลักขวางยึดลำกล้องกับโครง, เข็มติดนก และท้ายโม่ทำของหุ้มจานท้าย ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังเป็นเหล็กทึบ ผลิตในปี 1967 เป็นรุ่นที่เสาะหากันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกใหญ่และเข็มติดนก ช่วยสามารถลดสปริงนกสับให้ไกซิงเกิลเบามากได้ อาศัยน้ำหนักตัวนกชดเชยในการจุดชนวน ถ้านกเบาต้องใช้สปริงที่แข็งขึ้นตามส่วน.
https://d.dailynews.co.th/article/398902/
......................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 1084 คอมแบ็ต แม็กนั่ม สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 19
ผลงานที่ สมิธฯ ภูมิใจที่สุด จนตั้งชื่อว่าเป็น “มาสเตอร์พีซ” (Masterpiece งานชิ้นเอก) คือปืนในชุดยิงเป้าที่พัฒนาจากปืน .38 จุ 6 นัด โครงกลาง (K-frame) ซึ่งเป็นปืนยอดนิยมของตำรวจทหารในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ก่อนที่ปืนกึ่งอัตโนมัติจะแซงหน้าไปประมาณทศวรรษ 1970 สิ่งที่สมิธฯ แต่งเสริมให้ปืนใช้งานกลายเป็นปืนยิงเป้าชั้นดี คือเปลี่ยนใส่ลำกล้อง 6 นิ้ว ติดศูนย์หลังปรับได้ และศูนย์หน้าแบบแท่งเหลี่ยมตัดฉาก แต่งไกให้เหนี่ยวแบบดับเบิลไม่ง้างนกได้เรียบลื่น และเมื่อง้างนกยิงแบบซิงเกิลจะหลุดคมแทบไม่รู้สึกว่าไกขยับ มีขนาดกระสุนให้เลือกได้คือ .38 Special, .32 S&W และ .22 LR ทั้งชุดเรียกโดยรวมว่า ทาร์เก็ต มาสเตอร์พีซ (Target Masterpiece) และถ้าจะบ่งให้ชัดลงไปก็เพิ่มขนาดโครงและกระสุนนำหน้า เช่น คือ K-38 ทาร์เก็ต มาสเตอร์พีซ เป็นต้น
ปืนยิงเป้าชุดนี้เริ่มออกขายช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สร้างกระแสความต้องการปืนใช้งานลำกล้อง 4 นิ้วที่ติดตั้งศูนย์และไกระดับยิงเป้า สมิธฯ จึงผลิต K-38 และ K-22 คอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ ออกขายในปี 1949 ตัวลูกกรด K-22 ขายได้ไม่มากนัก แต่ K-38 ลำกล้องสี่นิ้วขายดีเป็นปืนยอดนิยมของทั้งตำรวจและเอกชน เมื่อเอ่ยถึง “คอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ” จะเป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงลูกโม่ .38 ลำกล้องสี่นิ้วตัวนี้
ต่อมาเมื่อสมิธฯ ออกแบบกระสุน .357 แม็กนั่ม ที่หัวกระสุนและปลอกโตเท่า .38 สเปเชียล เพียงแต่ยืดความยาวออกไปให้จุดินขับมากขึ้น ให้พลังงานมากขึ้น ใช้กับปืนโครงใหญ่ (N-Frame) ก็มีนายตำรวจมือปืนชั้นแนวหน้า คือ บิล จอร์แดน (Bill Jordan) ให้ความเห็นว่าตัวปืนใหญ่และหนักไปหน่อย ถ้าคอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ สามารถใช้กระสุน .357 นี้ได้ก็จะเป็น “ปืนในฝัน” ของตำรวจเลยทีเดียว ซึ่งสมิธฯ ก็ตอบสนองด้วยเทคโนโลยีโลหการ ให้ปืนโครงกลางรับแรงกระสุน .357 ได้ คว้านรังเพลิงยาว เพิ่มฝักหุ้มก้านคัดปลอก ผลิตออกขายในปี 1955 ใช้ชื่อว่า Combat Masterpiece Magnum แต่มักเรียกกันว่า “คอมแบ็ต แม็กนั่ม” พร้อมทั้งมอบปืนกระบอกแรกเป็นของขวัญให้ บิล จอร์แดน คนต้นคิด
ในปี 1957 สมิธฯ เริ่มใช้เลขรหัสแทนชื่อรุ่น ปืนในชุดมาสเตอร์พีซ ได้รหัสไล่เรียงกันคือ โมเดล 14 = K-38, โมเดล 15 = คอมแบ็ตมาสเตอร์พีซ, โมเดล 16 = K-32, โมเดล 17 = K-22, โมเดล 18 = K-22 คอมแบ็ต, และตัวสุดท้าย โมเดล 19 = คอมแบ็ต แม็กนั่ม
สำหรับปืนนายแบบสัปดาห์นี้เป็น โมเดล 19-3 รุ่นนกใหญ่ ไกใหญ่ ด้ามไม้หุ้มรอบแบบยิงเป้าต่อสู้ เป็นรุ่นที่มีสลักขวางยึดลำกล้องกับโครง, เข็มติดนก และท้ายโม่ทำของหุ้มจานท้าย ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังเป็นเหล็กทึบ ผลิตในปี 1967 เป็นรุ่นที่เสาะหากันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกใหญ่และเข็มติดนก ช่วยสามารถลดสปริงนกสับให้ไกซิงเกิลเบามากได้ อาศัยน้ำหนักตัวนกชดเชยในการจุดชนวน ถ้านกเบาต้องใช้สปริงที่แข็งขึ้นตามส่วน.
https://d.dailynews.co.th/article/398902/
......................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช