สารานุกรมปืนตอนที่ 784 ลูกกรดมาสเตอร์พีซ Smith & Wesson Model 17

โดยรวม โมเดล 17 มาสเตอร์พีซ กระบอกนี้ จัดเป็นปืน “ย้อนยุค” ที่สวยคลาสสิก และใช้งานได้จริง ด้วยความแม่นยำระดับปืนยิงเป้า ใช้กระสุนราคาประหยัด รีคอยล์ต่ำ ใช้งานง่าย



ในปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 คือ ค.ศ.1899 สมิธแอนด์เวสสัน เริ่มผลิต ปืนลูกโม่รุ่นใหม่ ใช้ชื่อว่า Hand Ejector Military & Police Model ที่เรียกชื่อนี้เพราะการเปิดโม่ออกข้างแล้วกดก้านคัดปลอกด้วยมือยังเป็นของใหม่สำหรับสมิธฯ คือจดสิทธิบัตรในปี 1895 และทำรุ่นแรกในขนาด .32 แทนระบบ “หักคอ” ที่ยกปลอกอัตโนมัติ มาถึงรุ่นที่สองนี้ สมิธฯ ตั้งใจทำให้เป็นปืนทหารตำรวจ จึงใช้ชื่อที่ต่อมาย่อเป็น M&P ออกขายพร้อมกระสุนแรงสูง .38 Special ที่เพิ่งออกแบบใหม่ ในปีนั้น ปืนส่งท้ายศตวรรษกระบอกนี้ เป็นจุดกำเนิดของลูกโม่โครงขนาดกลาง “K-frame” ที่จะกลายเป็นปืนลูกโม่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์



จากปืนทหาร/ตำรวจ ที่ใช้ร่องบากท้ายโครงปืนเป็นศูนย์หลังเน้นความแข็งแรง สมิธฯ ติดศูนย์ปรับได้ให้ปืน M&P ตั้งชื่อรุ่นว่า Outdoorsman เพิ่มขนาดกระสุน .32 และ .22 LR ให้เลือกได้ ทั้งสามขนาดได้รับการยกย่องว่าเป็นปืนยิงเป้าชั้นเยี่ยมของยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แม้จะ เปิดตัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำและราคาค่อนข้างแพง ก็ยังขายได้ดี เฉพาะขนาด .22 มียอดผลิตกว่า 17,000 กระบอก ก่อนที่ สมิธฯ จะหยุดทำปืนขายชั่วคราวระหว่างรับงานรัฐบาลผลิตปืนทหารสำหรับสงครามโลก



หลังสงคราม สมิธฯยกระดับลูกโม่ยิงเป้าโครง K ทั้งสาม ขนาด ผลิตใหม่ในชื่อ Target Masterpiece เรียกขานกันด้วยรหัสโครงปืนและขนาดกระสุน คือ K-38, K-32 และ K-22 ตามลำดับ ออกขายในปี 1947 ลักษณะเป็นปืนยิงเป้าเต็มตัว ลำกล้องหกนิ้ว ติดศูนย์หน้าตัดฉาก ศูนย์หลังปรับได้, รุ่น K-38 ที่ใช้กระสุน .38 Special ขายดีที่สุด ตามด้วย K-22 สมิธฯจึงเพิ่มรุ่นลำกล้องสี่นิ้ว ศูนย์หน้าลาดแบบต่อ สู้ เปลี่ยนชื่อเป็น Combat Masterpiece รวมแล้วมีปืนในชุด “มาสเตอร์พีซ” ห้ารุ่น ซึ่งต่อมาในปี 1957 ได้ชื่อรหัสตัวเลขเป็น โมเดล 14, 15, 16, 17, 18 ไล่เรียงกัน รุ่นคอมแบ็ตคือ 15 กับ 18
จากระดับความนิยมที่แตกต่างกัน สมิธฯ ยกเลิกการผลิต โมเดล 16 (.32, ลำกล้องหกนิ้ว) กับ โมเดล 18 (.22 ลำกล้องสี่นิ้ว) เหลือโมเดล 14, 15, 17 ที่ทำต่อเนื่องยาวนาน ผ่านช่วงที่ สมิธฯ เน้นวัสดุสเตนเลส ลดปืนรมดำ จนถึงยุคของปืนกึ่งอัตโนมัติ “เก้าลูกดก” ที่ผลิตง่ายกว่า ทำกำไรต่อหน่วยได้มากกว่าปืนลูกโม่ ในที่สุด สมิธฯ หยุดผลิตโมเดล 14, 17 ในปี 1998 และโมเดล 15 ในปีถัดมา รูปการณ์เหมือนจะปิดฉากปืนลูกโม่ K-Frame เมื่ออายุครบ 100 ปีพอดี

ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนเหมือนแต่ก่อน สมิธฯ สร้างแบรนด์ย่อย “Classic Series” นำปืนลูกโม่ยอดนิยมในอดีตมาผลิตใหม่อีกครั้ง ปืน K-22 กลับมาเกิดใหม่ในปี 2009 ใช้ชื่อว่า Model 17 Masterpiece จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า สมิธฯ พยายามรักษารูปแบบตัวปืนดั้งเดิมให้มากที่สุด ใช้เหล็กรมดำเงางามมาก, ลำกล้อง 6 นิ้ว หลังถนน ไม่มีฝักหุ้มก้านคัดปลอกให้หนักเกินจำเป็น, ติดศูนย์ยิงเป้าตัดฉาก, โม่หกนัด คว้านช่องแบบเก็บจานท้ายกระสุน, นกใหญ่, ปุ่มปลดโม่แบบดั้งเดิม, ด้ามไม้มาตรฐาน, มีที่แตกต่างจากของเดิมคือ ลำกล้องแบบสองชั้น, หน้าไกเรียบไม่เซาะร่อง และเพิ่มกุญแจล็อก ซึ่งเป็นข้อกำหนดของบางรัฐ
โดยรวม โมเดล 17 มาสเตอร์พีซ กระบอกนี้ จัดเป็นปืน “ย้อนยุค” ที่สวยคลาสสิก และใช้งานได้จริง ด้วยความแม่นยำระดับปืนยิงเป้า ใช้กระสุนราคาประหยัด รีคอยล์ต่ำ ใช้งานง่ายตามแบบฉบับปืนลูกโม่ เหมาะสำหรับฝึกซ้อมยิงเป้า และใช้เฝ้าบ้านได้เมื่อจำเป็น.

https://www.dailynews.co.th/article/681215/
.................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช




สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  อาวุธยุทโธปกรณ์ ประวัติศาสตร์ อาวุธปืน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่