“ชลน่าน” เดินหน้าเคลื่อนครอบครัวเพื่อไทย มั่นใจแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน หวังปชช.-พรรคมีส่วนร่วมมากขึ้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3065678

“ชลน่าน” เดินหน้าเคลื่อนครอบครัวเพื่อไทย มั่นใจแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน หวังปชช.-พรรคมีส่วนร่วมมากขึ้น
 
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคพท. เปิดการอบรมทีมงานเครือข่ายเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการครอบครัวพท. ​ซึ่งเป็นหนึ่งในการสร้างและขยายเครือข่าย ประสานความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงเปิดพื้นที่รับฟังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ สะท้อนปัญหา ผ่านความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่ กิจกรรมนี้จะดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยจะมีการจัดกิจกรรมอบรมเวิร์คชอปในหัวข้อต่างๆ เช่น การพัฒนาการการสร้างเครือข่ายในการเมืองไทย การเตรียมความพร้อมไปสู่การเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้ด้วยความมุ่งหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นความหวัง คืนความฝันให้กลับสู่พี่น้องคนไทย สู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าในทุกๆด้าน
 
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า กิจกรรมการสร้างเครือข่ายครอบครัวพท. พร้อมเปิดกว้างระดมสรรพกำลังจากทุกกลุ่มเข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับพรรคพท. ครอบครัวพท.จะเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น มีความหลากหลายทางความคิด และพร้อมรับฟังเสียงของทุกคน มั่นใจหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส. มากกว่า 253 ที่นั่ง และเป็นรัฐบาลที่แข็งแรง มีเสถียรภาพอย่างแน่นอน
 
“​ผมเชื่อว่าเครือข่ายครอบครัวเพื่อไทยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้พรรคเพื่อไทย แลนสไลด์ทั้งแผ่นดิน เราจะทำความฝันของประชาชนในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นจริงอีกครั้ง” นพ.ชลน่าน กล่าว
  

---

 
"เศรษฐา ทวีสิน" ปลุกไทย ลดเหลื่อมล้ำ ประกาศ! พร้อมเสีย "ภาษีคนรวย"
https://www.thansettakij.com/money_market/505103

บิ๊กอสังหาฯคนดัง "เศรษฐา ทวีสิน" แห่งแสนสิริ ทวิตข้อความ ปลุกไทย แก้ปัญหา ความเหลื่อมล้ำในสังคม ประกาศ พร้อมเป็น 1% ที่จะเสียภาษีคนรวย - ภาษีความมั่งคั่ง หรือ ภาษีมรดก
 
30 พ.ย.2564 - สร้างกระแสร้อนแรงในสังคมโซเชียลมีเดีย ได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน บิ๊กซีอีโอ อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าสุด นายเศรษฐา ได้ทวิตข้อความในบัญชี @Thavisin กล่าวถึง มาตรการทางภาษี ที่จะเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะการผลักดัน ให้รัฐบาล จัดเก็บภาษีมรดก ภาษีคนรวย หรือ ภาษีความมั่งคั่ง จากการที่กลุ่มคนเหล่านี้ใช้ทรัพยากรประเทศเยอะ โดยระบุว่า ...

" ภาษีเป็นหนึ่งในเครื่องมือลดความ เหลื่อมล้ำที่เห็นผลที่สุด ถึงเวลาหรือยัง ที่เราควรเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดินและภาษีความมั่งคั่งจากคนรวย ท่านมีสินทรัพย์มหาศาล เพราะใช้ทรัพยากรประเทศเยอะ เมื่อท่านมีรายได้ ก็ต้องจ่ายภาษี. ..ผมเองก็ถือเป็น 1%คนมั่งคั่งของประเทศและพร้อมจะเสียภาษี "
 
นายเศรษฐา ยังระบุอีกว่า  แม้ประเทศตั้งถูกคำถาม ถึงการนำภาษีมาใช้ไม่เกิดประโยชน์ แต่ ไม่ใช้เหตุผลในการปรับปรุงระบบภาษี หลังจากมีผู้ใช้ทวิตรายอื่น โต้แย้งถกประเด็นต่อ 
 
"คอรัปชั่นกับการจ่ายภาษีคนละประเด็น ต้องแก้กันในต่างบริบทกันไป ไม่ใช่เหตุผลในการไม่ปรับปรุงภาษี"
  
ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นายเศรษฐา ออกมาปลุกกระแส ให้ไทยเร่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะการออกสื่อหลายต่อหลายครั้งของนายเศรษฐา มีการหยิบยกประเด็นนี้ มานำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์ จุดบอดของการพัฒนาประเทศไทย 
 
โดยนายเศรษฐา ระบุ ครั้งเกิดวิกฤติโควิด เศรษฐกิจย้ำแย่ โดยตั้งคำถามผ่านสื่อว่า ...เศรษฐกิจไทยควรเดินต่ออย่างไร โดยไม่ทอดทิ้งใคร
 
หยิบยก ภาพเศรษฐกิจไทย อ้างอิง ธนาคารโลก ซึ่งวิเคราะห์ไว้ว่า วิกฤติโควิดครั้งนี้ทำให้คนจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านคน บิ๊กซีอีโอแสนสิริ ต้องการให้ภาครัฐควรถือโอกาส “ยกการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นวาระแห่งชาติ” โดยมีมุมมองในด้านต่างๆ ดังนี้
 
โดยเฉพาะ การสนับสนุนให้รัฐต้องหาเงินมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบเพิ่มโดยเฉพาะ SME และธุรกิจท่องเที่ยวผ่านการกู้เพิ่ม และเก็บภาษีมรดกคนรวย
  
นายเศรษฐา ยังเคยกล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้เป็นอุบัติการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะการพังทลายของระบบเศรษฐกิจการค้าที่ยังหาจุดจบไม่ได้ และดูเหมือนทุกคนจะโดนผลกระทบเหมือนๆ กัน ซึ่งหากวิเคราะห์ จากตัวเลขสถิติต่างๆ ให้ดี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือช่องว่างทางด้าน “ความมั่งคั่ง” ระหว่าง “คนมี” กับ “คนไม่มี”กำลังขยายตัวกว้างขึ้นอย่างน่ากลัวและจะเป็นการปรับฐานสมดุลย์ทางด้านความมั่งคั่งที่ทำให้โอกาสเกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากมาก
 
อย่างไรก็ดี ทุกประเทศมีวิธีแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ผ่านนโยบายอัดเงินเข้าระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การแจกเงินการลดภาษี ผ่อนปรนหนี้ ฯลฯ แต่มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบที่ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ หรือช่วยลดช่องว่างทางด้านความมั่งคั่งลงได้
ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการออก American Rescue Plan Act ซึ่งนับเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนรวมทั้งการออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า CARES Act มากว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว ผลที่ตามมาและเกิดขึ้นคือกลายเป็นการช่วยทวีคูณความมั่งคั่งให้คนรวย 1% ที่อยู่ด้านบนของปิรามิดประชากรเป็นมูลค่าถึงกว่า 4.8 ล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว ในขณะที่คน 80% ที่อยู่ด้านล่างฐานปิรามิดต้องแบ่งความมั่งคั่งมูลค่าแค่ 12,000 ล้านเหรียญเท่านั้น
 
ฐานเศรษฐกิจ เจาะลึก ย้อนไป สำนักข่าว VOA เคยนำเสนอ ข่าว ธนาคารโลกแนะนำให้รัฐบาลไทย พิจารณาปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้ สำหรับผู้ที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อนำไปช่วยชำระหนี้ มูลค่าราว 45,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการรับมือและป้องกันการระบาดของโควิด-19 อันรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านวัคซีนด้วย
 
โดยระบุว่า ประเทศไทยมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์อยู่ถึง 52 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสูงกว่าอิตาลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ด้วย ขณะที่หลายรายเดินหน้าขยายความมั่งคั่งของตนเพิ่มอีกหลายเท่าในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 อาทิ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 18,100 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลการจัดอันดับประจำปี 2021 ของนิตยสารฟอร์บส
 
ขณะเดียวกัน อัตราภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนนั้นยังอยู่ในระดับที่ถือว่าต่ำ แม้แต่ภาษีนิติบุคคลที่จัดเก็บอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว มีเพียงสิงคโปร์และบรูไนเท่านั้นที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำกว่า
 
สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 อายุ 57 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงินจาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)(SIRI)  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ซึ่ง ณ 30 กันยายน 2564 พบ แสนสิริ มีมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 116,413 ล้านบาท  โดยนายเศรษฐา มัก Call Out เกี่ยวข้องทางการเมืองอย่างน่าจับตามอง อีกทั้งล่าสุด เพิ่งเกิดกระแสข่าวลือหนาหู ว่าเป็น 1ในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย
 
https://twitter.com/Thavisin/status/1465547615123095552
 

---

สลด น้องชายเครียดปมหนี้สิน ฆ่าพี่สาว โทรบอกเพื่อนมาเก็บศพ ก่อนผูกคอตายตาม
https://www.sanook.com/news/8481858/

น้องชายเครียดจัดเป็นหนี้สินหลายทาง ลงมือก่อเหตุฆ่าพี่สาว แล้วผูกคอตายตาม ทิ้งจดหมายขอให้พระที่รู้จักและกู้ภัยช่วยจัดงานศพ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ตำรวจ สภ.คลองกิ่ว ได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตในบ้านไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 1 ตำบลคลองกิ่ว อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ที่เกิดเหตุพบร่าง นางอังคนา อายุ 64 ปี อยู่สภาพนอนหงาย ข้างโต๊ะไม้ มีมีดปลายแหลมปักอยู่กลางอก ศีรษะแตกเป็นแผลฉกรรจ์ มีสากกระเบือที่มีคราบเลือด ตกอยู่ ห่างกันเล็กน้อย พบ นายประยุทธ อายุ 55 ปี ใช้เชือกผ้าผูกกับขื่อหลังคาบ้าน กู้ภัยจึงทำการนำร่างลงมา ในที่เกิดเหตุยังพบจดหมาย มีการเขียนข้อความว่า 
 
"อาจารย์ทูนและศีลธรรม ช่วยทำศพให้ที 1 คืน ในบ้านนี้ ให้อาจารย์ทูนและวัดสวนพุทธ ขอพี่สาวไปด้วย"
  
เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้ทางกู้ภัยนำศพส่งชันสูตร เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง โดยคาดว่า นายประยุทธได้เครียดที่เป็นหนี้สินหลายทาง และไม่มีเงินใช้หนี้จึงคิดฆ่าตัวตาย แต่กลัวว่า พี่สาวป่วยเป็นโรคประจำตัว อีกทั้งอายุมากแล้ว กลัวจะไม่มีใครดูแล เลยใช้สากกระเบือตีที่หัวและใช้มีดแทงซ้ำ ก่อนที่จะฆ่าตัวตายดังกล่าว 
 
จากการสอบถาม นางบังเอิญ อายุ 60 ปี เพื่อนบ้าน เล่าว่า ตนเองพยายามโทรหานายประยุทธตั้งแต่ช่วงค่ำของเมื่อวาน เพื่อสอบถามด้วยความเป็นห่วงจากที่รู้จักกันดีกับผู้ตายทั้งสองคน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครรับสาย เช้านี้จึงเดินทางมาที่บ้านมองผ่านประตูพบนายประยุทธ กึ่งนั่งกึ่งยืนมีเชือกรัดกับคอแขวนที่ขื่อ รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ
 
ด้าน นายรดิส อายุ 30 ปี กู้ภัยศีลธรรม สมาคมบ้านบึง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานนายประยุทธ อยู่ที่เทศบาลตำบลบ้านบึง เล่าว่า เมื่อวานตอน 16.33 น. ตนเองได้รับโทรศัพท์จากนายประยุทธ ว่าให้ช่วยมาเก็บศพ พี่สาวตายแล้ว ตนเองคิดว่าผู้ตายพูดเล่น และมาทราบอีกทีตอนเช้า