หัวใจของอานาปานสติ
หายใจเข้า รู้ว่าว่าเราหายใจเข้า
หายใจออก รู้ว่าเราหายใจออก
ระลึกเสมอว่า ลมหายใจไม่ใช่ของเรา มันจะแรง จะเอาเป็นไปตามกลไกของร่างกายประคองสติรู้อยู่ เราไม่เข้าไปบังคับ
ถ้าแยกสภาวะรู้ออกจากลมหายใจได้ เราเป็นเพียงผู้ดูลมหายใจ แต่เราไม่ใช่ลมหายใจ
เมื่อลมหายใจละเอียด แผ่วเบาลง สภาวะรู้จะเด่นชัดขึ้นทุกทีๆ ปิติจะเริ่มเกิด เช่น น้ำตาไหล ขนลุก ซาบซ่านไปทั้งตัว แล้วเกิดสุขแบบสุขใดในโลกมาเทียบก็ไม่ได้ เอาสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็เทียบไม่ได้จิตจะเริ่มสงบ เมื่อจิตสงบลมหายใจจะเปลี่ยนจากหยาบเป็นละเอียด ละเอียดแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนดับสนิทเหมือนไม่มีลมหายใจ เหลือแต่ตัวรู้เด่นชัด เป็นเอกกัตตาและอุเบกขา บางครั้งก็เห็นแสงขาว บางครั้งเห็นเป็นดวงแก้วประกายพฤกษ์ส่องสว่างไสว บางครั้งก็มีแต่ตัวรู้ท่ามกลางความว่างให้นำสติวางไว้ที่ตัวรู้นั้น แผ่ความสงบไปทั่วร่างกาย เรียกว่า รูปฌาน
หัวใจของอานาปานสติ
หายใจเข้า รู้ว่าว่าเราหายใจเข้า
หายใจออก รู้ว่าเราหายใจออก
ระลึกเสมอว่า ลมหายใจไม่ใช่ของเรา มันจะแรง จะเอาเป็นไปตามกลไกของร่างกายประคองสติรู้อยู่ เราไม่เข้าไปบังคับ
ถ้าแยกสภาวะรู้ออกจากลมหายใจได้ เราเป็นเพียงผู้ดูลมหายใจ แต่เราไม่ใช่ลมหายใจ
เมื่อลมหายใจละเอียด แผ่วเบาลง สภาวะรู้จะเด่นชัดขึ้นทุกทีๆ ปิติจะเริ่มเกิด เช่น น้ำตาไหล ขนลุก ซาบซ่านไปทั้งตัว แล้วเกิดสุขแบบสุขใดในโลกมาเทียบก็ไม่ได้ เอาสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็เทียบไม่ได้จิตจะเริ่มสงบ เมื่อจิตสงบลมหายใจจะเปลี่ยนจากหยาบเป็นละเอียด ละเอียดแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนดับสนิทเหมือนไม่มีลมหายใจ เหลือแต่ตัวรู้เด่นชัด เป็นเอกกัตตาและอุเบกขา บางครั้งก็เห็นแสงขาว บางครั้งเห็นเป็นดวงแก้วประกายพฤกษ์ส่องสว่างไสว บางครั้งก็มีแต่ตัวรู้ท่ามกลางความว่างให้นำสติวางไว้ที่ตัวรู้นั้น แผ่ความสงบไปทั่วร่างกาย เรียกว่า รูปฌาน