สวัสดีครับ ผมขอเริ่มต้นเล่า จากที่มา และปัญหาที่เจอก่อนนะครับ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ฝึกงานในรพ.ประจำอำเภอแห่งหนึ่ง(เทคนิคการแพทย์) จนกระทั่งเรียนจบ พี่หัวหน้าแลปได้ชวนเข้ามาทำงานโดยระบุเงินเดือน 17,140 บาท แล้วหัวหน้าจะขอโควตาหอพักของรพ.ให้(รพ.ห่างจากบ้านผมประมาณ50 กม. เริ่มต้นงานเดือนมิถุนายน ถึงได้รู้ว่า หอพักยังสร้างไม่เสร็จ) เริ่มทำงานตรวจยืนยันการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 กับเพื่อนในทีมอีก4คน(เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน1คนและรุ่นพี่อีก3คน) ช่วงเริ่มแรกผมสนุกกับการทำงานมากอาจจะด้วยเพราะเพิ่งเรียนจบ ช่วงแรกทำงานหนักมาก เป็นช่วงที่Covid19ระบาดอีกครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นทำงานหนักสุดคือ 24 ชม.ต่อวัน ในตอนนั้นหัวหน้าแลปเป็นที่ฮือฮามาก ไปไหนก็เหมือนมีสปอร์ตไลท์ส่องตลอดเวลา เพราะสามารถทำกำไรให้รพ.ได้สูงสุดถึง30ล้านบาท ทำให้หัวหน้าแลปมีความสนิทกับผอ.เป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นการจ้างงานของผม เป็นแบบที่เรียกว่า"บันทึกข้อความ" จ้างเหมาบริการ (สารภาพตามตรงว่าผมไม่ความรู้เรื่องระเบียบการจ้างงานของราชการเลย) ไม่มีการทำสัญญาจ้างงานอะไรเลย มีแค่ยื่นเอกสาร ใบแสดงผลการศึกษาและใบรับรองคุณวุฒิแค่นั้น ช่วงที่งานพีคๆ มีการทำงาน 24 ชม.อยู่หลายครั้ง ทำงาน6วันต่อสัปดาห์(เสาร์-อาทิตย์สลับแบ่งเวรกันมา) หัวหน้าแนะนำว่า หัวหน้าจะไปคุยกับผอ.ว่าจะหาทางทำให้พวกเราได้เงินรายได้เพิ่ม หลังจากนั้นเรื่องน่าปวดหัวก็ตามมา 1)หัวหน้าเสนอให้พวกเราเบิกเงินโดยแบ่งเปอร์เซนต์จากยอดการตรวจทั้งหมด-แพทย์รองบริหารไม่อนุมัติ 2)หัวหน้าต่อรองเป็นเบิกโอทีแบบเหมา-แพทย์รองบริหารไม่อนุมัติ และการต่อรองอื่นๆตามมาอีกมาก ซึ่งการต่อรองทั้งหมด พวกผมในทีมไม่ได้ต่อรองหรือตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น จนสุดท้ายแพทย์รองบริหารเสนอให้เปลี่ยนเป็น "ชั่วโมงละ93บาท ทำงานไม่เกิน26วันราชการ และไม่เกิน24ช่วโมงต่อวัน โดยยอดเงินสูงสุดไม่เกิน56,xxxบาท" หัวหน้าบอกว่า ข้อเสนอนี้ดีที่สุดเพราะถ้าเราทำงานได้มาก เราก็จะได้เงินมาก โดยเหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาถึง2เดือนกว่า และในระหว่างนั้นไม่ได้เงินเดือนเลย จนกว่าผู้บริการจะอนุมัติ ท้ายที่สุดเมื่ออนุมัติ บันทึกข้อความมีผลคิดย้อนหลังไปจนถึงเดือนแรกที่ทำงาน รวมแล้วได้เงินทั้งหมดรวม2เดือน(มิถุนายน-กรกฏาคม) ได้เงินมาทั้งหมด6หมื่นกว่าบาท เป็นเงินเดือนก้อนแรกที่ดีใจมาก เพราะรู้สึกว่าเยอะมาก ช่วงนั้นหัวหน้าหางานตรวจมาให้เยอะมาก ทั้งตรวจตรวจตามโรงงาน ชุมชนต่างๆ รับตรวจคนไข้ walk in อีกมาก ทำงาน24ชม.หลายครั้งมาก เดือนสิงหาคมผมได้เงินอีกประมาณ30,000บาท
กระทั่งปลายเดือนกันยายนรพ.มีการเปลี่ยนผอ.คนใหม่ ช่วงนั้นเป็นช่วงจะเริ่มปีงบประมาณใหม่พอดี ทางผู้บริหารได้อนุมัติเรื่องที่หัวหน้าเคยขอให้มีการบรรจุลูกจ้าง 4 อัตราของห้องแลป ให้เป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน เหมือนจะเป็นแนวโน้มที่ดี แต่ในความดีใจก็มีเรื่องที่ช็อกตามมา เพราะเงินเดือนที่ระบุมานั้น อยู่ที่11,430บาท แน่นอนว่าเราไม่ได้คาดหวังเงินเดือนที่สูงอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบกับวุฒิที่เรามี ก็ไม่คิดว่ามันจะน้อยขนาดนี้ ในเวลานั้นหัวหน้าให้รุ่นพี่2คน(เข้ามาทำงานก่อน) กับผมและเพื่อน(เข้าทำงานตามมา) รวมทั้งหมด4คน ไปยื่นเอกสารสมัครซึ่งรวมถึงเอกสารใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งของรุ่นพี่และเพื่อนไม่มีปัญหาอะไร แต่ติดที่ของผมที่ใบประกอบวิชาชีพอนุมัติวันที่4ตุลาคม(สอบรอบ2 ไม่ได้สอบพร้อมเพื่อน) นั่นทำให้คุณสมบัติของผมไม่ผ่านทันที เพราะในการประกาศรับสมัครระบุว่าต้องมีเอกสารที่อนุมัติก่อนวันปิดรับสมัคร ตอนนั้นผมจึ่งแจ้งหัวหน้าไปตามนั้น หัวหน้าได้โทรไปหาฝ่ายบุคคล(หัวหน้าเล่าว่า ได้โวยวายใส่ฝ่ายบุคคลที่เป็นคนตรวจเอกสาร ประมาณว่าแค่นี้นก็หยวนกันไม่ได้) ตอนนั้นหัวหน้าจึงให้พี่อีกคนในทีม(เข้ามาทำงานคนสุดท้าย)สมัครในโควตาของผมแทน นั่นสรุปว่า ทีมผม5คน มี4คนได้บรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน เงินเดือน11,430บาทค่าตอบแทนนอเวลาราชการ75บาทต่อ1ชั่วโมง ส่วนผมยังคงใช้การจ้างงานแบบจ้างเหมาบริการายคาบ 93บาทต่อ1ชั่วโมงตามเดิม แต่ผลกระทบจากการที่หัวหน้าไปโวยวายใส่ฝ่ายบุคคลเริ่มต้นขึ้น
วันหนึ่งในช่วงเดือนตุลาคม หัวหน้าได้แจ้งว่า ฝ่ายบุคคลได้แจ้งให้มีการเปลี่ยนบันทึกข้อความใหม่ ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงวันที่4ตุลาคม และของเพื่อนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึง20กันยายน(วันอนุมัติใบประกอบวิชาชีพของเพื่อน) ให้อัตราค่าตอบแทน80บาทต่อชั่วโมง เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นไม่มีใบประกอบวิชาชีพ จะต้องทำการคืนเงินส่วนต่างที่เคยได้รับทั้งหมด(ประมาณเกือบ20,000บาทต่อเดือน) หัวหน้าได้แย้งไปทางฝ่ายบุคคลว่าตอนแรกเริ่มทำงานของผมและเพื่อน ได้แจ้งแล้วว่ามีเอกสารอะไรบ้าง เอามาทำงานอะไรบ้าง ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงข้อความ แสดงว่าฝ่ายบุคคลยอมรับว่าตัวเองตรวจสอบเอกสารไม่ดีตั้งแต่แรก ฝ่ายบุคคลจึงตอบว่า อัตราค่าตอบแทน 93 บาทต่อชั่วโมง เป็นเรทของนักเทคนิคการแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ(ตรงส่วนนี้ถ้าอิงตามบันทึกข้อความ ไม่มีส่วนไหนระบุเลยว่าจ้างนักเทคนิคการแพทย์ มีเพียงแค่จ้างเอามาทำอะไร) จนแล้วจนรอดก็ต้องทำเรื่องคืนเงินส่วนต่างทั้งหมด
ณ ปัจจุบันนี้(วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564) บันทึกข้อความการจ้างของผมถูกแก้มาไม่รู้กี่สิบครั้ง ต้องเซ็นต์เอกสารใหม่ไม่รู้ตั้งกี่รอบ จน ณ ปัจจุบันนี้ เงินเดือนตั้งแต่เดือนกันยานถึงตุลาคมก็ยังไม่ได้ นานวันเข้า ก็มีปัญหายิบย่อยให้พบเจอตามมาอีกมาก
ปัญหาที่เจอ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น รัฐบาลได้จัดสรรให้มีค่าตอบแทน การเสี่ยงภัย ที่ให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เรียกว่าค่าเสี่ยงภัย โดยทางสาธารณสุขจังหวัดจะจัดสรรเงินมาให้เป็นก้อน ให้แต่ละรพ .จัดสรรกันเอง โดยระบุค่าตามแทนที่ 1000บาทต่อ8ชม.(นั่นเท่ากับว่าวันที่ผมทำงาน24ชม.ผมจะได้เงิน3000บาทต่อวัน) ปัญหาที่พบเจอคือ คณะผู้บริหาร ไม่อนุมัติให้แลปได้เงินส่วนนี้โดยระบุว่าแลปไม่ได้พบเจอคนไข้ ไม่ถือว่าเสี่ยง นั่นทำให้หัวหน้าต้องนำเรื่องไปอุทรณ์ จนสุดท้ายผู้บริหารก็ยอมปล่อยเงินส่วนนั้นออกมา เรื่องเหมือนจะคลี่คลาย แต่วันสุดท้ายที่ต้องยื่นเรื่องให้ทางสาธารณสุขจังหวัด(ไม่มีใครทราบว่าวันไหน มีเพียงคณะผู้บริหาร และกลุ่มคนทำงานส่วนหนึ่ง) มีเอกสารมาให้ทางแลปเซ็นต์รับเงิน โดยในเอกสารระบุว่า เราทำงานเพียง6ชม.ต่อวัน (ค่าเสี่ยงภัยจะไม่ได้ถึง1000บาท) ซึ่ง ณ เวลานั้น ถ้าไม่เซ็นต์รับเงินตอนนั้น ก็จะไม่ได้เงินเลย ทำให้หัวหน้าต้องขึ้นไปคุยกับผู้บริหารอีกรอบ ผู้บริหารให้เหตุผลว่า รพ.เรามีคนทำงานเยอะ จำนวนเงินที่สาธารณสุขจังหวัดให้มา ไม่เพียงพอต่อการเบิกเต็มเวลาของทุกคน จำเป็นต้องแบ่งกัน) จนแล้วจนรอดก็ต้องยอม (มารู้ทีหลังว่า กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลกับหัวหน้าพยาบาลในชุดบริหารเบิกเต็มจำนวน3000บาทต่อวัน(จริงเท็จประการใดไม่รู้ อ้างอิงจากคำบอกเล่าของหัวหน้า)) ส่วนปัญหาอื่นยิบย่อยกวนใจ เช่น
-ช่วงที่มีปัญหากับฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตอนนั้น เป็นข่าวลือไปทั่วทั้งรพ. ว่าแลปจ้างเด็กไม่มีวุฒิมาทำงาน (ซึ่งไอที่เขาเรียกว่าวุฒิกันเนี่ย จริงๆคือใบประกอบวิชาชีพ)หนักเข้า กลายเป็นจ้างเด็กยังไม่จบมาทำงานซะงั้น
-โดนแก้บันทึกข้อความการจ้างงานเป็นสิบๆครั้ง ตั้งแต่เดือนกันยายนมาจนถึงปัจจุบัน และยังไม่ได้ทั้งเงินค่าจ้างและค่าเสี่ยงภัยอะไรทั้งนั้น
-เงินที่ที่ควรจะได้ ยังไม่ได้สักบาท ไม่พอ ยังต้องเซ็นต์รับเงินในจำนวนเงินที่เราไม่ได้จริงๆอีกด้วย เช่นบางเดือนเก็บเวลาทำงานได้เงิน28,xxxบาท แต่ให้เซ็นต์รับเงินที่56,xxxบาท แล้วต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์(รับเงินค่าจ้างเป็นเช็ค) เช่นรับเงิน56,xxxบาท จ่ายค่าอากรแสตมป์56บาท ซึ่งผมต้องจ่ายไอค่าอากรแสตมป์ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนบันทึกข้อความใหม่ แถมตอนที่เปลี่ยนบีนทึกข้อความใหม่ ก็ไม่ได้ค่าอากรแสตมป์ครั้งเก่าคืนด้วย
ทุกครั้งที่เลิกงานดึกมาก ขับรถกลับบ้านไม่ไหว หรือถ้าขับรถกลับบ้าน ก็จะมีเวลานอนน้อยมากๆ ต้องตื่นมาไเพื่อทำงานอีกวัน ช่วงแรกๆขับรถกลับบ้านตี3ตี4ทุกวัน หลังๆเริ่มไม่ไหว จำเป็นต้องนอนที่ห้องพักเวรในรพ. กลายเป็นว่าหลังไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะทำงานเลิกเย็นทุกวัน กลายเป็นไม่มีความสุขกับงานไปแล้ว เหมือนโดนขังอยู่กับงานตลอดเวลา เลิกงานก็อาบน้ำนอน ตื่นมาอีกวันก็ทำงานเลย วนๆอย่างนี้ทุกวัน ได้พัก1วันต่อสัปดาห์ จนตอนนี้เริ่มไม่มีไฟจะทำงานแล้ว ทำงานไปเงินค่าจ้างก็ไม่ได้สักที แถมยังโดนโกงเงินค่าเสี่ยงภัยอีก เวลาได้รับฟังเรื่องพวกนี้ที่ไร พาให้ใจฝ่อทุกที
ตอนนี้ผมอยากลาออกจากงานมาก กำลังแอบสมัครงานที่ใหม่อยู่ แต่ใจก็กล้าๆกลัวๆ ความเสียดายต่อที่ทำงานเก่าก็ยังมี
เรื่องที่เสียดายคือ
-เพื่อนร่วมงานที่นี่ดีมาก ทั้งเพื่อนในทีม พี่ๆซีเนียร์ดูแลดีตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาฝึกงาน เหมือนที่ทำงานนี้เป็นเซฟโซนของเราไปแล้ว
-ใจลึกๆหวังว่า เมื่อนานวันเข้า ปัญหามันคงจะคลี่คลาย หลังๆคงจะดีขึ้น
-สภาพแวดล้อมภายนอกรพ.ก็สงบดี เป็นชุมชนชนบทในแบบที่ชอบ
เรื่องที่กลัวคือ
-เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า หัวหน้าคยพูดทีเล่นทีจริงว่า "ถ้าหนูหนีพี่ไปทำงานที่อื่น พี่จะบอกที่อื่นไม่ให้รับหนู" บวกกับพี่ซีเนียร์คนนึงเคยเล่าว่า "หัวหน้ารู้จักคนเยอะนะ วงการนี้มันแคบ ถ้าตกลงทำงานกับเขาแล้ว ถ้าเปลี่ยนใจ เดี๋ยวจะหางานทำที่อื่นลำบาก เขาไม่ชอบคนที่คิดว่าตัวเองเลือกได้" ทำให้เราก็เริ่มกลัวว่าจะไม่มีที่ยืนในวิชาชีพนี้เหมือนกัน
-กลัวว่าถ้าย้ายไปทำงานที่อื่น อาจจะเจอปัญหาการโกงในระบบราชการไม่ต่างกัน กลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ไปอีก
-ไม่รู้ที่ทำงานใหม่จะเจอเพื่อนร่วมงานที่เป็นกัลยาณมิตรแบบที่เก่ารึเปล่า
ท้ายที่สุด เรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมแค่อยากระบายให้ใครสักคนฟัง อยากฟังความคิดเห็นคนอื่นที่ไกลตัวดูบ้าง
ปัญหาที่เจอจนท้อของเด็กเพิ่งจบที่เริ่มต้นทำงาน
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ฝึกงานในรพ.ประจำอำเภอแห่งหนึ่ง(เทคนิคการแพทย์) จนกระทั่งเรียนจบ พี่หัวหน้าแลปได้ชวนเข้ามาทำงานโดยระบุเงินเดือน 17,140 บาท แล้วหัวหน้าจะขอโควตาหอพักของรพ.ให้(รพ.ห่างจากบ้านผมประมาณ50 กม. เริ่มต้นงานเดือนมิถุนายน ถึงได้รู้ว่า หอพักยังสร้างไม่เสร็จ) เริ่มทำงานตรวจยืนยันการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 กับเพื่อนในทีมอีก4คน(เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน1คนและรุ่นพี่อีก3คน) ช่วงเริ่มแรกผมสนุกกับการทำงานมากอาจจะด้วยเพราะเพิ่งเรียนจบ ช่วงแรกทำงานหนักมาก เป็นช่วงที่Covid19ระบาดอีกครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นทำงานหนักสุดคือ 24 ชม.ต่อวัน ในตอนนั้นหัวหน้าแลปเป็นที่ฮือฮามาก ไปไหนก็เหมือนมีสปอร์ตไลท์ส่องตลอดเวลา เพราะสามารถทำกำไรให้รพ.ได้สูงสุดถึง30ล้านบาท ทำให้หัวหน้าแลปมีความสนิทกับผอ.เป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นการจ้างงานของผม เป็นแบบที่เรียกว่า"บันทึกข้อความ" จ้างเหมาบริการ (สารภาพตามตรงว่าผมไม่ความรู้เรื่องระเบียบการจ้างงานของราชการเลย) ไม่มีการทำสัญญาจ้างงานอะไรเลย มีแค่ยื่นเอกสาร ใบแสดงผลการศึกษาและใบรับรองคุณวุฒิแค่นั้น ช่วงที่งานพีคๆ มีการทำงาน 24 ชม.อยู่หลายครั้ง ทำงาน6วันต่อสัปดาห์(เสาร์-อาทิตย์สลับแบ่งเวรกันมา) หัวหน้าแนะนำว่า หัวหน้าจะไปคุยกับผอ.ว่าจะหาทางทำให้พวกเราได้เงินรายได้เพิ่ม หลังจากนั้นเรื่องน่าปวดหัวก็ตามมา 1)หัวหน้าเสนอให้พวกเราเบิกเงินโดยแบ่งเปอร์เซนต์จากยอดการตรวจทั้งหมด-แพทย์รองบริหารไม่อนุมัติ 2)หัวหน้าต่อรองเป็นเบิกโอทีแบบเหมา-แพทย์รองบริหารไม่อนุมัติ และการต่อรองอื่นๆตามมาอีกมาก ซึ่งการต่อรองทั้งหมด พวกผมในทีมไม่ได้ต่อรองหรือตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น จนสุดท้ายแพทย์รองบริหารเสนอให้เปลี่ยนเป็น "ชั่วโมงละ93บาท ทำงานไม่เกิน26วันราชการ และไม่เกิน24ช่วโมงต่อวัน โดยยอดเงินสูงสุดไม่เกิน56,xxxบาท" หัวหน้าบอกว่า ข้อเสนอนี้ดีที่สุดเพราะถ้าเราทำงานได้มาก เราก็จะได้เงินมาก โดยเหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาถึง2เดือนกว่า และในระหว่างนั้นไม่ได้เงินเดือนเลย จนกว่าผู้บริการจะอนุมัติ ท้ายที่สุดเมื่ออนุมัติ บันทึกข้อความมีผลคิดย้อนหลังไปจนถึงเดือนแรกที่ทำงาน รวมแล้วได้เงินทั้งหมดรวม2เดือน(มิถุนายน-กรกฏาคม) ได้เงินมาทั้งหมด6หมื่นกว่าบาท เป็นเงินเดือนก้อนแรกที่ดีใจมาก เพราะรู้สึกว่าเยอะมาก ช่วงนั้นหัวหน้าหางานตรวจมาให้เยอะมาก ทั้งตรวจตรวจตามโรงงาน ชุมชนต่างๆ รับตรวจคนไข้ walk in อีกมาก ทำงาน24ชม.หลายครั้งมาก เดือนสิงหาคมผมได้เงินอีกประมาณ30,000บาท
กระทั่งปลายเดือนกันยายนรพ.มีการเปลี่ยนผอ.คนใหม่ ช่วงนั้นเป็นช่วงจะเริ่มปีงบประมาณใหม่พอดี ทางผู้บริหารได้อนุมัติเรื่องที่หัวหน้าเคยขอให้มีการบรรจุลูกจ้าง 4 อัตราของห้องแลป ให้เป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน เหมือนจะเป็นแนวโน้มที่ดี แต่ในความดีใจก็มีเรื่องที่ช็อกตามมา เพราะเงินเดือนที่ระบุมานั้น อยู่ที่11,430บาท แน่นอนว่าเราไม่ได้คาดหวังเงินเดือนที่สูงอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบกับวุฒิที่เรามี ก็ไม่คิดว่ามันจะน้อยขนาดนี้ ในเวลานั้นหัวหน้าให้รุ่นพี่2คน(เข้ามาทำงานก่อน) กับผมและเพื่อน(เข้าทำงานตามมา) รวมทั้งหมด4คน ไปยื่นเอกสารสมัครซึ่งรวมถึงเอกสารใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งของรุ่นพี่และเพื่อนไม่มีปัญหาอะไร แต่ติดที่ของผมที่ใบประกอบวิชาชีพอนุมัติวันที่4ตุลาคม(สอบรอบ2 ไม่ได้สอบพร้อมเพื่อน) นั่นทำให้คุณสมบัติของผมไม่ผ่านทันที เพราะในการประกาศรับสมัครระบุว่าต้องมีเอกสารที่อนุมัติก่อนวันปิดรับสมัคร ตอนนั้นผมจึ่งแจ้งหัวหน้าไปตามนั้น หัวหน้าได้โทรไปหาฝ่ายบุคคล(หัวหน้าเล่าว่า ได้โวยวายใส่ฝ่ายบุคคลที่เป็นคนตรวจเอกสาร ประมาณว่าแค่นี้นก็หยวนกันไม่ได้) ตอนนั้นหัวหน้าจึงให้พี่อีกคนในทีม(เข้ามาทำงานคนสุดท้าย)สมัครในโควตาของผมแทน นั่นสรุปว่า ทีมผม5คน มี4คนได้บรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน เงินเดือน11,430บาทค่าตอบแทนนอเวลาราชการ75บาทต่อ1ชั่วโมง ส่วนผมยังคงใช้การจ้างงานแบบจ้างเหมาบริการายคาบ 93บาทต่อ1ชั่วโมงตามเดิม แต่ผลกระทบจากการที่หัวหน้าไปโวยวายใส่ฝ่ายบุคคลเริ่มต้นขึ้น
วันหนึ่งในช่วงเดือนตุลาคม หัวหน้าได้แจ้งว่า ฝ่ายบุคคลได้แจ้งให้มีการเปลี่ยนบันทึกข้อความใหม่ ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงวันที่4ตุลาคม และของเพื่อนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึง20กันยายน(วันอนุมัติใบประกอบวิชาชีพของเพื่อน) ให้อัตราค่าตอบแทน80บาทต่อชั่วโมง เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นไม่มีใบประกอบวิชาชีพ จะต้องทำการคืนเงินส่วนต่างที่เคยได้รับทั้งหมด(ประมาณเกือบ20,000บาทต่อเดือน) หัวหน้าได้แย้งไปทางฝ่ายบุคคลว่าตอนแรกเริ่มทำงานของผมและเพื่อน ได้แจ้งแล้วว่ามีเอกสารอะไรบ้าง เอามาทำงานอะไรบ้าง ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงข้อความ แสดงว่าฝ่ายบุคคลยอมรับว่าตัวเองตรวจสอบเอกสารไม่ดีตั้งแต่แรก ฝ่ายบุคคลจึงตอบว่า อัตราค่าตอบแทน 93 บาทต่อชั่วโมง เป็นเรทของนักเทคนิคการแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ(ตรงส่วนนี้ถ้าอิงตามบันทึกข้อความ ไม่มีส่วนไหนระบุเลยว่าจ้างนักเทคนิคการแพทย์ มีเพียงแค่จ้างเอามาทำอะไร) จนแล้วจนรอดก็ต้องทำเรื่องคืนเงินส่วนต่างทั้งหมด
ณ ปัจจุบันนี้(วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564) บันทึกข้อความการจ้างของผมถูกแก้มาไม่รู้กี่สิบครั้ง ต้องเซ็นต์เอกสารใหม่ไม่รู้ตั้งกี่รอบ จน ณ ปัจจุบันนี้ เงินเดือนตั้งแต่เดือนกันยานถึงตุลาคมก็ยังไม่ได้ นานวันเข้า ก็มีปัญหายิบย่อยให้พบเจอตามมาอีกมาก
ปัญหาที่เจอ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น รัฐบาลได้จัดสรรให้มีค่าตอบแทน การเสี่ยงภัย ที่ให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เรียกว่าค่าเสี่ยงภัย โดยทางสาธารณสุขจังหวัดจะจัดสรรเงินมาให้เป็นก้อน ให้แต่ละรพ .จัดสรรกันเอง โดยระบุค่าตามแทนที่ 1000บาทต่อ8ชม.(นั่นเท่ากับว่าวันที่ผมทำงาน24ชม.ผมจะได้เงิน3000บาทต่อวัน) ปัญหาที่พบเจอคือ คณะผู้บริหาร ไม่อนุมัติให้แลปได้เงินส่วนนี้โดยระบุว่าแลปไม่ได้พบเจอคนไข้ ไม่ถือว่าเสี่ยง นั่นทำให้หัวหน้าต้องนำเรื่องไปอุทรณ์ จนสุดท้ายผู้บริหารก็ยอมปล่อยเงินส่วนนั้นออกมา เรื่องเหมือนจะคลี่คลาย แต่วันสุดท้ายที่ต้องยื่นเรื่องให้ทางสาธารณสุขจังหวัด(ไม่มีใครทราบว่าวันไหน มีเพียงคณะผู้บริหาร และกลุ่มคนทำงานส่วนหนึ่ง) มีเอกสารมาให้ทางแลปเซ็นต์รับเงิน โดยในเอกสารระบุว่า เราทำงานเพียง6ชม.ต่อวัน (ค่าเสี่ยงภัยจะไม่ได้ถึง1000บาท) ซึ่ง ณ เวลานั้น ถ้าไม่เซ็นต์รับเงินตอนนั้น ก็จะไม่ได้เงินเลย ทำให้หัวหน้าต้องขึ้นไปคุยกับผู้บริหารอีกรอบ ผู้บริหารให้เหตุผลว่า รพ.เรามีคนทำงานเยอะ จำนวนเงินที่สาธารณสุขจังหวัดให้มา ไม่เพียงพอต่อการเบิกเต็มเวลาของทุกคน จำเป็นต้องแบ่งกัน) จนแล้วจนรอดก็ต้องยอม (มารู้ทีหลังว่า กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลกับหัวหน้าพยาบาลในชุดบริหารเบิกเต็มจำนวน3000บาทต่อวัน(จริงเท็จประการใดไม่รู้ อ้างอิงจากคำบอกเล่าของหัวหน้า)) ส่วนปัญหาอื่นยิบย่อยกวนใจ เช่น
-ช่วงที่มีปัญหากับฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตอนนั้น เป็นข่าวลือไปทั่วทั้งรพ. ว่าแลปจ้างเด็กไม่มีวุฒิมาทำงาน (ซึ่งไอที่เขาเรียกว่าวุฒิกันเนี่ย จริงๆคือใบประกอบวิชาชีพ)หนักเข้า กลายเป็นจ้างเด็กยังไม่จบมาทำงานซะงั้น
-โดนแก้บันทึกข้อความการจ้างงานเป็นสิบๆครั้ง ตั้งแต่เดือนกันยายนมาจนถึงปัจจุบัน และยังไม่ได้ทั้งเงินค่าจ้างและค่าเสี่ยงภัยอะไรทั้งนั้น
-เงินที่ที่ควรจะได้ ยังไม่ได้สักบาท ไม่พอ ยังต้องเซ็นต์รับเงินในจำนวนเงินที่เราไม่ได้จริงๆอีกด้วย เช่นบางเดือนเก็บเวลาทำงานได้เงิน28,xxxบาท แต่ให้เซ็นต์รับเงินที่56,xxxบาท แล้วต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์(รับเงินค่าจ้างเป็นเช็ค) เช่นรับเงิน56,xxxบาท จ่ายค่าอากรแสตมป์56บาท ซึ่งผมต้องจ่ายไอค่าอากรแสตมป์ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนบันทึกข้อความใหม่ แถมตอนที่เปลี่ยนบีนทึกข้อความใหม่ ก็ไม่ได้ค่าอากรแสตมป์ครั้งเก่าคืนด้วย
ทุกครั้งที่เลิกงานดึกมาก ขับรถกลับบ้านไม่ไหว หรือถ้าขับรถกลับบ้าน ก็จะมีเวลานอนน้อยมากๆ ต้องตื่นมาไเพื่อทำงานอีกวัน ช่วงแรกๆขับรถกลับบ้านตี3ตี4ทุกวัน หลังๆเริ่มไม่ไหว จำเป็นต้องนอนที่ห้องพักเวรในรพ. กลายเป็นว่าหลังไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะทำงานเลิกเย็นทุกวัน กลายเป็นไม่มีความสุขกับงานไปแล้ว เหมือนโดนขังอยู่กับงานตลอดเวลา เลิกงานก็อาบน้ำนอน ตื่นมาอีกวันก็ทำงานเลย วนๆอย่างนี้ทุกวัน ได้พัก1วันต่อสัปดาห์ จนตอนนี้เริ่มไม่มีไฟจะทำงานแล้ว ทำงานไปเงินค่าจ้างก็ไม่ได้สักที แถมยังโดนโกงเงินค่าเสี่ยงภัยอีก เวลาได้รับฟังเรื่องพวกนี้ที่ไร พาให้ใจฝ่อทุกที
ตอนนี้ผมอยากลาออกจากงานมาก กำลังแอบสมัครงานที่ใหม่อยู่ แต่ใจก็กล้าๆกลัวๆ ความเสียดายต่อที่ทำงานเก่าก็ยังมี
เรื่องที่เสียดายคือ
-เพื่อนร่วมงานที่นี่ดีมาก ทั้งเพื่อนในทีม พี่ๆซีเนียร์ดูแลดีตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาฝึกงาน เหมือนที่ทำงานนี้เป็นเซฟโซนของเราไปแล้ว
-ใจลึกๆหวังว่า เมื่อนานวันเข้า ปัญหามันคงจะคลี่คลาย หลังๆคงจะดีขึ้น
-สภาพแวดล้อมภายนอกรพ.ก็สงบดี เป็นชุมชนชนบทในแบบที่ชอบ
เรื่องที่กลัวคือ
-เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า หัวหน้าคยพูดทีเล่นทีจริงว่า "ถ้าหนูหนีพี่ไปทำงานที่อื่น พี่จะบอกที่อื่นไม่ให้รับหนู" บวกกับพี่ซีเนียร์คนนึงเคยเล่าว่า "หัวหน้ารู้จักคนเยอะนะ วงการนี้มันแคบ ถ้าตกลงทำงานกับเขาแล้ว ถ้าเปลี่ยนใจ เดี๋ยวจะหางานทำที่อื่นลำบาก เขาไม่ชอบคนที่คิดว่าตัวเองเลือกได้" ทำให้เราก็เริ่มกลัวว่าจะไม่มีที่ยืนในวิชาชีพนี้เหมือนกัน
-กลัวว่าถ้าย้ายไปทำงานที่อื่น อาจจะเจอปัญหาการโกงในระบบราชการไม่ต่างกัน กลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ไปอีก
-ไม่รู้ที่ทำงานใหม่จะเจอเพื่อนร่วมงานที่เป็นกัลยาณมิตรแบบที่เก่ารึเปล่า
ท้ายที่สุด เรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมแค่อยากระบายให้ใครสักคนฟัง อยากฟังความคิดเห็นคนอื่นที่ไกลตัวดูบ้าง