JJNY : 4in1 หญิงวัย55 รมควันดับ│ชัชชาติแกะปัญหากทม.│"ม็อบจะนะ"ยื่นคำขาดไม่กลับบ้าน│โรงแรม-จ้างงานดีขึ้น แต่ต่ำกว่าที่คาด

สลด! หญิงวัย 55 จุดเตาอั้งโล่ รมควันดับคาห้องเช่า คาดเครียดปัญหาส่วนตัว
https://ch3plus.com/news/category/269018
 
 
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 7 ธันวาคม 2564 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า มีผู้เสียชีวิตภายในห้องนอน และมีเตาอั้งโล่ มอดหมดแล้ว ที่เกิดเหตุห้องพัก เลขที่ 31 ร้อยตำรวจเอก ชัยยุทธ อินแสง ร้อยเวร สภ.เมืองนครปฐม ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมแพทย์โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม
 
จากการตรวจสอบภายในห้องพัก ไม่มีการรื้อของ ต่อมา ผู้เช่าห้องพักใกล้เคียงบอกว่า เมื่อตอน 15.00 น. เห็นมีกลุ่มควันลอยออกมาจากห้องพัก แต่ก็ไม่ได้สังหรณ์ใจว่า คนภายในห้องพักจะรมควัน ฆ่าตัวตาย จนถึงเวลา 16.30 น. ไม่เห็นเจ้าของห้องพักออกมาจึงได้เคาะประตู แต่ก็ไม่ตอบรับ จึงเรียกเจ้าของหอมาช่วยกันงัดประตูเข้าไปดูก็เห็นนอนเสียชีวิตภายในห้องพัก และตรงข้างประตู มีเตาอั้งโล่ ตั้งอยู่ 1 ใบ ภายในเตาถ่านมอดจนหมดแล้ว สันนิษฐานว่า หญิงคนดังกล่าวน่าจะรมควันตั้งแต่เวลา 15.00 น. 
 
แพทย์โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม จึงได้ให้มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นำผู้เสียชีวิตไปยังโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อทำการผ่าพิสูจน์การเสียชีวิตในครั้งนี้ ผู้เสียชีวิต  ทราบชื่อต่อมา คือ นางสมจิตร อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ 5 ตำบลห้วยเกตุ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ซึ่งมาอยู่ที่บ้านเช่าดังกล่าว ประมาณ 10 ปี  และในขณะนี้ไม่ได้ค้าขายและทำอะไร คาดว่าผู้ตายเกดความเครียดจึงตัดสินใจรมควันตนเอง
 


ชัชชาติ แกะปัญหา กทม.ชี้ให้ความสำคัญโครงการเส้นเลือดใหญ่ไม่พอ ต้องดูแลเส้นเลือดฝอย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3078506

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กแสดงความเห็นนโยบายเกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร โดย ระบุว่า
 
เราจะเริ่มทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ได้อย่างไร โครงสร้างของเมือง มีลักษณะที่คล้ายกับระบบเส้นเลือดของร่างกายคนคือ มีทั้งเส้นเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอย ประกอบกัน ร่างกายจะมีสุขภาพที่ดี ทั้งเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอย ต้องมีความแข็งแรงทั้งคู่ หัวใจจึงจะสูบฉีดให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึงทุกๆ ส่วน
 
ปัญหาของความไม่น่าอยู่ของ กทม. ส่วนหนึ่งมาจากการที่เราให้ความสำคัญกับระบบเส้นเลือดใหญ่ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ การก่อสร้าง Megaproject ต่างๆ แต่หลายๆ ครั้ง เราละเลยระบบเส้นเลือดฝอย ที่อาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่ อลังการ หรือใช้งบประมาณไม่มาก แต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน
การระบายน้ำ เรามีอุโมงค์ยักษ์ราคาหลายหมื่นล้าน ขณะที่ท่อระบายน้ำหน้าบ้านเรายังอุดตัน เครื่องสูบน้ำไม่ทำงาน น้ำไปไม่ถึงอุโมงค์
การเก็บขยะ เรามีโรงเผาขยะที่ลงทุนเป็นหมื่นล้านที่หนองแขม อ่อนนุช แต่ถังขยะในชุมชนหลายๆที่ยังมีไม่พอ ไม่มีระบบการแยกขยะจากต้นทางอย่างจริงจัง
สวนสาธารณะ เรามีสวนสาธารณะหลักขนาดใหญ่ระดับโลกแบบสวนลุมพินี ที่มีสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่อุปกรณ์ครบครัน ในขณะที่พื้นที่สีเขียว ลานกีฬาและสนามเด็กเล่นเล็กๆใต้สะพานของชุมชน ใกล้บ้าน อยู่ในสภาพทรุดโทรม ไม่ได้รับการดูแล
 
การศึกษา เรามีมหาวิทยาลัยที่ประชาสัมพันธ์ว่าติดอันดับโลกหลายแห่ง แต่เราขาด โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ดูแลเด็กอ่อนที่มีคุณภาพ ที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน
การเดินทาง เราจะมีรถไฟฟ้าระดับโลก ความยาวเกือบ 500 กม. 300 สถานี มีจำนวนสี พอๆ กับสีรุ้ง แต่ทางเดินเท้ายังเดินไม่ได้ ไม่มีแสงไฟ เราต้องรอรถตู้ รถเมล์ สองแถว มอเตอร์ไซค์วิน เพื่อพาเรากลับถึงบ้าน
 
การสาธารณสุข เรามีโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ (Tertiary Care Hospital) และ ระดับทุติยภูมิ (Secondary Care hospital) ระดับมาตรฐานโลก แต่การบริการสาธารณสุขในระดับปฐมภูมิ (Primary care) ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข และ ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน ยังขาดแคลนอุปกรณ์ บุคลากร อีกมาก
ระบบเส้นเลือดฝอยที่มีปัญหา สุดท้ายแล้วจะส่งผลกระทบต่อการทำงานและประสิทธิภาพของเส้นเลือดใหญ่ เด็กนักเรียนแข่งกันเข้าโรงเรียนดังๆแทนที่จะเรียนโรงเรียนดีใกล้บ้าน คนไข้แออัดที่โรงพยาบาลศูนย์แทนที่จะคัดกรองก่อนที่ศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน น้ำรอการระบายที่ไปไม่ถึงอุโมงค์ยักษ์ ทางเดินเท้าที่เดินยากลำบากและไม่ปลอดภัยกว่าจะไปถึงป้ายรถเมล์ หรือรถไฟฟ้า
 
การแก้ไขปัญหา “เส้นเลือดฝอย” อาจจะฟังดูไม่น่าตื่นเต้น เร้าใจเหมือนกับการก่อสร้างโครงการใหญ่ๆ อย่างอุโมงค์ยักษ์ รถไฟฟ้า โรงเผาขยะ แต่คือเรื่องสำคัญที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดีขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดของการแก้ปัญหา “เส้นเลือดฝอย” คือ ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ และความตั้งใจจริง
 
กรุงเทพฯจะเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนได้ ต้องมีพัฒนาทั้งระบบเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอยไปพร้อมๆ กันครับ
 
https://www.facebook.com/chadchartofficial/posts/4788672381193576
 


"ม็อบจะนะ" ยื่นคำขาดไม่กลับบ้าน ย้ายไปปักหลักหน้ายูเอ็น
https://www.nationtv.tv/news/378855980

ยกเป็นปัญหาระดับโลก "ม็อบจะนะ" ยื่นคำขาดไม่กลับบ้าน ปรับแผนย้ายไปปักหลักหน้ายูเอ็น เพื่อรอแนวร่วมมาสมทบ ก่อนบุกทำเนียบอีกครั้ง 13 ธ.ค. เพื่อทวงคำตอบ

ความคืบหน้ากรณี เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ปักหลักชุมนุมประท้วงอยู่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงสัญญา SEA ประเมินผลกระทบระดับยุทธศาสตร์ ภาคประชาชน จากรัฐบาลในโครงการนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าจะนะ จ.สงขลา ซึ่งเมื่อช่วงกลางดึกวันที่  6 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถูกเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวในวันถัดมา 
 
     ล่าสุดวันนี้ (8 ธ.ค.) ที่บริเวณประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น กว่า 30 คน ได้มีการแถลงการณ์ฉบับที่ 2 “เราจะไม่กลับบ้าน และจะอยู่รอจนกว่าจะได้รับคำตอบจากรัฐบาล” โดย น.ส.มัยมูเนาะ บุตรดี ตัวแทนกลุ่มฯ อ่านแถลงว่า การที่รัฐบาลสั่งเจ้าหน้าที่สลายการรวมตัวของเราเมื่อค่ำวันที่ 6 ธ.ค. และแจ้งความดำเนินคดี โดยไม่สนใจรับฟังปัญหาของเรา ได้พิสูจน์แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่เคยให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชน ทางเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นจึงขอประกาศว่า ตราบใดที่ข้อเรียกร้องทั้งหมดยังไม่ถูกตอบรับ เราก็จะไม่กลับบ้าน จะยืนหยัดต่อไปจนกว่า จะได้ตามข้อตกลงที่รัฐบาลทำกับเราไว้ทุกข้อ 
 
โดยระหว่างนี้เราจะปักหลักอยู่หน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ด้วยเหตุผล 3 ประการคือ
  
1. เราไม่ต้องการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เป็นข้ออ้าง จับกุมและคุมขังพวกเราอีก
 
2. เราต้องการใช้พื้นที่หน้ายูเอ็น สื่อสารให้สังคม ทั้งภายในและภายนอกประเทศรับรู้ปัญหา
 
3. เพื่อเฝ้ารอแนวร่วมภาคใต้และภูมิภาคอื่นมาสมทบ
 
 น.ส.มัยมูเนาะ กล่าวต่อว่า เราแค่มาเพื่อทวงสัญญาจากรัฐบาล ไม่มีเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย จึงขอย้ำข้อเสนออีกครั้งคือ 
1. รัฐบาลต้องตรวจสอบการดำเนินการงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถึงความไม่ปกติของโครงการทั้งหมดในทุกมิติ 
2. จัดให้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเชิงยุทธศาสตร์แบบมีส่วนร่วม อันเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะเดินหน้าหรือยุติโครงการต่อไป 
3. ต้องหยุดดำเนินการทุกอย่างจนกว่าจะดำเนินการในข้อ 1 และข้อ 2 แล้วเสร็จ 
4. ยุติการดำเนินคดีกับพวกเรา ทั้ง 37 คน โดยจะเดินทางมาทวงสัญญาอย่างเป็นทางการอีกครั้งบริเวณทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 13 ธ.ค. พร้อมกับเครือข่ายภาคีต่างๆ ที่จะมาสมทบกับพวกเราในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ 
 
     ทั้งนี้หลังจากการอ่านแถลงการณ์เสร็จสิ้น ทางเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ได้เคลื่อนตัวไปปักหลักชุมนุมหน้ายูเอ็น โดยมีการเตรียมอุปกรณ์ เช่น น้ำ อาหารและหม้อหุงข้าว เป็นต้น เพื่อใช้ในการปักหลักระหว่างรอคำตอบรับจากรัฐบาล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่