JJNY : สรรหาอธิการมช.คนใหม่ ห้ามเลือกตั้ง│3 ส.ขนส่งทางเรือตั้งรับปี’65กระอัก│ทั่วโลกสุดผวา โอไมครอน│แห่กลับบ้านเลือกอบต.

ฮือฮา! สรรหาอธิการ มช.คนใหม่ ให้เสนอชื่อด้วยวิธีปรึกษาหารือ ห้ามใช้วิธีเลือกตั้ง-หยั่งเสียง
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3061414
 
 
ข้อบังคับสรรหาอธิการ มช.คนใหม่ ให้เสนอชื่อด้วยวิธีปรึกษาหารือ ห้ามใช้วิธีเลือกตั้ง-หยั่งเสียง จนท.ที่ดำเนินการจะมีความผิดทางวินัย 
 
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. กรณีจะมีการคัดเลือกอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โลกออนไลน์มีการแชร์ข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2564 ข้อ 5 (4) โดยมีระเบียบข้อหนึ่ง สั่งห้ามมีการสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งหรือการหยั่งเสียง หากเจ้าหน้าที่คนใดกระทำหรือสนับสนุน จะมีความผิดทางวินัย หน่วยงานต่างๆ ให้ใช้วิธีการเสนอชื่อด้วยวิธีปรึกษาหารือเท่านั้น
 
เพจศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง เผยแพร่ความเห็นของ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ โดยระบุว่า
 
เมื่อการเสนอให้มีการหยั่งเสียงอธิการบดีกลายเป็น “ความผิด” ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องในโอกาสที่จะมีการดำเนินการคัดเลือกอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เกิดขึ้นใน พ.ศ.2565 ในระหว่างนี้ทางสภามหาวิทยาลัยได้ออกข้อบังคับด้วยการกำหนดว่าผู้สมัครคนใดสนับสนุนการเลือกตั้งและการหยั่งเสียง คณะกรรมการก็สามารถตัดชื่อออกได้ และหากผู้ปฏิบัติงานคนใดมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนก็จะถือว่ามีความผิด “ทางวินัย” โดยมีรายละเอียดดังนี้ “ในการเสนอรายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีทุกขั้นตอนให้ใช้วิธีปรึกษาหารือ และมิให้ดำเนินการโดยวิธีเลือกตั้งหรือหยั่งเสียง หากปรากฏหลักฐานว่าผู้สมัครหรือผู้ถูกเสนอชื่อรายใดสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อม หรือยอมรับวิธีการเลือกตั้งหรือหยั่งเสียง ให้คณะกรรมการตัดชื่อออกจากกระบวนการสรรหา และถ้ามีผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยร่วมดำเนินการ หรือสนับสนุนก็ให้ถือว่ามีความผิดทางวินัย”
 
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 ข้อ 5 (4) ดูข้อบังคับฉบับเต็มที่
 
“คำถามสำคัญก็คือว่าการสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งหรือการหยั่งเสียงจะทำให้เกิดความเสียหายอันใดขึ้น จึงได้เป็นการกระทำที่กลายเป็น “ความผิด” ที่ต้องได้รับการลงโทษ รวมถึงหากเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยก็จะกลายเป็นความผิดวินัย ข้อบังคับเช่นนี้ไม่สามารถให้คำอธิบายได้เลยว่ากระบวนดังกล่าวมีความเลวร้ายเช่นใด จนกระทั่งห้ามมิให้บุคลากรเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่กระบวนการหยั่งเสียงก็เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เช่น ธรรมศาสตร์ เป็นต้น การออกข้อบังคับเช่นนี้ก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อครหาว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยชมชอบแต่การ “ปรึกษาหารือ” ซึ่งแน่นอนว่าคงอยู่ในวงจำกัดเพียงคนจำนวนไม่มาก หากผู้เสนอตัวเป็นอธิการบดีแต่ละคนมีคุณสมบัติวิเศษก็ควรต้องแสดงให้ประชาคมได้ประจักษ์ รวมถึงการประเมินความเห็นพ้องของบุคลากรจะเป็นการกระทำที่ควรยิ่งต้องกระทำมิใช่หรือ ที่สำคัญก็จะทำให้กระบวนสรรหาอธิการบดีถูกมองว่าเป็นเพียง “พิธีกรรม” ที่เราต่างก็รู้ๆ กันอยู่ว่าผลสุดท้ายจะลงเอยในแบบใด” รศ.สมชาย ระบุ


 
3 สมาคมขนส่งทางเรือตั้งรับ ปี’65 กระอักระวางขาด-ค่าเฟรตพุ่ง
https://www.prachachat.net/economy/news-809803

โอกาสที่การส่งออกไทยในปี 2565 จะขยายตัว 5% จากการฟื้นตัวของตลาด ทำให้เกิดความต้องการสินค้าสูงขึ้น แต่ทว่า “ผู้ส่งออก” ยังต้องเผชิญความท้าทายจากต้นทุนค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะจากภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับขึ้น การขาดแคลนพื้นที่ (สเปซ) เรือ ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในเวทีการเสวนาออนไลน์ “สถานการณ์ขนส่งสินค้าทางทะเลและแนวโน้มอัตราค่าระวางเรือ ปี 2022”
 
ซึ่งทางสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) สมาคมเจ้าของเรือและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ หรือ BSAA และสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ หรือ TIFFA เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธาน สรท. ระบุว่า ภาพรวมการส่งออกปี 2564 จะขยายตัวมากกว่า 12% สูงสุดในรอบ 33 ปีเป็นผลมาจากตลาดจีนและสหรัฐฟื้นตัวมีความต้องการสินค้ามากขึ้น
 
ขณะที่ทิศทางการส่งออกปี 2565 สรท.มองว่าทั้งปีส่งออกไทยจะขยายตัว 5% เป็นผลมาจากตลาดต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัวมากขึ้น มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
แต่ผู้ส่งออกยังต้องเจอปัจจัยปัญหาเรื่องต้นทุนค่าขนส่งระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ยังไม่นับรวมปัญหาอื่นที่อาจจะส่งผลต่อการผลิต และต้นทุนผู้ผลิต ทั้งการขาดแคลนแรงงาน ต้นทุนแรงงาน ค่าเงินบาท เงินเฟ้อ การขาดแคลนวัตถุดิบ และปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ส่งออกต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และต้องปรับตัว
 
“ค่าเฟรตเป็นปัญหาที่ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าทุกประเทศเจอเหมือนกันหมด โดยยังมองว่าในระยะ 6 เดือนจากนี้ค่าเฟรตจะยังไม่ปรับลดลง และสิ่งที่น่าห่วงตามมาคือ การขยายวงไปทั้งฝั่งเอเชียใต้ อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา ที่จะเจอปัญหาดังกล่าวนี้เช่นกัน แนวทางแก้ไข ทาง สรท.หยิบยกประเด็นหารือในหลายเวที โดยเฉพาะในเวทีองค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมเสนอให้ตั้งคณะกรรมการคอยกำกับ ติดตามกับปัญหานี้เพื่อหาความชอบธรรมร่วมกันด้วย”
 
ปรับตัวรับเอฟเฟ็กต์ “ค่าระวาง”
 
ในส่วนของเอกชนต้องปรับตัว เพื่อแก้ปัญหาค่าระวางเรือ พื้นที่บนเรือและตู้คอนเทนเนอร์ขาด โดยจะต้องตกลงกับลูกค้าให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสะดุด
 
สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกประเด็นคือ การอำนวยความสะดวกด้านขนส่ง เพิ่มความคล่องตัวและหมุนเวียนการขนส่งสินค้าเข้าออกท่าเรือให้รวดเร็ว จะช่วยหมุนเวียนตู้คอนเทนเนอร์เข้าออกได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อภาพการส่งออกของไทยในอนาคต
 
และในระยะยาว ไทยต้องปรับ เพราะในส่วนของระบบโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรของไทยยังไม่เพียงพอรองรับความต้องการ หากไทยยังพึ่งการขนส่งทางเรืออย่างเดียวจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้น การหาช่องทางการขนส่งอื่นเป็นสิ่งสำคัญ
 
นายชัยชาญยอมรับว่า ปัญหาเรื่องของต้นทุนสินค้าในปีหน้าเป็นความท้าทายของผู้ผลิต ผู้ส่งออกที่ต้องบริหารต้นทุนของสินค้าให้ได้ เพราะหากไม่ดำเนินการใดอาจจะมีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อได้ ซึ่งรัฐบาลเองจำเป็นต้องเข้ามาดูแลหาแนวทางแก้ไขปัญหา
 
เรือใหม่เข้าระบบพุ่ง 30%
 
นายพิเศษ ฤทธาภิรมย์ ประธานสมาคม BSAA กล่าวว่า ผลจากการที่ประเทศต้นทางมีปัญหาความแออัดในการนำเรือเข้าท่า ส่งผลให้การหมุนเวียนตู้เรือทำได้ล่าช้า นำมาสู่ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ (สเปซ) ตู้เปล่าในเรือลดลง ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออก
 
โดยเฉพาะในเส้นทางหลักอย่างสหรัฐและสหภาพยุโรป อาจจะเจอปัญหาความล่าช้า ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งการประกันความเสี่ยงสินค้า จากปกติใช้เวลา 6 เดือนจะขยายเป็น 1-2 ปี ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะต้องเผชิญปัญหานี้ต่อเนื่องระยะ 6 เดือนนี้ หรือไปจนถึงกลางปี 2565
 
อย่างไรก็ตาม สมาคมพบว่า จากสถานการณ์ความต้องการเรือ ตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงอัตราค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้มีลูกค้าโดยเฉพาะจากจีนติดต่อให้มีการต่อเรือเพิ่มขึ้น
 
และมีบริษัทสายเดินเรือขนาดใหญ่หลายสายเปิดให้บริการเช่าเรือและต่อเรือเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่ที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 1-2 หมื่นตู้
นั่นจึงทำให้จำนวนเรือเปล่าเพิ่มขึ้น 20-30% จากปกติ 24 ล้านทีอียู แต่ละปีจะเพิ่มเฉลี่ยเพียง 4-5 แสนทีอียูเท่านั้น แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็น 2 ล้านทีอียู และเป็น 4-5 ล้านทีอียู ล้อไปตามปัญหาค่าระวางเรือ ซึ่งการเพิ่มจำนวนเรือดังกล่าว มาพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ลดการใช้แรงงานบนเรือลงใช้ไม่เกิน 10 คนต่อลำ
 
“เมื่อจำนวนเรือเพิ่มขึ้นจะทำให้มีเรือว่างเพิ่มขึ้น พื้นที่บนเรือเพิ่มขึ้น คาดว่าใน 2-3 ปีข้างหน้าจะมีเรือส่วนเกินเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 30% ซึ่งเป็นปัญหาที่สายเรือจะต้องบริหารจัดการ และเชื่อว่าอนาคตค่าระวางเรือจะปรับตัวลดลงตามการส่งออกที่ย่อตัวลง”
 
TIFFA ผนึกพาณิชย์ช่วย SMEs
 
นายวิฑูรย์ สันติบุญญรัตน์ นายกสมาคม TIFFA กล่าวว่า ทางสมาคมร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดทำโครงการรวมกลุ่มเพื่อจองตู้สินค้า และร่วมกับ Thai Trade Center ของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ประจำสหรัฐ จัดหาระวางเรือ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการหาพื้นที่ระวางเรือในการส่งออก ตาม trade lane ที่ผู้นำเข้า-ส่งออกแจ้งมา
 
พร้อมกันนี้ ยังได้นำเสนอให้มีการพัฒนา NDPT : national digital trade platform และ eLMP : e-Logistics market place ซึ่ง TIFFA EDI กำลังพัฒนาอยู่ เพื่อให้บริการทางด้าน digital connectivity ทุกภาคส่วนที่อยู่บนระบบ ecosystem
 
นอกจากนี้ ได้ฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยผลักดันและแก้ไขปัญหา เช่น การ turnaround time ของตู้สินค้า จาก 15 วัน ปรับลดเหลือ 7 วัน เพื่อให้การขนส่งเกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงปัญหาจัดเก็บ VAT 7% เหลือ 0% ของผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนให้แก่ผู้ส่งออกด้วย
 
ชี้โอกาสเชื่อมไทย-จีน
  
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งเห็นว่า การที่รถไฟความเร็วสูงเส้นทางคุนหมิง-เวียงจันทน์ ซึ่งจะเริ่มให้บริการวันที่ 2 ธ.ค. 2564 นี้ จะมีส่วนช่วยเชื่อมโยงการส่งผ่านสินค้าจากประเทศไทยไปเวียงจันทน์ ประเทศลาว และต่อเนื่องไปจีน
 
น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับสินค้าผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย สามารถช่วยลดความแออัดในการขนส่งทางทะเล และอาจจะส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งถูกลงด้วย
 


ทั่วโลกสุดผวา โควิดพันธุ์ใหม่ โอไมครอน ห้ามคนเดินทางจากแอฟริกาเข้าประเทศ
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2252045
 
เมื่อ 27 พ.ย. 64  รอยเตอร์รายงาน หลายประเทศทั่วโลกออกมาตรการด่วน ระงับเที่ยวบิน รวมทั้ง คนเดินทางมาจาก 6-8 ประเทศในทวีปแอฟริกาทันที หวังสกัดกั้นเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 หรือโอไมครอน (Omicron) ที่ถือเป็นเชื้อโควิด-19 ที่เกิดการกลายพันธุ์มากที่สุดเท่าที่เคยพบมา จนนักวิทย์หวั่นเกรงว่าอาจมีศักยภาพในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ จากการฉีดวัคซีนได้ดีขึ้น และสามารถแพร่กระจายติดเชื้อได้ง่ายมากขึ้น 

สำหรับประเทศที่ออกมาตรการด่วนสกัดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน อาทิ
 
สหรัฐอเมริกา–ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ สั่งระงับคนเดินทางส่วนใหญ่ จาก 8 ประเทศแอฟริกา เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.
 
สหภาพยุโรป (EU)-นางอูร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอียูระงับการเดินทางทางอากาศกับประเทศที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โอไมครอนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
สเปน-รัฐบาลสเปนสั่งระงับเที่ยวบินจากแอฟริกาใต้ และบอตสวานา ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.
   
บราซิล-ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู สั่งปิดพรมแดนกับ 6 ประเทศแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้ เอสวาตินี เลโซโท นามิเบีย บอตสวานา ซิมบับเว
 
โอมาน-สั่งระงับคนเดินทางมาจากแอฟริกาใต้ นามิเบีย บอตสวานา ซิมบับเว โมซัมบิก เลโซโท และเอสวาตินี เริ่มตั้งแต่ 28 พ.ย.
 
ทั้งนี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักร อิสราเอล สิงคโปร์ ได้ประกาศระงับเที่ยวบินและคนเดินทางจาก 6-8 ประเทศแอฟริกา สกัดเชื้อโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 หรือโอไมครอน แล้วก่อนหน้านี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่