ฝันหวาน (Sweet Dream) 80

กระทู้สนทนา

.


          “เย้อี่หล่าน้อยมาแล้ว… มาจุ๊บก่อนเลยค่ะ”

           “โน! ไม่! วันนี้เค้าไม่จุ๊บ” เธอปฏิเสธทันทีที่คนในห้องเปิดประตูให้ เมธีก็เล่นมุกเดิมที่เคยเล่นเป็นประจำเวลาเธอเลิกงานกลับมาถึงห้อง ผายมือต้อนรับเตรียมพร้อมโอบกอดเต็มที่ ทว่าเธอต้องรีบเบรกห้ามไว้อย่างเร็ว เพราะวันนี้มีอะไรบางอย่างผิดปกติกับเธอนั่นเอง

           “อ้าวทำไมคะ อดเลย! งั้นเข้าห้องมาก่อนเลยค่ะ เปลี่ยนชุดทำงานแล้วออกกำลังกายเลยค่า” เขาพูดปนหัวเราะอึกอักอยู่คนเดียว แต่คนที่หน้าบึ้งยิ้มไม่ออกนั่นคือเธอเอง “เป็นอะไรคะ พี่ออร์ดี้ใช้งานหนักบ่อวันนี้ โอ๋… มาเดี๋ยวเค้าเป่ากระหม่อมให้ก็หายแล้ว”

           “พี่เมธีตัวเองอย่าพึ่งเข้ามาใกล้เค้าได้มั้ยตอนนี้ เดี๋ยวนภาจะเล่าให้ฟัง” เธอนั่งลงบนเตียงนอนทั้งที่ยังไม่วางกระเป๋าทำงาน ไม่ถอดชุดทำงานออกด้วย ตอนนี้มันบอกความรู้สึกไม่ถูกจริง ๆ ว่ารู้สึกแบบไหนกันแหน่ โหวงเหวงไปหมด

           คราวนี้เขาเงียบปรับสีหน้าและแววตาจริงจัง มองมายังเธอที่นั่งอยู่บนเตียงนอน “น้องเป็นอะไรคะ ไหนเล่ามาซิ” เขาถาม ไม่เล่นไม่แหย่ ไม่กวนเธอแล้ว เพราะเธอไม่เล่นด้วย มันตลกไม่ออกหนิ ไม่รู้จะพูดจะรู้สึกอย่างไร เธอเองก็สับสนไปหมด

           “ตรวจเอ็นทีเคให้นภาหน่อยค่ะ” เธอพูดพร้อมเปิดกระเป๋าเอากล่องที่ตรวจโควิด19ยื่นให้สามีรุ่นพ่อ คราวนี้เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน และ เธอก็พยักหน้าให้ตามที่เขาคิดและเข้าใจนั่นแหละ

           “ยังไงคะ!” เขาถามพร้อมจ้องหน้าของเธอ แววตาที่มองมามันมีแต่ความห่วงใย เธอสัมผัสได้ เธออยากร้องไห้แต่ก็ร้องไห้ไม่ออก อยากกอดเอาไว้แน่น ๆ ก็ไม่กล้าอีก คราวนี้น้ำเสียงเข้มขรึมขึ้นมาจากเดิม

           “เดี๋ยวนภาเล่าให้ฟัง ตรวจเอ็นทีเคให้นภาก่อน” เธอยังไม่อยากเล่าอะไรในตอนนี้ เพราะในใจมันว้าวุ่นไปหมด

           “ไปอาบน้ำก่อนดีมั้ยคะ” เขาถาม

           “ไม่! ก็นภาบอกว่าจะตรวจเอ็นทีเคไง จะตรวจตอนนี้ เดี๋ยวนี้” เธอหันหน้าไปจ้องเขา น้ำตาคลอ อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่รู้จะร้องไห้ไปทำไม ไม่โกรธหัวหน้าด้วย ไม่ว่ากัน เพราะตนเองก็เที่ยว โรคภัยมันไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว

           “โอเคค่ะ! โอเคมาพี่ตรวจให้ ทนเจ็บนิดหน่อยนะคะ ส่วนพี่เจ็บจนชินแล้ว แหง่ตลอด ๆ เลย ฮา” เขาพูดปนยิ้มพร้อมเดินมาหยิบกล่องเอ็นทีเคจากเธอ แกะกล่องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม “พร้อมนะคะ!อย่าเอาหมัดจุมดังอ้ายเด้อ เพิ่นเจ็บนั่น” พูดหลอกให้เธอขำ แล้วเธอก็ขำไปกับเขา ขณะนี้เขาก็ยังตลกกับเธอได้อีก ก่อนจะยิ้มแหย ๆ ให้กับสายตาของเธอที่กำลังมองบนเขาอยู่ “เงยหน้าขึ้นนิดนึงค่ะ” เธอพยักหน้าก่อนจะเงยหน้าให้สามีแหย่จมูกให้

           เมธีสอดก้านเอ็นทีเคเข้าไปในโพรงจมูกของเธอ จากนั้นก็ปั่นหมุนห้ารอบ มันเจ็บ ๆ คัน ๆ ลงไปถึงคอเลย น้ำตาของเธอไหลโดยไม่รู้ตัว แหย่โพรงจมูกเสร็จไปหนึ่งข้าง ต่อด้วยอีกข้าง

           หัวใจของเธอตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ทว่าเธอก็มั่นใจมากว่าตนเองไม่ติดโควิด ถึงจะทำงานด้วยกัน เธอก็ป้องกันตนเองตลอดเวลา ไม่ได้สุงสิงกัน ไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน ต่างคนต่างทำงานและต่างอยู่

           “รอสิบถึงยี่สิบนาทีค่ะ น้องไปอาบน้ำรอก่อนไป” เมธีกล่าวกับเธอ และ เธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย ถอดชุดทำงานหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป สักพักเธอก็กลับออกมา นุ่งผ้าเช็ดตัวมัดหน้าอกเดินเข้ามาในห้อง มือก็ใช้ผ้าอีกผืนเช็ดผมให้แห้ง ออกมาจากห้องน้ำเห็นเมธียืนยิ้มพร้อมมองหน้าเธอ

           “กอดได้ยัง! กอดได้แล้วนะคะ ขึ้นขีดเดียวค่ะ มาให้เค้ากอดเลย ฮ่วย… วันนี้เลิกงานเค้ายังไม่ได้กอดตัวเองเลย มาเลย! มาซะดี ๆ ค่ะ” พูดจบเขาก็เดินเข้ามากอดตัวเธอทันที หอมหน้าผากไปหนึ่งที “อดเอาลูกกินข้าวซะก่อนอย่าฟ้าวลุก มันสิบ่อได้กินข้าวแลง ฮา” เขาพูดกลั้วหัวเราะ แค่แกล้งพูดไปอย่างนั้นเองแหละ ทำไมเธอจะไม่รู้

           “ฮือ… จะแมนน้อคนเฮา” ถึงจะรู้ว่าสามีแกล้งพูด แต่ก็อดที่จะค่อนขอดให้ไม่ได้ “อย่าพึ่งดีใจเลย นภาเป็นกลุ่มบีนะคะ ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ รออีกห้าวันเดี๋ยวตรวจอีกรอบ พี่เมธีตัวเองน่ะเป็นกลุ่มดี อยู่ใกล้นภาไง” เธอพูดในอ้อมกอดของเขา ตอนนี้มันอบอุ่นใจที่สุด ใจที่ว้าวุ่นพอได้มาอยู่ในสัมผัสอ้อมกอดของคนที่รักเธอจริง ๆ หวังดีกับเธอจริง ๆ มันก็อบอุ่นที่สุด มันสงบ

           “ค่ะ! จะเป็นยังไงค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ตัวเองใส่เสื้อผ้าแล้วไปนั่งทานข้าวกับเค้าก่อนเนอะ” ก่อนจะปล่อยแขนที่กอดเธอออก เมธีดมแก้มของเธอไปฟอดใหญ่

           “ดมเอาคัก ๆ ดมเอาโควิด” ถึงจะยิ้ม ถึงจะชอบที่เขาทำแบบนี้ ทว่าก็แอบเหวี่ยงให้เบา ๆ เพราะวันนี้มันไม่ใช่เช่นทุกวัน

           “กะซางค่า” เขาพูดอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมสำรับรอเธอ ส่วนตนเองก็แต่งตัวให้เสร็จ จากนั้นก็ตามสามีเข้าไปในครัวเพื่อทานข้าวมื้อเย็น วันนี้เธอไม่มีจิตใจที่จะออกกำลังกายเลยสักนิด

           ภายในห้องครัวเล็ก ๆ ของพวกเธอสองคน พร้อมกับข้าวไม่กี่อย่างที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าว ยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ชอบในความทำกับข้าวรอของสามีทุกวันมาก รู้สึกพิเศษ รู้สึกว่าตนเองนั้นสำคัญ

           เมธีไม่เคยถามเลยว่าเธอจะทานอะไร ทำแต่กับข้าวของตนเอง กระนั้นเธอก็ทานด้วยได้เสมอ น้อยมากที่จะไม่ทาน นอกจากเมธีจะทานของแสลงเธอถึงจะไม่ทานด้วย เช่น อึ่งอ่าง กบ เนื้อดิบเป็นต้น

           “ปีใหม่น้องได้หยุดวันไหนคะหนิ เตรียมใจจักนอยแหน่เด้อ เผื่อพลิกล็อก เผื่อบ่อได้กลับ” เขาพูดระหว่างนั่งทานข้าวมื้อเย็นด้วยกัน ทำเอาเธอหยุดชะงัก กำลังทานข้าวอร่อย ๆ เลยเชียว

           “ฮ่วย! พี่เมธีคือเว้าจังสิ” เธอถาม หน้าบึ้งให้อีก วางช้อนลงบนจานข้าว มองหน้าสามีคราวพ่อจะเอาเรื่องให้ได้เลย ทำไมพูดแบบนี้ “นภาก็อยากกลับบ้าน พี่เมธีเข้าใจมั้ย”

           “เข้าใจค่ะ! พี่ก็อยากกลับเหมือนกัน แต่ถ้ามันไม่ได้กลับน้องจะให้พี่ทำไงอ่ะ” คราวนี้เป็นเขาเองที่จ้องหน้าเธอคืนบ้าง “น้องก็กลับคนเดียวก็ได้ กลับกับญาติไง พี่ไปส่งหาลุงที่สมุทรปราการก็ได้ค่ะ” เขาพูดอย่างคนใจเย็น พร้อมยิ้มให้กับเธอ รอยยิ้มที่มีแต่ความหวังดีและจริงใจ

           “แต่เค้าก็อยากกลับพร้อมตัวเองไงพี่เมธี นภาไม่อยากกลับบ้านคนเดียว นภาขี้เกียจตอบคำถามว่าพี่เมธีไปไหน เพิ่นกะถามหาเด้ล่ะไทยพี่น้อง” เธอพูด หน้างอไม่อยากทานข้าวต่อแล้ว

           “พี่ก็แค่พูดว่าเผื่อใจไว้บ้าง แต่ว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะได้กลับมีเยอะค่ะ ได้กลับแน่นอน” เขาพูดพร้อมยิ้มให้เธอไม่หยุด มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะสำหรับผู้ชายคนนี้ แม้จะกำลังงอนกัน เธอกำลังงอนเขาอยู่ก็ตาม “ทานข้าวต่อเร็ว ๆ กลับแน่นอนค่ะ เค้ากลับพร้อมตัวเองแน่นอน”

           “สัญญาด้วย!” เธอพูดพร้อมสายตาที่จ้องตาของเขาอยู่

           “ไม่สัญญา เอ้ย! บ่อแมน ๆ อ่า… สัญญา ๆ ค่ะ ถ้าเค้าผิดสัญญากับน้องนภานะ เค้าจะซื้อเสื้อผ้าเพื่อเป็นการไถ่โทษให้น้องเลยค่ะ ซื้อรองเท้าให้น้องด้วย อยากได้อะไรเค้าก็จะซื้อให้เลยค่ะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนไป

           “ไม่อยากได้! อยากกลับบ้านกับพี่เมธี” เธอยังหน้าบึ้ง ทำหน้างอใส่เขาไม่เลิก “พอจะถึงวันแล้วก็มาพูดงี้เด้อคนเฮา เพื่อนก็นัดไว้แล้วอ่ะ ไม่กงไม่กินมันแล้วข้าว ซังคน”

           “เอ๋า! อี่หล่าคือซะมางอแงแถะมื้อหนิ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม มีแต่รอยยิ้มที่มอบให้ ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยตะคอก ไม่เคยขึ้นเสียงใส่แม้ในวันที่งอแงแบบนี้ “ไม่ได้กลับปีใหม่พี่ก็พาน้องลากลับบ้านหลังปีใหม่ได้ค่ะ ถ้าน้องอยากกลับวันปีใหม่น้องก็กลับเลย พี่อยู่คนเดียวได้ค่ะ กลับกับลุงก็ได้หนิ เดี๋ยวพี่ไปส่งหาลุงเอง” เขาอธิบาย มองเธอด้วยแววตาจริงจัง คราวนี้เธอสัมผัสได้ถึงการไม่เล่นของเขาอีกต่อไป รับรู้ได้ถึงสายตาคู่นี้ ที่มันดุและจริงจัง

           “แบบนั้นมันก็ได้ไง แต่มันไม่เหมือนกันไง กลับคนเดียวกับกลับไปกับสามี กลับปีใหม่กับลากลับหลังปีใหม่ มันเหมือนกันตรงไหน” เธอเองก็เลิกงอแง พูดด้วยเหตุผล เพราะรับรู้ถึงการไม่เล่นของสามีได้

           เมธีก็ยังยิ้มให้เธอเสมอ ไม่เคยใช้สายตาที่แข็งกร้าวกับเธอ มีแต่แววตาที่อ่อนโยน “ชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่ ของการทำงานก็แบบนี้แหละน้อง ไม่มีอะไรที่แน่นอนและตายตัว พี่เลิกสนใจเรื่องภายนอก สิ่งรอบข้างพวกนี้ไปนานแล้วค่ะ พี่สนใจแค่สิ่งที่จะทำให้ครอบครัวของเราสบาย และ ลูก! เมื่อไหร่ลูกจะมาหนิ ป่ะป้ารอนานแล้วนะคะ”

           จากนั้นเขาก็หัวเราะ เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วมาก และ ครั้งนี้เขากลับมาเล่นกับเธออีกเธอสัมผัสได้ “ลิพูลไง เลี้ยงไปถะแหมะ” เธอหมายถึงลูกติดเมธี

           “ก็เลี้ยงอยู่! ใครจะไม่เลี้ยงลูกจะของน้อ เค้าหมายถึงลูกกับตัวเองอ่ะ ลูกของเค้ากับน้องนภา ฮ่วย! เว้าอยากเด้อ” เขาพูดด้วยใบหน้าและแววตามีความสุข ไม่เคยโกรธ ไม่เคยโมโหใส่เลย

           “มาฮ่วยมาเฮ่ยใส่คนเด้อ! อยากโดนบ่อพี่เมธี ใส่เดี่ยวกับนภาบ่อ สูนแล้วดิ๊”ยกช้อนขู่เบา ๆ เสียเลย แต่ก็ทำด้วยความตลก ไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งนั้น

           “ค่ะ! อยากโดน มาแหมะ ปะฟ้าวกินข้าว แล้วไปใส่เดี่ยวกัน” เขารับมุกเธอไปอีก ทั้งที่เธอไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเลย หัวเราะลั่นห้องครัวไปอีก สายตาและรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันช่างแฝงไปด้วยเลศนัยเหลือเกิน

           “บุ้ยพ่อใหญ่อันหนิ” เธอเองก็อดขำไม่ได้ คิดไปแต่เรื่องเดียวเลย พูดอะไรก็วกวนมาแต่เรื่องเดียวอยู่ได้ ถึงจะแอบเหวี่ยงสามีทว่าก็ยังยิ้มหัวเราะให้กันเหมือนเดิม

           ภายในห้องครัวเล็ก ๆ ที่มีเพียงพวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน จะดีแค่ไหนหากมีใครสักคนมาอยู่ด้วย บนโต๊ะกับข้าวก็มีอาหารเพียงไม่กี่อย่าง ทว่ามันก็เป็นมื้อที่แสนพิเศษของเธอทุกวัน ได้นั่งทานข้าวกับคนของใจ ได้ทานฝีมือของคนที่รัก ได้พูดคุยปรับทุกข์เล่าสุขให้กันฟังทุกวัน อะไรมันจะพิเศษไปกว่านี้แล้ว

           “แล้วเรื่องมันเป็นยังไงคะ พี่ออร์ดี้ติดมาจากใคร อีกห้าวันค่อยตรวจดูอีกรอบค่ะ” เขาถามถึงหัวหน้างานของเธอ เขาเป็นห่วงเธอ ๆ รับรู้และสัมผัสได้

           “ติดมาจากเพื่อนค่ะ นภาไม่ได้อยู่ใกล้พี่เค้าหรอก ไม่ได้นั่งทานข้าวด้วยกันด้วย ไม่ค่อยคุยกันหรอก ทำแต่งาน ว่าง ๆ หน่อยก็ต่างคนต่างอยู่ นภาก็เชื่อว่าตนเองจะรอดค่ะ” เธอพูด ใจหนึ่งก็มั่นใจ แต่อีกใจก็ระแวง

           “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ติดไปนำกันหนิล่ะเฮา ทีลูกอยากให้เกิดนั่นน้า ไม่มาเกิดสักที” เขาบ่นลอย ๆ พร้อมทานข้าวต่อ

           “พี่เมธีแต่เค้าเป็นห่วงตัวเอง” คราวนี้เริมกังวลอีก ถ้าเธอตรวจเจอรอบสองแล้วพบเชื้อ เมธีก็ต้องหยุดงาน กักตัว ตรวจหาเชื้ออีก ถ้าผลปรากฏว่าติดโควิดทั้งสองคนจะทำอย่างไร กลุ้มไปหมด เธอบอกความรู้สึกของตนเองไม่ได้เลยตอนนี้ ว่ากังวลเรื่องไหนกันแน่ ไหนจะเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบอีก

           “ไม่ต้องห่วงพี่หรอกค่ะ พี่หนิห่วงน้องมากกว่า ทานข้าวเร็ว เค้าจะไปเล่นเกม”

           “หื้ย! อยากอายลูกแนะ ลิพูลยังบ่อติดเกมซำพ่อเลย” ค่อนขอดให้สามีไปที คนแก่อะไรติดเกมนัก แต่ถึงจะติดเกมอย่างไร เธอก็ยังมีตัวตนในสายตาของเขาเสมอ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยห้าม ไม่เคยงอแงเลยสักครั้งที่เขานั่งเล่นเกม ปล่อยให้เล่นได้ตามสบาย

           ………………………………
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่