สัญญาอมตะ ตอนที่ 22

กระทู้คำถาม
“เรามาทำธุระ” เซธตอบรวิกานต์ด้วยวิตกถึงลางไม่ดีบางอย่าง 
 
            อาการอึกอักของเขาทำให้หญิงสาวสงสัย ท่านผู้นั้นยื่นมาเข้าช่วยโดยไม่รู้ตัวว่าคนขับรถจะพาไปส่งให้ถึงจุดหมาย
 
            “เขาบอกว่ารถวิ่งไปถึงทางเข้าชมได้ จะไปคันเดิมนี่ล่ะ” ท่านผู้นั้นเรียกเซธให้กลับขึ้นรถ
 
            “อย่างนั้น แล้วเจอกัน” ผู้เป็นอมตะลาหญิงหน้าเหมือนอย่างไม่สนใจพูดคุยต่อ ท่านผู้นั้นเตือนให้นำสัมภาระติดตัวไปบริจาคภายหลัง
 
            “ความจริงเราใช้ซาเรียช่วยตรวจพื้นที่อีกคนหรือใช้ ‘เขา’ ก็ได้นี่ฝ่าบาท” เซธถีบกระเป๋าสัมภาระอย่างฉุน ๆ ว่าถือมาเหนื่อยเปล่า
 
            “ซาเรียต้องเอาไว้ข้างตัวเผื่อเกิดเรื่องฉุกเฉิน ส่วน ‘เขา’ ก็เด่นเกินไปในสายตาพวกสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ แถบนี้อมนุษย์เยอะมาก อากาศไม่แห้งแล้งไม่ทารุณ แต่บางพวกก็สอดรู้เหลือเกิน! พวกเจ้าผ้าคลุมสกปรกตามการเคลื่อนไหวข้าจากทางนี้ล่ะ”
 
            เซธอดถามไม่ได้ว่ารอบตัวเขามีเหล่าภูตหรือสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ด้วยตลอดเลยหรือ
 
            “พวกเขาอยู่ทุกที่แต่ไม่ค่อยอยากติดต่อกับมนุษย์ทั่วไป บ้างไม่ใส่ใจ บ้างชอบ ใครจะว่าได้ในเมื่อในอดีตเคยอยู่กันอย่างเท่าเทียมใต้เงาของเสาค้ำจุน” ท่านผู้นั้นถอนหายใจว่าตนยังแคลงใจกับทางเลือกของเจ้านาย “แถบนี้เคยเป็นรอยต่อสำคัญระหว่างฝ่ายเทพมังกรกับฝ่ายมืด ปราสาทใหญ่ได้ชื่อว่าปราการเหนือไร้พ่ายตั้งแต่สมัยเสาค้ำจุนสูงสุดยังเป็นลูกไล่อยู่ ทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยบ้านของพวกถือตัวบ้าอำนาจซึ่งไม่เปลี่ยนเลยตลอดสองพันปี บางกลุ่มก้มหัวให้ข้าแต่บางพวกไม่ อย่างหลังคอยจะคาบเรื่องโน่นนี่ของข้าไปบอกพวกหัวแข็งนั่น!”
 
            “เสาค้ำจุนเอาบันทึกความรู้โบราณมาไว้จุดอันตรายแบบนี้หรือฝ่าบาท” เซธจำได้ว่าท่านผู้นั้นได้หน้าที่เก็บรักษาของล้ำค่า
 
            “ข้าขอย้ายมาที่นี่เอง แหล่งอันตรายคือแหล่งปลอดภัย” ท่านผู้นั้นสรุป “ถ้าปราการเหนืออยู่ในเขตปะทะได้มากกว่าห้าพันปีแสดงว่ามันมีศักยภาพการป้องกันสูงลิ่ว ข้าก็แค่ต้องทำงานหนักเรื่องระบบภายในแสนซับซ้อน ขนาดกองทัพมังกรครึ่งมนุษย์ยังทะลุม่านป้องกันไม่ได้เลย เคยมีขุนพลของเทพปิศาจอยากลองของแต่ใช้เวลานานไปจนข้ามีโอกาสรวบตัวมา...ช่างเถอะ”
 
            อาจเพราะอยากคิดเรื่องอื่นนอกจากการที่หญิงหน้าเหมือนเข้ามาใกล้ภารกิจ เซธทำเรื่องท้าทายนรกด้วยการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของท่านผู้นั้น 
 
            “แล้วฝ่าบาทใช้ชีวิตอย่างไรในที่ห่างไกล...” เซธอยากกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไปทั้งหมด คู่สนทนามองกลับมาราวกับกำลังเลือกวิธีตายให้เขา 
 
            “ห่วงตัวเองดีกว่าว่าจะใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างไร เมื่องานของเราเสร็จสิ้นข้าจะได้รับการยินยอมให้ส่งโซลาน่ามาเกิดใหม่ เจ้าจะเป็นอมตะอยู่อีกสักยี่สิบปีก่อนจะเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ข้าอาจอยู่เป็นเพื่อนคุยต่อสักพักก่อนกลับเป็นผู้เฝ้าดู อาจสร้างเอกสารปลอมได้แต่เจ้าจะมีแต่เงิน ไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ข้าชักนำพวกเจ้าให้มาพบกันอีกครั้งได้แต่คงไม่เหมาะเรื่องฐานะและการใช้ชีวิต สุดท้ายข้าคงต้องรอพวกเจ้าตายแล้วส่งมาเกิดใหม่อีกครั้ง”
 
            การทิ่มแทงอีกฝ่ายด้วยข้อเท็จจริงเป็นอาวุธทรงประสิทธิภาพอย่างหนึ่งของท่านผู้นั้น ผู้เป็นอมตะจุกจนต้องคิดเรื่องของตัวเองอย่างถี่ถ้วน การทำงานในห้องหนังสือไม่ได้ค่าตอบแทนมากมายส่วนหนึ่งทำเพราะมีเวลาว่างเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีบัตรประจำตัวอย่างเป็นทางการย่อมไม่มีทางหางานดี ๆ ได้แน่นอน
 
            ท่านผู้นั้นเกิดสงสารจึงบอกว่าจะรีบสร้างหลักฐานยืนยันตัวตนจากชื่อคนหายสาบสูญในรัฐห่างไกลให้จะได้หางานทำเป็นกิจจะลักษณะ ไม่แค่นั้นยังเล่าเรื่องของตนสมัยเป็นนักรบเทพให้ฟังคร่าว ๆ 
 
            “มันไม่ได้ไกลผู้คนอย่างที่คิดหรอก ผู้อาศัยแถบนี้บางส่วนสื่อสารกันได้จึงไม่ขาดแคลนอาหาร ข้าใช้วงเวทย์เคลื่อนย้ายไปรับคำสั่งที่ทวีปเทพแล้วกลับมา บางครั้งก็ลงพื้นที่ไปไหนต่อไหนตามประสา พอห้องทำงานหลักอยู่ที่นี่ก็สบายขึ้นเพราะข้าไม่ชอบผู้คนจอแจ คนมาขอความช่วยเหลือก็รู้ว่าจะไปที่ไหน ความพยายามสร้างชื่อเสียงในทางร้ายกลับทำให้คนมาชุมนุมเพิ่มเพื่อดูว่าจริงอย่างเขาเล่าไหม...หากถามความเห็น ชีวิตกลางไอระอุก่อนสงครามคงเรียกว่าดีไม่ได้หรอก”
 
            ในเมื่ออีกฝ่ายยอมถอยก้าวหนึ่งเซธจึงได้โอกาสถามเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับอีกฝ่าย
 
            “ขอถามอีกได้ไหมฝ่าบาท” เซธลังเลจนพยางค์สุดท้าย “หลัก ๆ แล้วฝ่าบาทสะสมอะไรบ้างหรือ”
 
            ในเสี้ยววินาทีเซธมองเห็นความคิดในหัวตัวเอง เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกพูดเรื่องนิสัยชอบสะสมของท่านผู้นั้นแล้วก็การทำสัญญากับซาเรีย ท่านผู้นั้นเลิกคิ้วพลางบ่นว่าช่วงนี้เซธชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นมากเกินพอดี และควรถามแบบตรงไปตรงมามากกว่า
 
            “ในฐานะผู้ชายเหมือนกันย่อมต้องเข้าใจว่ามีเพียงเรื่องอย่างว่าแต่ไม่ใช่” ท่านผู้นั้นไม่วายเสริมว่าตนพยายามทำให้มีลับลมคมในเอง “หากขอให้ข้าช่วยก็ต้องจ่ายสิ่งตอบแทน บ้างเอาร่างเข้าแลกแต่ส่วนมากไม่ อย่างอัศวินหญิงถูกใส่ความว่าเป็นฝ่ายมืดต้องการล้างมลทินด้วยการเป็นองครักษ์ของข้า นักฆ่าถูกทรยศมาขอพึ่งใบบุญแลกกับงานลอบสังหาร หญิงหม้ายถูกคนในหมู่บ้านวางแผนกระทำชำเรามาขอความปลอดภัยแลกกับงานแม่บ้าน แล้วยังมีประเภทของอวดเพื่อสร้างชื่อเสียงอีกเป็นกระบุง ขี้เกียจอธิบายจุกจิกจึงปล่อยให้พูดกันไปตามใจชอบ”
 
            ท่านผู้นั้นพูดต่อว่าตนสนใจพวกสิ่งของหรือวิชาต่าง ๆ มากกว่าเรื่องอย่างว่า 
 
            “ส่วนซาเรีย นางทำงานแทนมือเท้าข้าแลกกับความเป็นอมตะเทียมซึ่งสามารถตายได้หากรักษาตัวไม่ทัน...ไม่แน่หลังจบงานนางอาจมาเป็นคนสนิทถาวรเพราะถูกบางคนกล่อมให้คอยตรวจสอบความประพฤติข้า วิญญาณป่ากับมังกรครึ่งมนุษย์เป็นเป้าหมายล่าของพวกกากเดนสังคมจนน่าห่วง หากอยู่กับข้านางจะปลอดภัยแน่นอน”
 
            เซธอยากแก้เก้อว่าตนหมายรวมอย่างอื่นด้วยแต่พวกเขามาถึงจุดหมายแล้ว ทางเข้าโดมร้อนเป็นเสาไม้สลักกับป้ายหยาบ ๆ คนขับรถโดยสารให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่าตอนนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวจึงไม่ค่อยมีห้างร้านเปิด หากเป็นฤดูหนาวจะมีคนมากมายมาเยือนทุ่งหิมะและจัดงานรื่นเริง 
 
            “รื่นเริงอย่างไรคงต้องจบกันวันนี้ละ” ท่านผู้นั้นยอมมอบสัมภาระไร้ประโยชน์ให้คนขับรถนำไปใช้ตามใจชอบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า
 
            โดมสีโคลนสูงตระหง่านเหมือนอาคารหลังมหึมา ถนนอิฐทอดยาวมีคนเดินไม่มากนัก ร้านค้ารายทางเปิดเพียงไม่กี่ร้านพอให้นักท่องเที่ยวจับจ่ายสิ่งจำเป็น ท่านผู้นั้นผิวปากว่าหากคนเยอะคงลำบาก
 
            เซธคิดว่าโดมนี้เป็นหินแกร่งผิดธรรมชาติจนแทบไม่มีร่องรอยผุกร่อน ไอร้อนจากธาตุไฟบางจำพวกแผ่ออกมาบาง ๆ ราวบรรจุเตาขนาดยักษ์ไว้ข้างใน ท่านผู้นั้นพาเดินวนหาจุดอับสายตาอยู่พักใหญ่
 
            “ซาเรียช่วยสร้างภาพลวงตาบังตรงนี้ได้ไหม ข้าจะทำลายเปลือกออก แค่นี้คงมากพอกันคนแตกตื่น” ท่านผู้นั้นสร้างกลุ่มก้อนความมืดก่อนล้วงมือเข้าไปหยิบดาบวิเศษออกมา คราวนี้เซธมองเห็นรัศมีเลื่อมพรายคล้ายสายรุ้งของธาตุต่าง ๆ อย่างชัดเจน
 
            ไอเวทมนตร์ของซาเรียห่อหุ้มทั่วบริเวณอย่างเบาบางราวม่านหมอก ท่านผู้นั้นเห็นว่าพร้อมแล้วจึงวาดดาบเรืองแสงขาวฟาดฟันโดมหินเพื่อเปิดทาง เสียงดาบปะทะหินเบาอย่างน่าประหลาด รอยฟันเพียงรอยเดียวขยายขนาดขึ้นจนท่านผู้นั้นสั่งหยุด แสงสีแดงเลือดจากข้างในลอดออกมาเหมือนแหล่งไฟใต้พิภพ!
 
            “ความมืดดูดซับแสง ส่วนแสงสลายความมืด สองอย่างนี้ทั้งชนะและแพ้ในเวลาเดียวกัน” ท่านผู้นั้นส่งดาบเก็บในกลุ่มก้อนความมืดดังเดิมก่อนก้าวเข้าสู่รอยแตกอย่างไม่มีพิธีรีตอง
 
            ภายในโดมหินเป็นห้องกว้างใหญ่ห้องเดียว แสงจากบ่อไฟเรืองรองอาบทุกบริเวณ ท่านผู้นั้นทำให้มันดับครึ่งพื้นที่เพื่อให้มองเห็นชัดเจนขึ้น ก้อนขนกลางห้องผงกหัวมองอย่างเหนื่อยล้า มันดูเหมือนแมวมากกว่ามังกร ไม่ว่าจะเป็นทรงหัว ขนทั่วตัวและอุ้งเท้า แม้ภายนอกเจ้ามังกรจะอิดโรยทว่าดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นฝังลึก!
 
            “โดนใครผนึกไว้หรืออาเซเดีย” ท่านผู้นั้นแสร้งถาม 
 
            “คนทรยศ...” เจ้ามังกรฟ้าออกเสียงอย่างยากลำบาก “ฆ่าข้าให้จบ มันจะได้ไม่เข้มแข็งขึ้น” 
 
            ชั่วพริบตาหนึ่งอาเซเดียมองมาทางเซธอย่างคาดหวัง จากนั้นมันก็พูดต่อเหมือนผู้พร้อมรับความตายทุกเมื่อ
 
            “เห็นว่าพวกเราต้องตายเพื่อทำให้เจ้าหนุ่มอมตะบรรลุจุดประสงค์ แต่คงยากหน่อยในเมื่อขนและหนังข้าเป็นเหล็กกล้า ข้าเปลี่ยนได้ครั้งเดียวตอนสร้างร่างเท่านั้น” 
 
            เจ้ามังกรทำเป็นพล่ามยาวเพื่อแอบบอกว่านัดแนะกับอวาร์ริเทียเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เซธคิดว่าแค่ทำเป็นฆ่าก็จบแต่มันผิดจากธรรมชาติของเขา เจ้ามังกรเหลืองบอกว่าอาเซเดียถูกขังนานหลายร้อยปี เขารู้สึกสงสารเหลือเกิน มันควรได้ของขวัญหากต้องสิ้นชีพ 
 
            “อย่างนั้นลองพูดคำขอก่อนตายมาอาเซเดีย หากทำได้ข้าจะจัดการให้ระหว่างท่านผู้นั้นหาวิธีสังหารเจ้าให้เร็วที่สุด” เซธก้าวออกมาเพื่อทำให้บทละครสมบูรณ์ขึ้น หากทำอย่างนี้จะดูเป็นธรรมชาติกว่าลงมือทันที 
 
            อาเซเดียซ่อนยิ้มทำเป็นหมดอาลัยว่าถึงเวลาต้องไป
 
            “ความจริงอยากเห็นท้องฟ้าภายนอก หากได้มองของแบบนั้นคงสงบใจไม่ได้แน่” เจ้ามังกรละสายตาจากเซธไปมองบางสิ่งด้านหลังพวกเขา ผู้เป็นอมตะอดเหลียวหลังดูไม่ได้ ทางเข้าออกหนึ่งเดียวคงปกติ อากาศเย็นแผ่วบางจากช่องเข้าออกไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใด 
 
            “ไม่มีอะไรอนาทอล อย่างที่พูดว่าแถวนี้พวกสอดรู้เยอะ ตอนอินวิเดียก็มาดูกันแต่ไม่กล้าเข้าใกล้” ท่านผู้นั้นบอกว่าไม่ต้องสนใจอย่างอื่น
 
            “ถ้าต้องไปข้าคงคิดถึงงานเทศกาล ผ่านไปหลายร้อยปีกว่าพวกมนุษย์จะพบที่นี่ เมื่อเห็นว่าประหลาดพวกนั้นจึงจัดงานร้องรำภายนอกโดมร้อนกลางหิมะ บางครั้งเสียงเพลงสามารถผ่านเข้ามาเหมือนมีคนช่วยกล่อมให้คงสติอยู่ได้นานขนาดนี้ หากให้เลือกสิ่งติดค้างคงเป็นดนตรีของพวกมนุษย์นั่นล่ะ” อาเซเดียตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
 
            ท่านผู้นั้นพยักหน้ากับเซธว่าให้ทำตามความต้องการ ซาเรียเรียกพิณเทพพิรุณออกจากช่องว่างมิติให้เพื่อเล่นเพลงและลงมือด้วยวิธีใด ๆ ตามคำบงการของท่านผู้นั้น
 
            “ขอเวลาคิดหน่อย บางทีเราอาจไม่ต้องใช้พิณของเจ้าเพื่อลงดาบ” ท่านผู้นั้นขอเวลาเพิ่ม
 
            เซธไม่ได้ใช้อาวุธชิ้นนี้อย่างเครื่องดนตรีตามรูปลักษณ์นานแล้ว เขามั่นใจว่ารอบด้านปลอดภัยเพราะมีท่านผู้นั้นกับซาเรีย ใช้เวลาอึดใจหนึ่งผู้เป็นอมตะก็เลือกเพลงช้าสำหรับสงบจิตใจอันเต็มไปด้วยไฟแค้นของอาเซเดีย วินาทีที่นิ้วกรีดลงเส้นสายเสียงพูดด้วยความประหลาดใจบางเบาเหมือนสายลมแสดงว่ามีบางสิ่งอยู่ด้วยจริง ๆ
 
            ท่วงทำนองสงบเงียบหมายบรรเทาความร้อนอบอ้าวภายในโดมหิน พอสิ้นโน้ตตัวสุดท้ายท่านผู้นั้นพลันทำเป็นคิดออกว่าควรทำอย่างไรให้ง่ายที่สุด
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่